ขอความช่วยเหลือด้วยครับ

กับปัญหาเรื่องรอบเดินเบาของเครื่องยนต์ ในตอนเช้าที่มีอากาศเย็น หรือในขณะที่ตัวเครื่องยนต์ ยังเย็นอยู่นั้น มีปัจจัยเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้หลายอย่าง แต่เท่าที่เคยตรวจสอบพบเจอก็จะมาจากสาเหตุ เรื่องอัตราส่วนผสมระหว่างอากาศกับน้ำมันเป็นส่วนใหญ่ ที่กล่าวเช่นนี้เพราะว่าในระบเครื่องยนต์หัวฉีด ที่ควบคุมด้วยระบบ ECU เมื่อมีการสตาร์ทเครื่องยนต์ในครั้งแรก ในสภาวะที่อุณหภูมิในระบบน้ำหล่อเย็นหรือตัวเครื่องยนต์ยังเย็นอยู่ ECU จะอาศัย sensor ในระบบน้ำหล่อเย็น และอุณหภูมิอากาศในท่อไอดี/อากาศ เป็นตัวส่งข้อมูลในรูปของกระแสไฟโวลเต็จ ที่ได้จากการเปลี่ยนแปลงค่าความต้านทานของตัวเทอร์มิสเตอร์ในเซ็นเซอร์ในระบบน้ำหล่อเย็น ที่แปรผันตามอุณหภูมิของน้ำและอากาศ

เมื่อ ECU ได้รับข้อมูลจากเซ็นเซอร์ทั้งสอง มันก็จะกำหนดระยะคาบเวลาของสัญญาณพัลส์ ในการยกวาวล์ของหัวฉีด ให้นานขึ้น ในสภาวะอากาศและน้ำยังเย็นอยู่ ทั้งนี้เพื่อต้องการให้อัตราส่วนผสมในการจุดระเบิด ระหว่างอากาศกับน้ำมัน มีน้ำมันมากกว่าอากาศ หรือมีน้ำมันหนาในส่วนผสม เป็นผลให้มีรอบเดินเบาของเครื่องยนต์ในสภาวะนั้น(เย็น) มีรอบเครื่องยนต์สูงประมาณ 1300-1500 รอบ/นาที เพื่อให้ระบบการเคลื่อนที่ของลูกสูบและส่วนอื่นๆที่ทำงาน เอาชนะแรงเสียดทานของผิวสัมผัสระหว่างผิวโลหะทั้งสอง เพราะโลหะของตัวเครื่องยนต์เมื่อเย็นจะเกิดการหดตัวของโลหะ พวกกระบอกสูบและข้อเหวี่ยงต่างๆ ทำให้เกิดแรงเสียดทาน จึงจำเป็นต้องเพิ่มน้ำมันให้หนาขึ้น เพื่อให้รอบเครื่องยนต์สูง

เมื่อตัวเครื่องยนต์และน้ำในระบบหล่อเย็นเครื่องยนต์มีอุณหภูมิสูงขึ้น จนถึงอุณหภูมิห้องเครื่อง ประมาณ 75-80 องศา เซ็นเซอร์อุณหภูมิน้ำจะเกิดค่าความตานทานที่ผกผันกับอุณหภูมิของน้ำ กล่าวคือ เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น ค่าความต้านทานของตัวเทอร์มิสเตอร์ ในตัวเซ็นเซอร์อุณหภูมิน้ำจะมีค่าความต้านทานน้อยลง จนถึงอุณหภูมิที่กำหนดไว้ในโปรแกรมพื้นฐานในการตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งแรก ECU ก็จะทำการลดคาบเวลาของสัญญาณพัลส์หัวฉีดให้น้อยลง สู่สภาวะปกติของรอบเดินเบา เราจะเห็นว่ารอบเครื่องยนต์จะลดลงมาเหลือประมาณ 800-850 รอบ/นาที หลังจากที่วอร์มเครื่องยนต์สักระยะหนึ่ง

เนื่องจากที่ทุกครั้งที่เครื่องยนต์อยู่ในจังหวะรอบเดินเบา ตัว ECU จะเอาโปรแกรมพื้นฐานมาทำการคอนโทรลการทำงานของเครื่องยนต์แทน Close loop ซึ่งข้อมูลต่างๆที่ใช้การคอนโทรลเครื่องยนต์จะถูกโปรแกรมมาจากสภาวะของเครื่องยนต์ที่สมบูรณ์ ในการออกแบบครั้งแรก ตั้งแต่กำลังอัดของเครื่องยนต์ ระบบแว็คคั่มในท่อไอดี ที่มีตัว Map sensor / Vaccum sensor เป็นตัวตรวจจับแรงดูดของแว็คคั่มในท่อไอดีที่ได้มาจากความสมบูรณ์ของแรงดูดของลูกสูบที่เคลื่อนที่ เมื่อสภาะกระบอกสูบแหวนสูบลูก บ่าวาวล์ยังมีสภาพสมบูรณ์

