อ่านแล้วเข้าใจง่ายดี
ต้องบอกก่อนครับว่าเป็นการ Forword mail มานะครับ ไม่ใช่อาการที่ผมเป็นนะครับ
ไม่รู้ว่าบางท่านได้อ่านหรือยังนะครับ ลองอ่านดูครับว่าเป็นเช่นไร
ปล. จิงๆมันมีรูปหัวเทียนอ่ะครับ แต่ว่ายังลงไม่เป็นครับ
ปฐมบท
เริ่มต้นคบหากับ LPG มาเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา จำได้ว่าตอนที่ไปติดตั้ง AVANZA อายุประมาณ 1 ปีเศษ ๆ วิ่งมาทั้งสิ้น 25000 กิโลเมตร สภาพเครื่องยนต์ ณ. วันติดตั้ง สมบูรณ์ มีของเล่นภายในห้องเครื่องที่แปลกปลอมจาก โรงงาน คือ ?Ground Wire by Camera? เพียงชิ้นเดียว
ระบบที่ติดตั้งให้กับ AVANZA ในตอนแรกนั้นเป็นแบบ Fix Mix ไม่มีกล่องหลอกหัวฉีด ไม่มีกล่องหลอก O2 ใด ๆ ทั้งสิ้น และทำการเปลี่ยนท่อไอดี จากของเดิมเป็น ท่อไอดีแสตนเลส พร้อมตัวกัน Back Fire ปัญหาที่พบในช่วงแรกได้แก่ ไฟเอนจิ้นโชว์ ทุกครั้งที่มีการลากรอบ และอัตราเร่งต*นปลายหายไปอย่างชัดเจน
ต่อมาได้ Upgrade ระบบใหม่เป็น Fix Mix + Lamda Control + Auto Switch Change Over แบบมีกล่องหลอกหัวฉีดในตัว ส่วนการหลอก O2 ใช้ Lamda Control จัดการให้ พร้อมทั้งเปลี่ยนท่อไอดี กลับมาใช้ของเดิม หลังจากทำการ Upgrade ระบบครั้งนี้ ได้จูน Lamda โดย นพดล ด่านสุวรรณ ก็พบว่าอัตราเร่งเทียบเท่ากับน้ำมัน ทั้งช่วงต*นต้น และต*นปลาย รวมถึงปัญหา ไฟเอนจิ้น ก็ไม่เคยรังควาญอีกเลย
จุดเริ่มต้นแห่งหายนะ
หลังจากใช้แก๊สมาระยะเวลา 1 ปีเต็ม พบว่าเครื่องเริ่มรวนเล็กน้อย เวลาใช้แก๊ส มีอาการวูบทุกครั้งที่เร่ง รอบเดินเบาสะดุดตลอดเวลา ตอนนี้ระบบน้ำมันยังสามารถทำงานได้ดีอยู่ จึงตัดสินใจเปลี่ยนกล่อง Lamda Control และเริ่มหัดจูน ด้วยตัวเอง อาการดังกล่าวหายไปพร้อมกับแรงฮึกเหิมที่ได้มาจากประสบการณ์จูนรถด้วยตัวเอง พร้อมกับรู้จักคำว่า ?แรงสั่งได้? นั้นเป็นอย่างไร
ต่อมาอีกระยะใหญ่ พบปัญหาที่ระบบน้ำมันไม่สามารถเดินเบาได้ ณ.เวลานั้นยอมรับว่า ประมาท เพราะคิดว่าระบบแก๊สยังทำงานได้เป็นปรกติดีอยู่ จึงไม่ได้สนใจจะหาข้อมูลเพิ่มเติมเพราะคิดว่ารถใช้แก๊สมานาน พอกลับมาใช้น้ำมัน ก็คงมีอาการผิดปรกติบ้างรวมถึงได้ทดลอง Reset ECU ก็พบว่าอาการดีขึ้นจึงไม่ได้คิดอะไร (ประมาท)
จากเหตุการณ์ดังกล่าว มาประมาณ 3 เดือนพบว่า ระบบแก๊ส เริ่มมีอาการคล้าย ระบบน้ำมัน ไม่สามารถเดินเบาได้ แต่ใช้วิชา จูนนิ่ง Lamda Control ที่มีติดตัวอยู่เข้าช่วย รวมถึงความฉลาดน้อยของตัว Lamda ที่คอยปรับอัตราส่วนผสมตลอดเวลา โดยไม่คำนึงว่าระบบเครื่องยนต์ตอนนั้นเป็นอย่างไร (ซึ่งจะต่างจาก ECU ของรถยนต์ ที่สามารถตรวจสอบความผิดปรกติของเครื่องยนต์ได้) ทำให้ดูเหมือนว่าอาการบรรเทาลง และทำให้คนฉลาดน้อยอย่างผม เข้าใจว่าเครื่องยนต์ปรกติดีอยู่ และพาลคิดไปว่าอาการผิดปรกติที่เกิดขึ้นมาจากการปรับตั้งแก๊สที่ไม่ดีเอง จึงเกิดการ ประมาทรอบสอง
ลางบอกเหตุ
ในช่วงที่ระบบน้ำมันมีปัญหานั้น อาการที่สังเกตได้ชัดเจน มีดังนี้
1. รอบเดินเบา เครื่องยนต์จะสั่นตลอดเวลา และรอบสวิงไปมา ในขณะไม่มีโหลดแอร์
2. เมื่อคอมแอร์เริ่มทำงาน รอบเครื่องยนต์ จะตกลงไปถึงประมาณ 600 RPM พร้อมอาการเครื่องกระตุก เหมือนจะดับ บางครั้งมีอาการเหมือนเครื่องเขก ร่วมด้วย
3. ขณะจอดรถติดไฟแดง จะไม่สามารถค้างเกียร์ที่ D ได้ รอบเครื่องจะตกไปที่ 600 RPM พร้อมกับอาการเครื่องสั่นตลอดเวลา อาการจะแย่มากขึ้นเมื่อมีโหลดแอร์เข้ามาร่วมด้วย ลักษณะการสั่นจะเหมือนยางแท่นเครื่องหมดอายุ แต่ตรวจสอบแล้วไม่ใช่
4. ในสภาวะการจราจร แบบเคลื่อนตัวได้ สลับหยุดนิ่ง จะไม่สามารถปล่อยให้รถไหลได้ ต้องเหยียบคันเร่งช่วยตลอด
5. หากสตาร์ทเครื่องยนต์ ขณะเครื่องเย็น จะได้ยินเสียงเหมือนวาล์วดังทำงานอย่างชัดเจน (เสียงดัง แกร่ก ๆ ๆ ๆ) และจะหายไปเมื่อเครื่องยนต์เข้าสู่อุณหภูมิทำงานปรกติ
6. ทดสอบเอามืออังท่อไอเสีย พบว่าการคายไอเสียมีลักษณะผิดปรกติ คือ ไอเสียออกมาเป็นลูก ๆ แทนที่จะออกมาแบบเป็นสายต่อเนื่องกัน รวมถึงปลายท่อไอเสีย จะสั่น
ในช่วงเวลาที่ระบบน้ำมันเริ่มมีปัญหานั้น ระบบแก๊ส ยังทำงานได้เป็นปรกติดีอยู่ เพราะผลสืบเนื่องมาจาก การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ของ Lamda Control ที่คอยปรับอัตราส่วนผสมให้พอดีกับความต้องการของเครื่องยนต์ สังเกตจากการ monitor บนคอมพิวเตอร์เวลาจูน จะพบว่ามีการปรับ Step Motor ตลอดเวลา และปรับขึ้น ลง ด้วยลักษณะแปลก ๆ (ผมบอกไม่ได้ว่าแปลกยังไง แต่มันรู้สึกได้ด้วยตัวเองหลังจากนั่งจูน Lamda มานาน)
