yam_nt
ชาวยุทธ

ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 12
มือใหม่หัดซิ่ง--ค่า^^
|
 |
« เมื่อ: 15 สิงหาคม 2009, 18:24:45 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
|
beer4353
Gold Member
อาจารย์ปู่
  
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 8,890

เก้ง แว่น...โชคชัย4 ^~^
|
 |
« ตอบ #6 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2009, 08:44:07 » |
|
เกจวัดสำหรับเครื่อง NA หลักๆ จะนิยมใส่กันไม่กี่แบบหรอกครับ ที่มักจะใส่เพื่อใช้งานกันส่วนมากก็ประมาณ 3 ตัวกำลังดีครับ แต่ถ้างบเหลือก็ใส่ๆไปให้หมดก็ได้ครับ 555 อีกจำพวกนึง คือใส่เพื่อสวยงาม ถ้าเป็นประเภทนี้ ก็ใส่พวกวัดค่า Temp จะประหยัดงบในกระเป๋าไปได้เยอะครับ อีกอย่างคือ ถ้าต้องการไว้ใช้งานจริงๆ แนะนำให้ใช้เกจที่มีคุณภาพนิดนึง เพื่อความแม่นยำ ในการรายงานค่าที่วัดออกมา สำหรับยี่ห้อ และ ราคานั้น มันค่อนข้างหลากหลาย ก็ลองศึกษาดูครับ แบรนด์ดังๆ สามารถสืบค้นข้อมูลได้ไม่ยากนัก
- Water Temp เนื่องจากของเดิมติดรถค่าที่วัดค่อนข้างหยาบ (ยกเว้นพวกรุ่นใหม่ๆ ที่วัดอุณหภูมิละเอียดเป็นดิจิตอล) - Oil Press คร่าวๆ คือไว้เช็คสภาพความหนืด - ใส ของน้ำมันเครื่อง รวมทั้งแรงดันน้ำมันเครื่องภายในระบบ จำพวกปั้มน้ำมันเครื่อง ฯลฯ - Oil Temp เช็คอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง เพื่อป้องกันเครื่องยนต์กลับบ้านเก่าก่อนวัยอันควร ( ส่วนมากจะเลือกติดระหว่าง Oil Press หรือ Oil Temp อย่างใดอย่างหนึ่ง) - Fule Press วัดแรงดัน น้ำมันเชื้อเพลิง หรือไว้เช็คสุขภาพของ ปั้มติ๊กเรานั้นเอง - Ex Temp ไว้วัดอุณหภูมิค่าไอเสีย หรือง่ายๆคือ ถ้าอุณหภูมิร้อนมาก แสดงว่า น้ำมันเชื้อเพลิงในห้องเผาไหม้ จ่ายบางกว่าที่ควรจะเป็น หรือ อุณหภูมิต่ำมาก แสดงว่าน้ำมันจ่ายหนา ฯลฯ - Volt วัดไฟแบตเตอร์รี่ ส่วนมากหลายคนมักไม่ค่อยสนใจกับตรงนี้ ทั้งที่มันค่อนข้างสำคัญเลยทีเดียว ตัวนี้เป็นตัวบ่งบอกถึงสุขภาพ ระบบไฟจากไดชาจ รวมถึงแบตเตอร์รี่รถเราด้วยนะครับ 1. มาตรวัดบูสต์ (BOOTS METER) มาตรวัดตัวนี้จะเห็นในรถยนต์แทบทุกคันที่มีการติดตั้งเทอร์โบเข ้าไป รวมถึงรถยนต์ที่มีเทอร์โบมาจากโรงงานก็อาจจะมีตัวนี้มาให้ เนื่องจากมันเป็นตัวบ่งบอกสำคัญให้ผู้ขับขี่ทราบว่า มีแรงดันอากาศ หรือแรงบูสต์เข้ามายังเครื่องยนต์มากน้อยเพียงไร มาตรวัดตัวนี้โดยปกติบนหน้าปัด จะมีค่าตัวเลขด้านล่างขึ้นมาที่ 0 ซึ่งเป็นค่าของ แวคคั่ม หรือ แรงดันลบ และจาก 0 ขึ้นไป จะเป็นของเทอร์โบ หรือ แรงดันบวก และในส่วนของเทอร์โบนี่เอง ที่จะเป็นส่วนบ่งบอกว่า