ทั้งนี้ทั้งนั้นเราจะพบว่าเมื่อใดก็ตามที่มีปัญหาเรื่องรอบเดินเบาของเครื่องยนต์สวิงขึ้นลงเมื่อมีโหลด จาการเปิดแอร์หรือเข้าเกียร์ บางครั้งช่างก็ทำการตั้งวาวล์ที่สึกหรือปิดไม่สนิท แล้วเครื่องยนต์ก็มีสภาพรอบเดินเบาที่ปกติ เพราะว่ากำลังอัดภายในกระบอกสูบไม่รั่ว เมื่อไม่รั่วก็ทำให้แรงดูดแว็คคั่มในท่อไอดีสเตเบิล การตรวจจับของ Vaccum sensor ก็จะจับแรงดูดที่เกิดขึ้นเปลี่ยนเป็นโวลเต็จ กลับสู่สภาวะปกติใกล้เคียงหรือเท่ากับที่ถูกโปรแกรมไว้ในครั้งแรก ก็ทำให้ ECU สั่งให้หัวฉีด ฉีดน้ำมันตามค่าที่กำหนดไว้ รอบเดินเบาของเครื่องยนต์จึงปกติ

เนื่องจากการคอนโทรลรอบเดินเบา ไม่ได้มาจากที่ผมกล่าวมานี้แต่อย่างเดียว จะต้องประกอบไปด้วยตัว TPS sensor ตัวที่ทำหน้าที่คอยตรวจจับมุมองศาการปิดเปิดของลิ้นปีกผีเสื้อ ว่ามันเปิดมีมุมองศาที่เท่าใดในจังหวะรอบเดินเบา และเท่าใดในจังหวะอัตราเร่งของเครื่องยนต์ ทั้งนี้เพื่อ ECU จะได้สังให้หัวฉีดน้ำมันลดการจ่ายน้ำมันในอัตราเร่ง มาอยู่ในรอบเดินเบาของเครื่องยนต์หากช่างที่ไม่เข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร โดยไปปรับตำแหน่งตัว TPS ไม่ได้ค่าโวลเต็จตามที่กำหนดในการปรับจูนให้ตรงกับต่ำแหน่งรอบเดินเบา อาจจะปรับไปอยู่ระหว่างก่ำกึ่งของรอบเดินเบาและอัตราเร่ง หรือต่ำเกินไป โดยมากจะมาจากช่างที่ถอดตัวเรือนปีกผีเสื้อออกมาล้างทำความสะอาด แล้วไม่เข้าใจเผลอไปแตะต้องถอดตัว TPS ออกมาจากตัวเรือนปีกผีเสื้อ แล้วไม่ทำเครื่องหมายมาร์คเอาไว้ เวลาใส่กลับก็ไม่ตรงตำแหน่งเดิมที่ถอดออก หากเป็นเช่นนี้ จะทำให้รอบเดินเบาในการสตาร์ทเครื่องยนต์ในครั้งแรก จะมีรอบสูงในกรณีปรับไปอยู่ในตำแหน่งอัตราเร่ง รอบจะสวิงขึ้นลง เมื่ออยู่ในรอบเดินเบา หากปรับต่ำเกินกว่ากำหนด (ปกติทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 0.5 volt ) การสตาร์ทเครื่องยนต์ในครั้งแรกรอบเครื่องยนต์จะไม่สูงนัก ประมาณพันกว่ารอบเล็กน้อย คล้ายกับที่ท่านเจ้าของกระทู้บอกมา ที่1200 รอบ แล้วก็ตกลงมาเกือบสุดหรือเครื่องดับ ดังนั้นท่านเจ้าของกระทู้ควรให้ช่างที่มีความรู้เรื่องนี้ทำการปรับจูนให้ถูกต้องก่อน ก่อนที่จำเนินการตรวจสอบเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป

นอกจากนี้ส่วนที่เข้ามาเกี่ยข้องอีกก็เป็นระบบอากาศช่วยรอบเดินเบา ก็มีหลายแบบ ทั้งระบบโรตารี่โซลินอยวาวล์ สเต็ปมอเตอร์ ISC แบบต่าง จะเห็นว่าการที่จะเข้ามาแก้ไขปัหาเรื่องรอบเดินเบาของเครื่องนต์ จะต้องแยกแยะและตรวจสอบทีละวงจรของระบบการคอนโทรลของ ECU และจะต้องมีเครื่องมือทางอีเลคโทรนิคส์เข้ามาช่วยวิเคราะห์การทำงานของมัน ที่สามารถมองเห็นการทำงานของวงจรที่ควบคุมของเครื่องยนต์ ว่ามันผิดปกติหรือเสียที่ส่วนใด จะใช้ตาดูหูฟัง โดยคิดว่า คาดว่า และน่าจะเป็น คงไม่ได้อีกแล้ว

