|
|
|
|
thoed27
= ท่านเทิด 7500 รอบ =
Gold Member
อาจารย์ปู่
  
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 3,717

เทิด...สมุทรปราการ อีกคน คริคริ
|
 |
« ตอบ #4 เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2012, 11:43:12 » |
|
หวัดดีครับผม ยินดีต้อนรับครับ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
|
Tom-Keyray
ศิษย์น้อง
 
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 56

ชีวิตติดปีก
|
 |
« ตอบ #10 เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2012, 17:04:55 » |
|
"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"...การชนครั้งที่ 2 เดือนที่ 4 หลังจากเปลี่ยนจากป้ายแดงมาเป็นป้ายขาว เราต้องไปดูงานที่ภูเก็ต วันกลับกรุงเทพตั้งใจออกจากภูเก็ตแต่เช้า เพราะมีนัดกินข้าวกับผู้ชายตอน 3 ทุ่ม (หุหุ) เพิ่งจีบกันค่ะ แต่งานเสร็จไม่ตรงตามเวลาที่วางแผนไว้ กว่าจะได้ออกจากเกาะเกือบ 11 โมง เลยขับแบบเหยียบมิด จนมาถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ช่วงกุยบุรี เราไปเสยท้ายรถพ่วง 18 ล้อ เข้าซะงั้น จำเหตุการณ์ได้แม่นค่ะ ช่วงวินาทีเป็น วินาทีตาย ตื่นเต้นสุดขีด ตอนนั้นเพิ่งห้าโมงเย็นแต่ฟ้าเริ่มมืด คงเป็นเพราะยังเป็นหน้าหนาวอยู่ เราวิ่งเลนส์ขวาด้วยความเร็วประมาณ 150 เห็นว่าข้างหน้ามีรถพ่วงคันโตวิ่งอยู่เลนส์ซ้าย จนถึงระยะกระชั้นชิด อยู่ๆ รถพ่วงก็ค่อยๆ เบี่ยงหัวรถออกมาเลนส์ขวา (งานนี้จะเหลือเหรอ) เราเหยียบเบรคตัวโก่ง แต่ด้วยความเร็วที่ขับมาประกอบกับความเบาของตัวรถวีออส โชคดีที่รถไม่ปัดตอนเหยียบเบรค รถของเราเกี่ยวติดไปกับท้ายรถพ่วงระยะหนึ่งถึงจะหยุดสนิด โชคดีไม่มีรถขับตามมา (ไม่อยากคิดภาพ) คนขับรถพ่วงรีบลงมาดูเรา ถามว่าเราเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนมั๊ย คนขับรถพ่วงยอมรับผิดว่าเปลี่ยนเลนส์และกระชั้นชิด โดยไม่ให้สัญญาณไฟ เค้าบอกว่า "ผมไม่เห็นรถคุณจริงๆ" (เห่อๆ ฟังแล้วรู้สึกดีเชียว) เราพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่ง มึน งง ตัวสั่นมือสั่น บอกไม่ถูก พอมองดูรถตัวเองแล้วน้ำตาซึม ไม่รู้ว่าจะดีใจที่รอดมาได้ หรือเสียใจสงสารรถดี พอเราตั้งสติได้ก็เริ่มมองดูสภาพแวดล้อม จอดตรงนี้ไม่ดีแน่ ว่าแล้วก็คุยกับคนขับรถพ่วงว่าอยากย้ายรถไปที่อื่น เพราะเริ่มค่ำแล้ว ตรงที่ชนเป็นทางโค้งถึงโค้งไม่มากแต่ก็อันตราย กลัวรถที่วิ่งมามองไม่เห็น จะชนซ้ำอีก คนขับรถพ่วงเลยบอกว่าให้เราขับตามรถพ่วงไปจอดที่ปั้ม ปตท. กุยบุรี ระหว่างรอประกันอยู่ที่ปั้ม ก็โทรหาเพื่อนสาวคนสนิท เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เพื่อนฟัง แล้วบอกว่าคืนนี้ขอเอารถไปจอดที่บ้านเพื่อน ไม่กล้าขับกลับบ้าน กลัวแม่เห็นสภาพรถแล้วท่านจะตกใจ ที่สำคัญคือกลัวแม่ไม่ให้เราขับรถอีก  ข้อคิดที่ได้รับ... 1. จะรีบมากแค่ไหน หรือเหตุผลอะไรก็ตาม เวลาขับรถต้องใช้ความเร็วที่เราสามารถควบคุมรถได้ 2. รถสีดำ สร้างความไม่ชัดเจนกับสายตาเวลาแสงสว่างไม่พอ 3. ถึงบริษัทประกันจะดี แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุต่างจังหวัด ก็ต้องรอนาน "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"...หลังจากชนครั้งที่ 2
|