อาการของระบบแก๊ส เริ่มมีตามมา และคล้ายคลึงกับระบบน้ำมัน มากขึ้น ทำให้เริ่มใจไม่ดี จากที่เคยวิ่งแก๊สได้ ก็กลับเป็นวิ่งไม่ได้แล้ว ครั้นจะกลับไปใช้น้ำมัน ก็ไม่ได้อีก .. ทำไงดีล่ะทีนี้
ช่วงนี้ก็ขับ รถแบบประคับ ประคอง และเริ่มศึกษาข้อมูลมากขึ้น เริ่มรู้จักกับ ?วาล์วยัน? แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะอาการยังไม่ชัดเจน และไม่คล้ายกับใครเลย (คือ คนอื่นจะเป็นลักษณะรอบสวิงขึ้น ลง) แต่ของผม เครื่องจะสั่น ก็เลยเถิดคิดไปถึง ?หัวเทียน? เพราะไม่ได้เปลี่ยนมาร่วม 4 หมื่นกิโลแล้ว
2 วันก่อนรู้ความจริง
เวลานั้น เริ่มมึน + มืดแปดด้าน และเริ่มโทษนู่น โทษนี่ . สุดท้ายตัดสินใจตรวจสอบ ?ระบบจุดระเบิด? ก็เลยทำการถอดหัวเทียนออกมาดู ปรากฏว่า
สภาพหัวเทียนที่ถอดออกมา ดูตามลำดับจากซ้าย ไปขวา
หัวเทียนหัวที่ 1: มีอาการเหมือนหัวเทียนบอด มีคราบดำติดอยู่ที่เขี้ยว
หัวเทียนที่เหลือ : เป็นคราบสีน้ำตาล-แดง ซึ่งเป็นปรกติของรถใช้แก๊ส แต่ที่ผิดสังเกตคือ มีกลิ่นเหมือนน้ำมันติดอยู่ที่หัวเขี้ยว
สภาพห้องหัวเทียนสูบที่ 1
จากนั้น พบว่าใน ?ห้องหัวเทียนที่1? มีคราบสีเหลืองๆ กระจายอยู่เต็ม มาถึงตรงนี้เริ่มหนักใจมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเวลานั้นอยู่ต่างจังหวัด หาอะไหล่ไม่ได้เลยทำได้แค่เพียงทำความสะอาดหัวเทียน ห้องหัวเทียน และประกอบกลับเข้าไป หลังจากลองสตาร์ทเครื่องยนต์ อาการสั่นก็กลับมาเหมือนเดิม แต่ที่แย่กว่าเดิมคือมีอาการ เร่งแล้ววอดร่วมด้วย และยิ่งไปกว่านั้น ขณะวิ่งฝ่าฝนเครื่องมีอาการสั่นสะท้านตลอดเวลา เร่งไม่ขึ้น และที่หนักสุดคือ รอบเครื่องยนต์ขณะเดินเบาหล่นไปอยู่ที่ 600 RPM ตลอดเวลาไม่ว่าจะมีโหลดแอร์ หรือไม่มี ตอนนี้เป็นทั้งแก๊ส และน้ำมันแล้ว ซึ่งพยายามงัด คอมพิวเตอร์ออกมาจูน Lamda Control ช่วยก็ไม่สามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นไปได้เลย
1 วันก่อนรู้ความจริง
หลังจากกลับมาถึง กทม. หาซื้อหัวเทียนใหม่เพื่อนำมาเปลี่ยน (ก็ยังฝังใจว่า ต้นเหตุของปัญหาคือ ?หัวเทียน?) ปรากฏว่าหลังจากที่ถอดหัวเทียนออกมา คราบสีเหลืองเจ้ากรรม ที่เช็ดทำความสะอาดไปเมื่อวาน กลับมีขึ้นมาใหม่อีก รวมถึงหัวเทียนที่ทำความสะอาดไปเมื่อวานก็กลับเป็นสภาพเดิมอีกครั้ง เลยทำการเปลี่ยนหัวเทียนเข้าไปใหม่ ผลที่ได้ รอบเดินเบายังเป็นเหมือนเดิม แต่อัตราเร่งดีขึ้นนิดนึง รอบเครื่องยนต์ขณะเดินเบา เริ่มสวิง ระหว่าง 600 ? 1000 RPM