ขออภัยที่ร่ายยาวไปหน่อย เพื่อต้องการให้ทราบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับท่านเจ้าของกระทู้ ควรจะตรวจสอบอย่างไร และที่ส่วนไหน ว่ามันทำงานถูกต้องหรือไม่ อยากจะสรุปให้ไปตรวจสอบในเบื้องแรกนี้ก่อน คือจะต้องพิสูจณ์ให้ได้ว่า ตัวเซ็นเซอร์อุณหภูมิน้ำเสื่อมสภาพหรือเปล่า ส่วนตัวเซ็นเซอร์อุณหภูมิอากาศ เสียยาก และมีผลที่เกิดขึ้นไม่ชัดเจนเท่าตัวเซ็นเซอร์อุณหภูมิน้ำ และให้ไปทำการตรวจสอบระบบองศาไฟจุดระเบิด ว่าถูกต้องหรือไม่ ควรจะตั้งไฟให้แก่เล็กน้อย หากเครื่องยนต์รุ่นนั้นยังเป็นระบบใช้จานจ่าย หากเป็นพวกไดเร็คคอย จะถูกกำหนดโดยโปรแกรมอาจจะทำยาก

หากเครื่องยนต์ของท่านเจ้าของรถ มี Map sensor หรือ Vaccum sensor ติดอยู่ที่ตัวเรือนปีกผีเสื้อก็ขอให้ตรวจสอบด้วย หรือ จะซื้อมือสองมาเปลี่ยนก็ได้ ตัวละสองสามร้อยบาท เท่าที่เคยซ่อมมาก็พบเสียที่ตัวนี้เหมือนกัน สำหรับวิธีการตรวจสอบมีขั้นตอนตรวจสอบที่ยากสำหรับผู้ไม่มีเครื่องมือเทส เพราะต้องใช้เครื่อดูดสูญญากาศ แล้ววัดโวลเต็จ ที่จ่ายออกมา สำหรับกาตรวจสอบตัวเซ็นเซอร์อุณหูมิน้ำ หากไม่มีเครื่องมือ Oscilloscope ตรวจจับสัญาณพัลส์ของหัวฉีดน้ำมัน ก็คงจะทำแบบลูกทุ่งเทียบเคียงได้บ้าง กล่าวคือให้ถอดตัวเว็นเซอร์อุณหภูมิน้ำ ออกมาจากตัวเครื่องยนต์ แล้วให้ทำการวัดค่าโอมห์ ว่ามีกี่โอมห์ ปกติเมือตัวมันเย็นจะมีค่าความต้านทานสูง ให้เอาสายมิเตอร์วัดโอมห์เส้นหนึ่ง ต่อกับหัวเสียบสายไฟที่ตัวเซ็นเซอร์น้ำที่ถอดออก และสายมิเตอร์วัดไฟสายอีกเส้นที่เหลือ ต่อหนีบกับตัวเรือนของตัวเซ็นเซอร์ แล้วนำตัวเซ็นเซอร์อุณหภูมน้ำ ใส่หม้อต้มน้ำ ตั้งแต่น้ำเย็นจนกระทั้งน้ำเริ่มร้อน และร้อนสุด ในระหว่างที่น้ำกำลังร้อนให้สังเกตุที่ตัวมิเตอร์ว่า ค่าความต้านทานเริ่มลดลงตามอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นหรือไม่ หากตัวมันปกติไม่เสื่อม ค่าความต้านทานที่อ่านได้จะค่อยๆลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าผิดปกติ ค่าความต้านทานจะไม่ค่อยเปลี่ยน และเมื่อเปลี่ยนแล้วค่าความต้านทานที่ได้ จะไม่ตรงกับตัวที่ดีหรือปกติ