dangerous.jpg (122.98 KB, 500x188 - ดู 1196 ครั้ง.)
|
|
บันทึกการเข้า
|
ออกไปมองฟ้า ออกไปมองน้ำ ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดปลายฟ้า...โลกนั้นกว้างใหญ่ รอเราก้าวออกไป
|
|
|
|
|
green eg
เจ้ายุทธภพ
     
ออฟไลน์
กระทู้: 1,022

|
 |
« ตอบ #13 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2012, 08:14:52 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
eak99
"Saturday Man"
Gold Member
อาจารย์ปู่
  
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 1,742

EAK_EK
|
 |
« ตอบ #17 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2012, 11:34:39 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Tom-Keyray
ศิษย์น้อง
 
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 56

ชีวิตติดปีก
|
 |
« ตอบ #19 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2012, 15:04:55 » |
|
 "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"...รถพัง ผู้ชายหาย ระหว่างรอประกันวิริยะของฝ่ายรถพ่วงเราก็โทรหาแม่ แต่ไม่ได้บอกว่าเกิดอุบัติเหตุ แล้วก็โทรเม้าท์กะเพื่อนสาวไปเรื่อยๆ จนเสียงเตือนแบตหมด รออยู่เกือบ 40 นาที (นานเนอะ) คุณประกันก็มาถึงที่ปั้ม เค้าเข้ามาสวัสดีแล้วแนะนำตัวเองนิดหน่อย แล้วก็เดินไปที่รถของเรา ควักกล้องตัวจิ๋วออกมาจากกระเป๋าหลังกางเกง แล้วก็ถ่ายรูปรถเรา พอถ่ายรูปรถเราสมใจอยากแล้วก็ไปถ่ายรถพ่วงต่อ จากนั้นเค้าเดินไปที่รถของเค้าแล้วหยิบเอกสารอะไรสักอย่างออกมาเขียน เขียนเสร็จก็เดินมาหาเราที่นั่งยองๆ รออยู่ข้างต้นไม้ ในสภาพที่แสนจะน่าเกลียด ความงามที่อุส่าห์แต่งแต้มหายไปหมด เหลือหนังหน้าแท้ๆ ที่มันมะเมือก ผมรวบมัดมวยเป็นป้าแก่ๆ คุณประกันขอใบขับขี่กับบัตรประชาชนของเรา แล้วเค้าก็ยื่นใบเอกสารให้เรา 1 ใบ เราอ่านดูแล้วคือรายการซ่อมที่เข้าเขียนขึ้นมาเมื่อสักครู่ เค้าบอกว่าเวลาเอารถเข้าซ่อมให้เอาเอกสารใบนี้ให้กับศูนย์...จบเรื่อง ใจเราคิด เอ้อ! ! แค่เนี๊ยะ ง่ายจัง ก็ดีแฮะ จะได้ไปกันสักที นี่ยังอีกตั้งไกลกว่าจะถึงกรุงเทพ แล้วรถสภาพนี้ วิ่ง 40 จะไหวป่าวหว่า แต่เรารู้สึกตะหงิดใจชอบกล (ง่ายจัง) ก็เลยถามประกันว่า "ขอโทษนะคะคุณประกัน สรุปว่าเราเอาใบนี้ไปให้ที่ศูนย์ที่เราจะซ่อมรถ แล้วเค้าก็จะซ่อมตามรายการพี่คุณเขียนใช่ไหม แล้วถ้าซ่อมไปซ่อมมาเกิดเจอความเสียหายมากกว่าที่เขียนจะยังไงต่อคะ" ประกันตอบว่า " ถ้ามีรายการซ่อมเพิ่มทางศูนย์จะโทรแจ้งประกัน ซึ่งทางเราก็จะประเมินว่าความเสียหายเกิดจากอุบัติเหตุครั้งนี้หรือไม่ครับ" (อ๋อ! เข้าใจแหละ) เราพยักหน้าหงึกๆ โอเค ตามนั้นละกัน อ้อ!! ก่อนแยกย้ายกันไป คุณประกันหันมาบอกเราว่า "ตามหลักแล้วรถที่ชนท้ายจะเป็นฝ่ายผิดก่อนเสมอ จนกว่าจะเหตุการณ์หรือสภาพแวดล้อมอื่นมาอ้างอิงว่ารถคันที่ชนเป็นฝ่ายถูก แล้วถ้ารถถูกย้ายจากที่เกิดเหตุก่อนประกันมาถึงแบบนี้ คนขับรถพ่วงอาจกลับคำบอกว่าเรามาชนท้ายเค้าเองก็ได้ (เห่อๆ) แต่กรณีของเราคนขับรถพ่วงยืนยันว่าเค้าผิดจริง"...ได้ยินแล้วโคตรตื้นตันใจเลยคร้า เราต้องค่อยๆ ขับรถสภาพไม่สมประกอบมาบ้านเพื่อนสาวที่หมู่บ้านพระปิ่น 5 เอกชัย กว่าจะถึงก็ 5 ทุ่มกว่า เหนื่อยจนลืมหิว ที่สำคัญลืมเรื่องนัดกินข้าวกับผู้ชาย มานึกได้อีกทีก็เช้าอีกวัน เพราะเปิดมือถือขึ้นดูหลังจากชาร์ตแบตเต็ม ...โอ่ยยย! 17 miss call เบอร์ผู้ชายล้วนๆ เรารีบโทรกลับ 4 ครั้ง เค้าไม่รับสาย ก็เป็นอันว่าเลิกคบ อิอิ  ข้อคิดที่ได้รับ... 1.ถ้าขับช้ากว่านี้ คงไม่ชนท้ายคนอื่นถึงเค้าจะเปลี่ยนเลนส์กระทันหัน หรือถ้าชน รถคงไม่พังขนาดนี้ 2.บนถนน อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ 3.คนดียังมีอยู่ในชาตินี้ เช่น คนขับรถพ่วง ทำผิดก็คือทำผิด 4.ผู้หญิงดูน่ากลัวตอนเครียส อากาศร้อนและเหงื่อออก 5.ระหว่างเดินทางไม่ควรคุยโทรศัพท์นาน เก็บแบตไว้ใช้เวลาจำเป็น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ออกไปมองฟ้า ออกไปมองน้ำ ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดปลายฟ้า...โลกนั้นกว้างใหญ่ รอเราก้าวออกไป
|
|
|
Tom-Keyray
ศิษย์น้อง
 