เช้าแห่งความเศร้า
ตื่นเช้ามา สตาร์ทรถตามปรกติ และเป็นธรรมดาว่าจะต้อง อุ่นเครื่องให้ร้อนก่อนค่อยออกวิ่ง เพื่อลดอาการ เครื่องสั่น แต่ปรากฏว่าเช้านี้ อาการเครื่องสั่นไม่ยอมหาย และเป็นหนักขึ้น เริ่มมีอาการเบาจะดับ เหยียบเบรกแล้ววูบ เร่งไม่ขึ้น รอบสวิงไปมาตลอดเวลา ทั้งที่คอมแอร์ไม่ได้ทำงาน ที่เด็ดสุดตึกลานจอดรถที่ปีนอยู่ทุกวัน วันนี้มันกลายเป็น ?ยอดดอยอินทนนท์? ไปซะแล้ว จากที่เคยแตะ ๆ คันเร่งก็พุ่งปรี๊ดขึ้นไปได้ มาวันนี้เหยียบคันเร่งแทบจะสุด ยังได้แค่คลาน ๆ ขึ้นไป
เลยตัดสินใจ ?เป็นไงเป็นกัน? โทรไปปรึกษาช่าง (ได้คำแนะนำจาก คุณวสุ ซึ่งเป็นหนูลองยาไปก่อนหน้านี้) เล่าอาการให้ฟัง ก็ได้รับคำยืนยันจากช่าง ?แน่นอนพี่ มันยันแน่ ๆ? จึงตัดสินใจไปลองดูละกันว่ะว่ามัน ?มันจะยัน หรือจะถูกยัน? ตัดสินใจโดดงาน ขับรถแบบช้าที่สุดในชีวิต ไปถึงที่อู่
เมื่อถึงคราวต้องผ่าตัด
เมื่อไปถึงอู่ ช่างได้เริ่มทำการรื้อฝาครอบวาล์ว และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ถาดใส่น็อตเต็มไปด้วย น็อต ที่ถอดออกจากเครื่องยนต์ของเจ้า AVANZA ซึ่งใช้ทั้งหมดถึง 2 ถาด (เยอะมาก ๆ ) รายละเอียดการถอด เท่าที่จำได้
1. กล่องกรองอากาศ
2. ชุดประกอบฝาช่องเติมน้ำมันเครื่อง
3. ฝาครอบวาล์ว
4. ชุดวาล์วควบคุมน้ำหนักลูกเบี้ยว
5. พูลเลย์ข้อเหวี่ยง
6. พูลเลย์เพลาข้อเหวี่ยง
7. ฯลฯ
นอกนั้นจำไม่ได้แล้ว เพราะถอดเยอะมาก ๆ ใช้เวลาถอดประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที (ถ้าเป็น Altis ประมาณ 30 นาที)
ภาพประกอบอุปกรณ์ภายในเครื่องยนต์ K3-VE ส่วนบน
จากนั้น ช่างจะนำอุปกรณ์เฉพาะ มาวัดระยะห่างของ เพลาลูกเบี้ยว กับลูกถ้วยวาล์ว ซึ่งต้องแบ่งเป็น 2 จังหวะ คือ จังหวะไอดีเปิด ไอเสียปิด และไอดีปิด ไอเสียเปิด ซึ่งค่ามาตรฐานควรจะอยู่ที่ เบอร์ 10 (ตามอุปกรณ์ที่ช่างใช้) และเบอร์ยิ่งมากหมายถึง ระยะห่างอยู่ในเกณฑ์ปรกติ ซึ่งปรากฏว่าหลังจากวัดผลที่ได้คือ
- วาล์วไอดี ยันทั้งสิ้น 5 ตัว (ตัวที่ยันมากที่สุดวัดได้ประมาณ เบอร์ 6) ขณะที่ตัวอื่นๆ อยู่ระหว่าง 8 ? 9
- วาล์วไอเสีย ยันครบทุกตัว