สำหรับการใช้ Oscilloscope ทำการตรวจวิเคราะห์นั้น ให้ทำการวัดสัญญาณพัลส์ของหัวฉีดในขณะที่ทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งแรก จะพบว่าเราสามารถเห็นความกว้างของสัญญาณพัลส์หัวฉีด ว่าECU สังปรับความกว้างของพัลส์หัวฉีด กี่มิลลิเซ็ค ที่รอบเครื่องยนต์ขณะนั้น สามารถวัดความถี่ของของสัญญาณที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ว่ามีกี่รอบต่อนาที่ การเกิดสัญญาณพัลส์ แต่ละสูบห่างกันกี่มิลลิเซ็ค แล้วในขณะที่รอบเครื่องยนต์สูงแล้วตกลงมาทันที มันยังคงมีสัญญาณพัลส์มีความกว้างเท่าเดิมหรือไม่ หรือลดลงทันที แล้วทำให้รอบเครื่องยนต์ตก เราสามารถบอกได้ว่าเป็นที่ระบบเซ็นเซอร์น้ำจริงหรือไม่ เพราะเราสามารถหรอก ECU โดยหาค่าความต้านทานแบบปรับค่าได้ ที่มีค่าความต้านทานเท่ากันตัวเซ็นเซอร์อุณหภูมิน้ำ มาแทน แล้วปรับค่าความต้านทานไปทีละน้อย ในระหว่างที่เราปรับค่าความต้านทาน เราสามารถอ่านค่าคาบเวลาของพัลส์สัญญาณหัวฉีดได้ว่า ECU สั่งให้ความกว้างของพัลส์ที่ให้หัวฉีดยกเปิดวาวล์นานเท่าใด กี่มิลลิเซค หากเราปรับไปแล้วทำให้รอบเครื่องยนต์สูงกว่า1200 รอบมาอยู่ที่ 1500 รอบมีค่าความต้านทานเท่าใด คราวนี้ก็ลองดับเครื่องยนต์แล้วสตาร์ทใหม่ รอบจะต้องขึ้นที่ 1500 รอบ หากเป็นตามนั้น ลองปรับค่าความต้านทานมาอยู่ที่ 850รอบ ในขณะนี้เราสามารถเห็นคาบเวลาของพัลส์เปลี่ยนแปลง ลดลงเช่นกัน ว่าได้กี่มิลลิเซค เมื่อทำได้ดังนี้ คราวนี้ก็ต้องหาตัวเซ็นเซอร์อุณหภุมิน้ำมาเปลี่ยนดูว่าใช่หรือไม่ ตามที่เราทดสอบ

ในทางตรงกันข้ามเราก็สามารถรู้ได้ว่า ที่กล่อง ECU มันเสียหรือไม่ ในกรณีที่เราทดลองปรับค่าความต้านทานแล้ว ECU ไม่สามารถสร้างสัญญาณพัลส์ ให้มีความกว้างของพัลส์ ให้หัววาวล์หัวฉีด ฉีดน้ำมันเพิ่มขึ้น หรือลดลงได้ ทั้งๆที่ค่าความต้านทานเปบลี่ยนแปลง นั้นหมายความว่า ส่วนที่คอนโทรลรอบเดินเบาในการสตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งแรกที่เครื่องยังเย็นอยู่ ไม่ทำงาน ก็คือเสียที่กล่อง ECU ซึ่งในกรณีนี้ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน หลงเข้าดงเข้าป่าเสียเวลาในการวิเคราะห์ปัญหา แถมยังบานปลายเรื่องค่าเปลี่ยนอะไหล่ไม่ตรงประเด็น จะเห็นความสำคัญในเรื่องเครื่องมืออีเลคโทรนิคส์ ที่มีบทบาทในการตรวจซ่อมเครื่องยนต์ที่ควบคุมด้วย ECU เนื่องจากท่านเจ้าของกระทู้บอกว่าเปลี่ยนมาหลายอย่าง ผมไม่แน่ใจว่ามันทำงานถูกต้องหรือไม่ การเปลี่ยนอุปกรณ์ในส่วนที่ใช้ควบคุมการทำงาน ต้องใช้เครื่องมือตรวจสอบทางอีเลคโทรนิคส์ตรวจสอบด้วย ก็จะทำให้การตรวจแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ง่าย
สิ่งที่ท่านเจ้าของกระทู้จะตรวจสอบอีกก็คือ ตัว TPS sensor ตามที่ผมให้ข้อมูลข้างบนนี้แล้ว ลองตรวจสอบดูก่อนครับ สำหรับอุปกรณ์ที่เปลี่ยนมาแล้ว ผมไม่ทราบว่าเมื่อตอนเปลี่ยนใหม่ๆปกติหรือเปล่า หรือว่าเพิ่งมาเป็นอาการที่บอกมา อาจจะต้องตรวจสอบอีกครั้งว่ามันทำงานปกติหรือเปล่า เพราะเป็นไปได้ว่า บางครั้งเจออะไหล่มือสองใช้ได้ไม่นานก็เสื่อม กลายเป็นปัญหาที่มองข้ามไป ก็ขอให้โชคดี ….srithanon

	ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน? 27 กรกฎาคม 2025, 06:41:10

ข่าว: มีปัญหาการใช้งานเว็บไซต์ หรือติดต่อลงโฆษณา ติดต่อ admin [ไม่ใช่ผู้ขายสินค้า] ที่ 0876889988 หรือ theerachai@siamrx.com หรือ line id: @welovecivic