เทอร์โบ กำลังทำงานอยู่สำหรับการดูค่าอัตราบูสต์เทอร์โบนั้น ถ้าหากว่าเข็มบนมาตรวัดเดินช้ามาก เป็นตัวแสดงให้เห็นอย่างหนึ่งว่า เทอร์โบมีขนาดใหญ่เกินไป ส่งผลให้ไอเสียที่ไปปั่นใบเทอร์โบไม่พอ การแก้ไขก็น่าจะเป็นการเปลี่ยนเป็นแคมฯ องศาสูง รือไม่ก็เปลี่ยนจังหวะของวาล์วเป็นต้น นอกจากนี้หากบนมาตรวัดชี้ว่ามีแรงบูสต์สูงเกินไปจากที่มีการตั้ งค่าเอาไว้ ก็อาจจะสรุปได้ว่าเกิดปัญหาขึ้นที่สปริงวาล์ว ของเวสต์เกต ที่เป็นตัวควบคุมแรงดันบูสต์ของเทอร์โบเป็นต้น สำหรับมาตรวัดอัตราการบูสต์นี้ อาจจะมีค่าการวัดไม่เหมือนกัน บางครั้งอาจบ่งบอกค่าการวัดเป็น Bar (บาร์) หรือว่า psi (ปอนด์) อีกทั้งค่าสูงสุดของมาตรวัดบูสต์ ก็ไม่เท่ากัน จึงควรเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับความต้องการ
2. มาตรวัดอุณหภูมิเครื่องยนต์ (WATER TEMP METER) สำหรับมาตรวัดความร้อน ตามปกติในรถธรรมดาทั่วไป ก็จะมีติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐานอยู่แล้ว แต่ว่ารถยนต์ทั่วไปนั้นอาจไม่ได้อ่อนไหวในเรื่องของความร้อนมาก นัก ค่าแสดงให้เห็นจึงไม่ละเอียดมากนัก ทั้งนี้เป็นเพราะทางโรงงานตั้งใจทำมาอย่างนั้น เพื่อคนขับจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมาก แต่ว่าเมื่อไหร่ที่เกจความร้อนขยับสูงขึ้น นั่นหมายความว่าความร้อนขึ้นค่อนข้างมาก ทว่าถ้าเป็นในรถธรรมดา อาจจะยังไม่ก่อปัญหามากนัก ขณะที่รถยนต์ซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบและมีการโมดิฟาย หรือปรับบูสต์ เรื่องปัญหาความร้อนมีความสำคัญมาก เพราะอาจหมายถึงความเสียหายที่เกิดกับเครื่องยนต์ได้เลยทีเดียว โดยปกติ เซ็นเซอร์ ที่ใช้วัดความร้อนของเครื่องยนต์จะติดตั้งอยู่ตรงท่อน้ำที่ออกจ ากเครื่อง ซึ่งอุณหภูมิโดยปกติที่เครื่องยนต์ทำงานควรจะอยู่ที่ราว 90-100 องศาเซลเซียส และควรควบคุมไม่ให้สูงขึ้นเกินไปกว่า 120 องศาเซลเซียส หากว่าอุณหภูมิยังสูงขึ้นก็พอมีวิธีแก้ไขคือ เพิ่มขนาดของหม้อน้ำให้ใหญ่ขึ้น เปิดกันชนหน้าให้ลมผ่านเข้าหม้อน้ำได้ง่ายขึ้น หรือไม่ก็เจาะสคูปดักลมบนฝากระโปรงหน้า ให้ลมเข้ามาเป่าห้องเครื่อง วิธีการเหล่านี้พอจะสามารถทำให้เครื่องยนต์เย็นได้บ้างเหมือนกัน 3. มาตรวัดรอบ (TACHO METER) RPM สำหรับมาตรวัดรอบ ก็เหมือนกับมาตรวัดความร้อน คือรถยนต์ส่วนใหญ่จะมีการติดตั้งมาให้จากโรงงานอยู่แล้ว แต่สาเหตุที่มีบางคนต้องไปติดเพิ่มอาจจะมาจาก เหตุผลต่างกันไป บางคนอาจคิดว่าเป็นอุปกรณ์ตกแต่งสร้างความสวยงาม หรือความเท่ แต่กับบางคนอาจจะเป็นสิ่งจำเป็นจริง ๆ อย่างรถยนต์ที่ผ่านการโมดิฟายเปลี่ยน ไปใช้แคมฯ องศาสูงมาก ๆ จนทำให้สามารถเร่งรอบได้มากกว่าเดิม ซึ่งวัดรอบที่มีติดมากับรถ ไม่สามารถแสดงข้อมูลได้เพียงพอ จึงต้องหาอันใหม่มาติดเข้าไป หรือในรถยนต์ที่ทำขึ้นมาสำหรับการแข่งขันควอเตอร์ไมล์ซึ่งจังหว ะการเปลี่ยนเกียร์ ถือเป็นสิ่งที่ต้องการให้ความสำคัญมาก การตัดสินแพ้ชนะอยู่ที่เวลาเพียงเศษเสี้ยว วินาที ดังนั้นมาตรวัดรอบที่มาพร้อมไฟเตือน จึงกลายเป็นอุปกรณ์ช่วยได้อย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตามการแพ้ชนะไม่ได้เพียงอุปกรณ์ที่ว่าเท่านั้น จังหวะฝีมือ สมาธิ ในการเปลี่ยนเกียร์ของผู้ขับขี่เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า &n bsp;
4. มาตรวัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง (OIL TEMP METER) อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง มีความสำคัญมากพอสมควร เพราะถือว่ามีผลกระทบกับเครื่องยนต์โดยตรง หากว่าอุณหภูมิของน้ำมันเครื่องสูงเกินไป เครื่องยนต์ก็ ไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้อุณหภูมิของน้ำมันเครื่องจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมันเ ครื่องที่ใช้ ซึ่งในตลาดน้ำมันเครื่องแยกเป็นหลายประเภท มีทั้งแบบทนความร้อนสูงที่อุณหภูมิสูงถึง 120 องศาเซลเซียส ส่วนบางประเภทอุณหภูมิแค่ 110 องศาเซลเซียส ก็ทนไม่ไหวกลายสภาพเป็นน้ำก็มี โดยปกติของอุณหภูมิน้ำมันเครื่องจะสูง-ต่ำ ไปในแนวทางเดียวกับอุณหภูมิของเครื่องยนต์หรืออุณหภูมิหม้อน้ำ ซึ่งถ้าความร้อนของน้ำขึ้น อุณหภูมิของน้ำมันเครื่องก็จะขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ในสภาพการใช้งานเครื่องยนต์ควรรักษาอุณหภูมิของน้ำมันเค รื่องให้อยู่ในช่วง 80-110 องศาเซลเซียส ถ้าหากอุณหภูมิสูงขึ้นไปเกิน 120 องศาเซลเซียส ควรทำให้เย็นลงก่อนจึงใช้งานเครื่องยนต์ต่อไป สำหรับทางออกในการช่วยรักษาอุณหภูมิของน้ำมันเครื่อง รถยนต์ที่ผ่านการโมดิฟายมักมีการใส่ OIL COOLER เข้าไปช่วยก็ทำให้อุณหภูมิน้ำมันเครื่องไม่สูงเกินไป
5. มาตรวัดแรงดันน้ำมันเครื่อง (OIL PRESSURE METER) มาตรวัดตัวนี้จะมีส่วนสำคัญในการแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ น้ำมันเครื่อง โดยค่าที่แสดงออกมาให้เห็นจะเป็นเวลาที่เครื่องยนต์ทำงานในรอบส ูงๆ หรือขณะที่เครื่องยนต์ มีอุณหภูมิในการทำงาน เพราะเมื่อน้ำมันเครื่องเจอเข้ากับความร้อนสูง ๆ จะถูกหลอมให้เหลวลง และถ้าน้ำมันเครื่องเหลวมากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพความหล่อลื่นก็จะลดลงการสึกหรอ จนถึงการ ระบายความร้อนก็จะลดประสิทธิภาพลงตามไปด้วย