สรุปคือ เครื่องยนต์ K3-VE DOHC 16 Valve ของผมมีอาการ วาล์วยันทั้งสิ้น 13 ตัว จากวาล์วทั้งหมด 16 ตัว มาถึงตอนนี้ช่างถึงกับมองหน้าแล้วถามว่า ?พี่ขับมาถึงนี่ได้ไง? จากนั้น ช่างก็เริ่มทำการ มาร์คตำแหน่ง ลูกถ้วยวาล์ว เขียนเบอร์เพื่อทำการถอด ลูกด้วยวาล์ว ออกไปเจียร ให้ได้ระยะตามที่ควรจะเป็น
สภาพห้องเครื่องหลังจากเปิดฝาครอบที่เติมน้ำมันเครื่อง (แค่นี้ น๊อต ก็เต็มถาดเก็บน๊อต อันแรกไปแล้วครับ)
สังเกตตัวหนังสือสีแดง บอกระยะห่างของลูกถ้วยวาล์ว จะไม่เท่ากันในแต่ละถ้วย
หลังจากทำการเจียรลูกถ้วยวาล์วจนได้ระยะที่ต้องการแล้ว ก็ทำการตั้งระยะวาล์วใหม่ วัดระยะอีกครั้งก่อนทำการประกอบกลับ (ของผมต้องมีการลงดาบสอง เพราะยันเยอะมากที่ลูกสูบ 1)
ภาพลูกถ้วยวาล์วก่อนจะนำไปเจียร
ความผิดหวังซ้ำสอง
หลังเสร็จสิ้นการผ่าตัด ซึ่งกินเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ทดลองสตาร์ทครั้งแรก ก็ปรากฏว่าเครื่องยนต์ยังมีอาการสั่นอยู่บ้าง ทั้งแก๊ส และน้ำมัน พร้อมกับเสียงวาล์วที่ดังชัดเจน และจะดังมากขึ้นเมื่อเร่งรอบสูงขึ้น
เริ่มมีอาการหนักใจอีกรอบ กับอาการที่เกิดขึ้นใหม่คือ เสียงการทำงานของวาล์ว ที่ดัง แกร่ก ๆ ๆ ตลอดเวลาและชัดเจนมาก ซึ่งหลังจากสอบถามกับทางช่าง ก็ได้ความว่า ?เครื่องยนต์ทำงานในสภาวะที่วาล์วยันมานานมาก ระยะการยกวาล์วเลยเพี้ยน และจากที่ไปตั้งวาล์วใหม่ เลยทำให้เกิดเสียงดังแบบนี้ ให้ทดลองใช้ไปสักระยะก่อน?
ทดสอบขับบนถนน พบอาการ ดังนี้
1. การทำงานของเกียร์เปลี่ยนไป มีการเปลี่ยนเกียร์ในจังหวะรอบเครื่องแปลก ๆ
2. ทดสอบกด Kick Down ไม่มีการ Change เกียร์ลง แต่รถยังสามารถไต่ความเร็วได้ (ไม่แน่ใจว่า เพราะเครื่องยนต์มีกำลังมากพอ จึงไม่เปลี่ยนเกียร์ลงให้หรือเปล่า)
3. อัตราเร่งต*นต้นดีขึ้นกว่าเดิม ปีนขึ้นตึกได้สบายขึ้นกว่าเดิม
4. เข้าเกียร์ D พร้อมเหยียบเบรกได้ โดยเครื่องไม่สั่น และสามารถปล่อยรถไหลโดยไม่ต้องเหยียบคันเร่งได้
จากอาการที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้ฉุกคิดขึ้นได้ว่า หลังจากผ่าตัดเสร็จยังไม่ได้ทำการ Reset ECU พอกลับถึง Office จึงทดลอง Reset ECU แล้วสตาร์ทใหม่อีกรอบ เสียงการทำงานของวาล์ว ยังดังเหมือนเดิม แต่การทำงานของเกียร์ เริ่มนิ่มนวลขึ้น กด Kick Down เริ่มมีการ Change เกียร์ลง (ตอบสนองไวขึ้น)
สรุป ?ของฝากจาก LPG?