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 56

ชีวิตติดปีก
|
 |
« ตอบ #20 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2012, 15:21:17 » |
|
 "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"...เพื่อนว่าก็รู้สึกแย่แล้ว ต้องไปลุ้นตอนซ่อมรถอีก ทันทีที่เพื่อนสาวเห็นสภาพรถ ประโยคแรกที่พูดคือ "บอกแล้วว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่" แล้วเพื่อนก็บ่นต่ออีกยาวยืด...เป็นไงหล่ะแก ออกรถใหม่ไม่กี่วันก็ไปชนคนอื่น ผ่านไปไม่กี่เดือนก็โดนชนซะเยินอีก ฉันขอร้องแกนะ คราวนี้ซ่อมเสร็จก็เอารถไปให้หลวงพ่อเจิมสักทีเถอะ แล้วก็เอาพระที่ห้อยคอองค์เล็กๆ มาไว้ในรถสักองค์สององค์คงไม่ทำให้แกชักดิ้นชักงอหรอก" เรามานั่งคิด คิด (ออกจิตตกหน่อยๆ) ที่ผ่านมาเราไม่เชื่อเรื่องฤกษ์ยามหรือสิ่งศักดิ์ที่ต้องเอามาไว้ในรถ...พระก็ควรอยู่ที่วัด ถ้าอยู่ที่บ้านก็ต้องอยู่ในห้องพระหรือบนหิ้ง จะเอาพระมาห้อยโตงเตงหน้ารถทำไมให้แกะกะวิสัยทัศน์ การเจิมรถก็แค่ให้พระเอาดินสอพองผสมน้ำ มาป้ายบนหลังคาในรถ ทำให้รถเปื้อน ดูสกปกเปล่าๆ (ถ้าไม่ตรงกับความคิดเพื่อนๆ ต้องขออภัยด้วยนะคะ แต่ตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ) เราเชื่อในการกระทำของตัวเองมากกว่า ถ้าทำดี ผลที่ได้รับก็น่าจะดี ถ้าขยันมีความอดทน ผลที่ได้รับก็คือทรัพย์สินและความสำเร็จ อุบัติเหตุครั้งนี้มีผลกับจิตใจของเราพอควร โดยเฉพาะเราต้องขับรถไปต่างจังหวัดบ่อยๆ ถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้วตายพ้นไปก็ไม่น่าห่วง แต่ถ้าไม่ตาย เกิดพิการ แขนขาขาดหรืออัมพาตช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วพ่อแม่ต้องมานั่งเลี้ยง นี่สิแย่แน่ๆ ...เราตัดสินใจ หลังรถซ่อมเสร็จจะเอาไปให้หลวงพ่อเจิมที่วัด ก็อย่างที่เพื่อนสาวพูดนั่นแหละ "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย หรือทำให้ใครเดือนร้อน ทำแล้วอาจไม่ใช่วยอะไร แต่อย่างน้อยก็สบายใจ เราเอารถเข้าซ่อมที่ศูนย์โตโยต้าธนบุรี (ศูนย์ที่เราซื้อรถ) ใช้เวลาซ่อม 1 เดือน ความรู้สึกนานเหมือนเป็นปีเลย ไปไหนมาไหนไม่มีความสุขเหมือนตอนขับรถตัวเองเลย ....