ดังนั้นการตรวจสอบตรงจุดนี้จึงมีความสำคัญ ซึ่งมาตรวัดแรงดันน้ำมันเครื่องจะเป็นตัวบ่งบอกข้อมูลนี้ได้ โดยในการแสดงข้อมูลให้เห็นนั้น หากว่ามีแรงดูดน้อย ที่เรียกว่า "แรงดันต่ำ" จะถือว่าการหล่อลื่นไม่ดี เพราะแสดงถึงว่าน้ำมันเครื่องเหลวมาก ใช้แรงดูดน้อยก็ไหลเข้ามาแล้ว ในทางกลับกัน ถ้าน้ำมันเครื่องมีความหนืดมาก แรงดูดก็ต้องใช้แรงมาก เรียกว่า "แรงดันสูง" จะสังเกตได้ว่าเวลาที่น้ำมันเครื่องยังคงเย็น มาตรวัดจะแสดงว่ามีแรงดันสูง แต่เมื่อความร้อนเพิ่มขึ้น น้ำมันเครื่องคลายความหนืดลง ความดันก็จะเริ่มต่ำลงมา สำหรับรถยนต์โดยทั่วไปในขณะวิ่ง แรงดันน้ำมันเครื่องควรอยู่ที่ประมาณ 3 - 4 kg/cm2 หรือหากสูงมากก็ไม่ควรจะเกิน 6 kg/cm2
6. มาตรวัดอุณหภูมิท่อไอเสีย (EX. TEMP METER) อุณหภูมิของท่อไอเสีย หลายคนอาจจะมองว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับประสิทธิภาพ การทำงานของเครื่องยนต์ ทว่าในความเป็นจริงมันมีส่วนที่สัมพันธ์กับแรงดันน้ำมัน หรือการไหลของอากาศสำหรับรถที่ผ่านการโมดิฟาย นอกจากน้ำมันเครื่องแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญ ก็คือ ปริมาณการจ่ายน้ำมันเบนซิน ซึ่งปริมาณน้ำมันเบนซินจะมาก จะน้อย ก็สามารถวัดได้จากมาตรวัดอุณหภูมิท่อไอเสียนี่เอง ซึ่งหากมีการปรับน้ำมันให้อ่อนลง จะทำให้อุณหภูมิของท่อไอเสียเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเป็นในทางตรงกันข้ามน้ำมัน แก่ อุณหภูมิของท่อไอเสีย ก็จะต่ำลง ดังนั้นมาตรวัดอุณหภูมิไอเสีย จึงสามารถบอกข้อมูลของรถในขณะวิ่งได้ อย่างไรก็ตามโดยทั่วไป มาตรวัดอากาศไหลเข้า หรือว่ามาตรวัดแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ใช้บอกข้อมูลในทางเดียวกัน
7. มาตรวัดแรงดันเชื้อเพลิง (FUEL PRESSURE METER) สำหรับมาตรวัดตัวนี้ใช้เป็นตัวเช็คแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงว่า ในขณะที่เหยียบคันเร่งแล้วน้ำมันขึ้นมาตามปริมาณที่เราออกแรงกด ลงไปบนคันเร่งหรือไม่ สำหรับคนที่ใช้รถแบบปรกติหรือใช้บนถนนทั่วไป มาตรวัดตัวนี้คงจะไม่จำเป็น อย่างไรก็ดีหากว่า ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงหรือหัวฉีดเกิดมีปัญหาขึ้นมา มาตรวัดที่บอกค่า ของแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง ก็สามารถเป็นตัวบอกความผิดปกติได้ วิธีดูมาตรวัดตัวนี้ จะใช้ดูค่าในขณะที่รถยนต์ติดเครื่องเดินเบาเป็นหลัก สำหรับรถยนต์ที่มีเทอร์โบ ติดตั้งอยู่ด้วยค่าของแรงดันนี้จะขึ้น ไปตามอัตราการบูสต์ เช่น ค่าที่วัดได้ในขณะเดินเบามีค่าเป็น 3 บาร์ แต่เมื่อเทอร์โบบูสต์ไป 1 บาร์ ค่าบนของมาตรวัดจะชี้ไปที่ 4 บาร์ ซึ่งหากว่าแรงดันนี้ตกลง นั่นหมายถึงว่าขนาดของปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงหรือหัวฉีดที่ใช้ไม่ เพียงพอ เสียแล้ว ดังนั้นมาตรวัดตัวนี้จึงมีความจำเป็นไม่น้อยสำหรับรถยนต์เทอร์โ บ ซึ่งผู้ขับขี่ความสังเกตค่าแรงดันในขณะที่เดินเบาเป็นหลัก และสังเกตว่าแรงดันน้ำมัน นั้นขึ้นไปตามอัตราการบูสต์หรือไม่
8. มาตรวัดส่วนผสมของอากาศกับน้ำมันเชื้อเพลิง (A/F METER) มาตรวัดตัวนี้เป็นการเช็คความสมดุลระหว่างอากาศกับน้ำมันเชื้อเ พลิง สำหรับ A/F คืออัตราส่วนระหว่างอากาศกับน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งโดยทั่วไปอัตราส่วนตามหลักการนี้จะต้องมีค่าเท่ากับ 14 ในขณะที่เครื่องเดินเบา เลข 14 ก็จะหมายถึงอากาศ 14 ส่วน/น้ำมัน 1 ส่วน ซึ่งจะผสมอยู่ในห้องเผาไหม้สำหรับจุดระเบิด และค่านี้จะต่ำลงไปในขณะที่มีการเร่งเนื่องจากปริมาณน้ำมันเพิ่ มขึ้น และค่า A/F นี้จะสูงขึ้นในขณะที่ทำการถอนคันเร่ง โดยค่า A/F นี้จะถูกแบ่งออกเป็น "บาง" กับ "หนา" ซึ่งถ้าต้องการทำให้รถแรงขึ้น ก็ต้องปรับให้ค่า A/F ให้มีค่าที่บางลง คือการปรับให้น้ำมัน น้อยลง-อากาศมากขึ้น อย่างไรก็ตามการปรับในลักษณะดังกล่าว ก็มีผลทำให้อุณหภูมิในห้องเผาไหม้สูงขึ้นได้ จึงจำเป็นต้องมีการปรับอย่างระมัดระวัง ทั้งนี้ค่า A/F ไม่ควรสูงเกินกว่า 12 เพราะนั่นหมายความว่าน้ำมันเชื้อเพลิงน้อยเกินไป ซึ่งในรถที่มีการโมดิฟาย ควรจะให้มีค่า A/F ขณะเร่งอยู่ในช่วง 10.5- 11.5 ก็พอ
9. แวคคั่ม มิเตอร์ (VACCUM METER) มาตรวัด VACCUM ตัวนี้ จริง ๆ แล้วมันก็อยู่ในมาตรวัดตัวเดียวกับมาตรวัดอัตราบูสต์เทอร์โบ มาตรวัดตัวนี้จะตอบสนองกับ อัตราการเหยียบคันเร่ง ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการเช็คความสิ้นเปลืองน้ำมันได้เหมือนกัน สำหรับการดูค่าของมาตรวัดตัวนี้ต้องดูเวลา เครื่องเดินเบา ซึ่งจะดูได้จากค่าสุญญากาศ ถ้าค่าสุญญากาศนี้มีมาก ก็จะถือได้ว่าเครื่องยังคงมีสภาพที่สมบูรณ์ ไม่รั่วซึม แต่ถ้าค่านี้ลดลงไปมาก นั่นก็เป็นไปในทางตรงกันข้าม มาตรวัดตัวนี้จึงเป็นมาตรวัด ที่อาจมีไว้เช็คสภาพของเครื่องยนต์ ได้ ทั้งนี้ในขณะเครื่องยนต์เดินเบาถ้าเข็มบนมาตรวัดนี้บอกค่าไม่ถึ ง 300 cmHg นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าเครื่องยนต์ มีสภาพย่ำแย่ โดยเครื่องยนต์ใหม่ ๆ ที่มีความสมบูรณ์ค่าตัวนี้จะอยู่ที่ประมาณ 450 cmHg
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 สิงหาคม 2009, 08:47:32 โดย beer4353 »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yam_nt
ชาวยุทธ

ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 12
มือใหม่หัดซิ่ง--ค่า^^
|
 |
« ตอบ #7 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2009, 19:01:59 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
beer4353
Gold Member
อาจารย์ปู่
  
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 8,890

เก้ง แว่น...โชคชัย4 ^~^
|
 |
« ตอบ #12 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2009, 08:51:28 » |
|
ของเกร็ดดีๆ พวกวัด TEMP ตัวนึงก็ควรจะเตรียมไว้ตัวนึงประมาณ 3000 - 5000 บ. แล้วครับ ส่วนพวกวัดค่าแรงดัน PRESS ตัวนึงก็เตรียมไว้เลยประมาณ 4000 - 8000 บ.
ถ้างบประมาณนี้ แนะนำว่าให้ติด Oi Temp, Water Temp, Oil Press ครับ จะอยู่ประมาณงบนี้ หรือเกินนิดหน่อยเท่านั้น
อ้างอิงจากเกจยี่ห้อ Shadow นะครับ เกร็ดใช้ได้ เนื้องานดี กล้าแนะนำเพราะลองใช้อยู่ ปล. ตัวนี้เข็มมาตรวัด ทำงานด้วยระบบสเต๊ปมอเตอร์ไฟฟ้า + ตั้งค่าเตือน ไฟและเสียงได้ + เช็คการแสดงผลค่าสูงสุดได้ครับ 
|

EK_CivicClub_015.jpg (65.64 KB, 563x376 - ดู 395 ครั้ง.)
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 สิงหาคม 2009, 08:53:28 โดย beer4353 »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
beer4353
Gold Member
อาจารย์ปู่
  
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 8,890

เก้ง แว่น...โชคชัย4 ^~^
|
 |
« ตอบ #15 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2009, 14:59:50 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 สิงหาคม 2009, 15:11:29 โดย beer4353 »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
system-dj
โฆษกประจำสำนัก
Gold Member
อาจารย์ปู่
  
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 11,486

Dj Ko System No.468
|
 |
« ตอบ #16 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2009, 15:06:28 » |
|
วัด Water Temp / Oil Temp / Volt ตกตัวล่ะ 2950 บ.ครับ วัด Boot / แวคกัม ตัวล่ะ 3500 บ. ครับ วัด Oil Press ตัวล่ะ 4900 บ.
ทั้งหมดพร้อม Sensor ครับ มีหน้าดำ สโมก แล้วก็หน้าขาว นี่แหละครับ 
พรีเซนต์เหมือนขายเองเลยนะเนี่ย  ก็ขายไปเซ่ พ่อรูปหล่อ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
beer4353
Gold Member
อาจารย์ปู่
  
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 8,890

เก้ง แว่น...โชคชัย4 ^~^
|
 |
« ตอบ #17 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2009, 15:08:53 » |
|
ซื้อต่อพี่เบียร์ก็ได้ครับ
เขาจะขายไปเล่น Defi'  แลกกับ Defi โก้ละกัน 
โก้เพิ่มตังค์ให้เราอีก 5000 บ. พอ กันเองๆ 
เป็นคนอื่นไม่ต้องเพิ่มให้นะเนี่ย 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
system-dj
โฆษกประจำสำนัก
Gold Member
อาจารย์ปู่
  
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 11,486

Dj Ko System No.468
|
 |
« ตอบ #18 เมื่อ: 18 สิงหาคม 2009, 15:11:03 » |
|
แลกกับ Defi โก้ละกัน 
โก้เพิ่มตังค์ให้เราอีก 5000 บ. พอ กันเองๆ 
เป็นคนอื่นไม่ต้องเพิ่มให้นะเนี่ย  แลก กะ B20 เอา...เพิ่มเงินให้ 1.500 นะเพื่อนร๊ากกกกกกกก 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
system-dj
โฆษกประจำสำนัก
Gold Member
อาจารย์ปู่
  
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 11,486

Dj Ko System No.468
|
 |
« ตอบ #20 เมื่อ: 20 สิงหาคม 2009, 08:20:31 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|