วันรับรถเรารีบไปที่ศูนย์แต่เช้า พอถึงศูนย์ ศูนย์ยังไม่เปิดแหละ ปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็จะเป็นคนแรกที่ได้เอาออกจากศูนย์ 555 เราถามหาเซลล์คนที่เราซื้อรถด้วย แต่วันนั้นเค้าหยุด เราเลยต้องคุยกับเจ้าหน้าที่คนอื่น ก่อนจะเห็นรถมันเป็นช่วงเวลาที่ลุ้นระทึกทีเดียว...สภาพรถจะเหมือนเดิมหรือเปล่าหว่า พอเห็นรถตัวเองแล้วก็ค่อยๆ เดินดูรอบๆ วนไปวนมาหลายรอบ ก้มดูฝากระโปรงรถว่ามันแนบสนิดไม่โป่ง ดูความเนียนของสี (ทำไปงั้นแหละ ไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ แค่คิดว่าควรต้องดูอะไรบ้าง) สรุปว่าภายนอกซ่อมได้ดีทีเดียว ส่วนภายในไม่มีอะไรเสียหาย แต่ตอนที่ลองปิด-เปิดประตูข้างซ้ายที่ถูกชน รู้สึกได้เลยว่าประตูมันตก เราบอกให้พนักงานที่มาต้อนรับเราช่วยแจ้งช่างให้แก้ไขอีกครั้ง น้องเค้าพูดกับเราว่าถ้าให้แก้ไขต้องใช้เวลาตรวจเช็คนานนะคะ เราก็ตอบสั้นๆ ว่า "รอค่ะ" สักพักใหญ่ๆ น้องคนเดิมก็เดินมาบอกว่ารถเรียบร้อยแล้ว เราเดินออกไปดูรถ แล้วก็ลองปิด-เปิดประตูอีกรอบ...แม่เจ้า!! ไม่ต่างกับเมื่อกี้เลยน๊ะเทอ (ชักเกิดอารมณ์นิดๆ) เราเลยบอกให้น้องเค้าลองปิด-เปิดประตูด้วยตัวเค้าอีก แล้วถามเค้าว่า "คุณรู้สึกยังไง?" เค้ายิ้มแหยๆ แล้วก็บอกว่า รู้สึกมันติดๆ กึกๆ ค่ะ (เอ่อ! แล้วยังจะให้ตูรับรถอีกหรือเปล่า) และแล้วก็เอารถไปแก้ประตูอีกรอบ ตอนนั้นเราเหมือนระเบิดเวลาลูกย่อมที่พร้อมระเบิด...เป็นไงเป็นกัน จะไม่รับรถจนกว่าประตูจะปิดได้ปกติเหมือนเดิม คราวนี้รอไปเลย 2 ชั่วโมงกับอีกสี่สิบห้านาที (ติดพักเที่ยง) แต่ผลที่ได้รับคือความพึงพอใจ แอบขัดใจนิดๆ ที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง คือ "มีเรื่อง" อิอิ  ข้อคิดที่ได้รับ... 1. เรื่องของความเชื่อบังคับกันไม่ได้ จนกว่าจะเจอเหตุผลอันสมควรให้เชื่อ 2. ก่อนเซ็นต์รับรถซ่อม ต้องตรวจให้ละเอียด ถ้างานซ่อมยังไม่ดี ต้องให้ศูนย์หรืออู่แก้จนกว่าจะดี 3.จะไปติดต่อธุระตามสถานที่ต่างๆ ควรเช็คเวลาทำการของสถานที่นั้นๆ ก่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ออกไปมองฟ้า ออกไปมองน้ำ ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดปลายฟ้า...โลกนั้นกว้างใหญ่ รอเราก้าวออกไป
|
|
|
eak99
"Saturday Man"
Gold Member
อาจารย์ปู่
  
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 1,742

EAK_EK
|
 |
« ตอบ #21 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2012, 16:39:21 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
NATASHA
Gold Member
เจ้ายุทธภพ
  
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 1,079

|
 |
« ตอบ #24 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2012, 20:13:54 » |
|
เดี๋ยวเค้าไปซื้อป็อปคอร์นแปป... 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
Alex007
ศิษย์พี่
  
ออฟไลน์
กระทู้: 214
|
 |
« ตอบ #36 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2012, 20:17:21 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Tom-Keyray
ศิษย์น้อง
 
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 56

ชีวิตติดปีก
|
 |
« ตอบ #37 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2012, 20:32:31 » |
|
 "การชนครั้งที่ 3" ชีวิตเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง 15 กพ 2552 หลังวันวาเลนไทน์ 1 วัน (20:30น.) - ดูภาพกันไปก่อนนะคะ ส่วนเหตุการณ์ตอนที่เป็นเช่นนี้ขอเล่าต่อพรุ่งนี้ค่ะ เนื่องจากคุณแม่สุดที่รักเรียกให้ไปป้อนอาหารคุณโคล่า (แมวเหมียว) ท่านเรียกหลายครั้งแล้ว ถ้าครั้งนี้ยังไม่ปฎิบัติมีหวังโดนหักค่าขนมแน่ค่ะ ข้อคิดที่ได้รับ... 1.ยืนยันอีกครั้ง!!..บนถนน อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ 2.ขอยืมประโยคของ "คุณ pulanet" มาใช้หน่อยนะคะ "เวลาเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับรถ สิ่งที่ดีที่สุดให้ขณะนั้นคือ สติ ครับ ที่เหลือก็จะเป็นเรื่อง สตังค์" 3.วินาทีเป็น วินาทีตาย ไม่เห็นคิดถึงพ่อ แม่ พี่ น้อง หรือสิ่งศักดิ์เลย คิดแค่ว่า...จะจบอีท่าไหน !!! ขอความคิดเห็นเพื่อนๆ หน่อยค่ะ 1. โชคดีมีจริงรึ? 2.คนเราจะโชคดีได้กี่ครั้ง? 3.บางคนอยากตาย แต่ไม่ตายสักที ถือว่าโชคดีป่ะ? 4.ประสบอุบัติเหตุ (เกี่ยวกับรถ) หนักแล้วรอดตาย หมายถึง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเหรอ หรือมีของดีติดตัว? หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้แล้ว ช่วงแรกๆ ในสมองจะมีแต่คำถามพวกนี้ตลอด (เปรียบเสมือนพี่น้องที่อยู่บ้านเดียวกัน เจอหน้ากันทุกวัน ถึงแม้ปัจจุบันนี้พี่น้องจะแต่งงานแยกบ้านไปแล้ว แต่ก็แวะมาเยี่ยมเยี่ยนบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็อดคิดถึงไม่ได้) ในเมื่อตอนนี้ได้รู้จักเพื่อนๆ แล้ว ก็เลยอยากรู้ว่าเพื่อนๆ มีมุมมอง แนวคิด ทัศนคติ เกี่ยวกับเรื่องความเป็นความตายที่เกิดจากการขับขี่รถ  ...ถ้าคำถามของเราดูไร้สาระต้องขออภัยด้วยนะคะ
|
ออกไปมองฟ้า ออกไปมองน้ำ ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดปลายฟ้า...โลกนั้นกว้างใหญ่ รอเราก้าวออกไป
|
|
|
|
|