จนถึงวันนี้ หลังจากนำ AVANZA เข้ารับการผ่าตัด แล้วผลที่ได้ยังไม่ประทับใจ คือ อาการเครื่องสั่นหายไป แต่อาการเปลี่ยนเกียร์เพี้ยน และเสียงวาล์วดังเข้ามาแทน
แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น พื้นฐานคงอยู่ที่ผมปล่อยให้อาการดังกล่าว ค้างคามานาน จนทำให้เกิดความผิดปรกติมากกว่าคันอื่น ๆ เพราะเทียบกับรถคุณวสุ ที่หลังจากตั้งวาล์วไป อาการก็ดีขึ้นอย่างผิดหู ผิดตา ดังนั้น หากเกิดอาการ ก็ควรจะรีบแก้ไขเสียแต่ต้น ๆ ครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม
สำหรับอาการที่เกิดขึ้นกับ AVANZA ของผมในครั้งนี้ คงสรุปได้ว่าเกิดจาก ?วาล์วยัน? เนื่องจากผ่านการใช้งาน ด้วย LPG มาด้วยระยะทาง 80000 กิโลเมตร ซึ่งเป็นอาการปรกติของรถยนต์ที่เปลี่ยนเชื้อเพลิงมาใช้ LPG อ้างอิงจากรถของท่านวสุ ซึ่งติดแก๊สมาพร้อม ๆ กันกับผม และระยะทางการวิ่งด้วยแก๊สพอ ๆ กัน ก็เกิดอาการเดียวกันนี้ และนำรถเข้ารับการผ่าตัดจากอู่ เดียวกัน แต่ของท่านวสุ อาการหายเป็นปรกติ ไม่มีภาวะโรคแทรกซ้อน อย่างของกระผม
อาการ ?วาล์วยัน? แท้จริงไม่ใช่ปัญหาน่าหนักใจ แต่เป็นปัญหาพื้นฐานสำหรับ เครื่องยนต์ที่ใช้ LPG ด้วยซ้ำ และช่างที่ชำนาญก็สามารถแก้ไขอาการที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ด้วยวิธีพื้นบ้านได้แก่ การถอดลูกด้วยวาล์วออกมาเจียร หรือกลึงให้ได้ระยะ และทำการตั้งวาล์วใหม่ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ด้วยค่าใช้จ่ายหลักพัน
ในขณะที่ ถ้านำรถเข้าศูนย์อาการนี้ ศูนย์จะแก้ปัญหาด้วยการสั่งลูกถ้วยวาล์ว ตามเบอร์ที่ถูกต้อง มาเปลี่ยนให้ใหม่ (ลูกถ้วยวาล์ว จะมีเบอร์ที่แตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมกับระยะการยกของวาล์ว ซึ่งจากเดิมมาตรฐานโรงงาน ลูกถ้วยวาล์วก็ไม่ได้ตรงกันหมดทุกคัน อยู่ที่การประกอบ และปรับตั้งเครื่องยนต์ตั้งแต่ขั้นตอนการประกอบ) ด้วยสนนราคา ค่าแรง + ค่าอะไหล่ หลักหมื่น (ในกรณีที่ยันเยอะเหมือนของผม)
ส่วนวิธีแบบพื้นบ้าน หรือวิธีซ่อมแบบศูนย์นั้น ตอบตามตรงว่า ซ่อมในศูนย์ ย่อมได้มาตรฐานกว่าแน่นอน ซึ่งตัวผมเองก็ยังไม่อยากสรุปว่า ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นในรถผมนั้น เป็นเพราะการซ่อมที่ผิดวิธีหรือเปล่า แต่สังเกตจากคันอื่น ๆ ที่ไปทำมา ก็หายเป็นปรกติ และแต่ละคันนั้นพบอาการวาล์วยัน น้อยกว่าผมมาก ดังนั้น การตัดสินใจว่าจะซ่อมแบบใด ขอให้ใช้ดุลยพินิจ และข้อมูลข้างต้น ประกอบการตัดสินใจครับ
ปัจจัยหลัก
สาเหตุของการเกิด อาการวาล์วยัน นั้นหลัก ๆ มาจากการเปลี่ยนแปลงระบบเชื้อเพลิงไปเป็น LPG ซึ่งมีความร้อนในการเผาไหม้สูงกว่าน้ำมันมาก ทำให้เครื่องยนต์ซึ่งออกแบบมาให้ใช้น้ำมัน มีคุณภาพของวัสดุภายในไม่ทนทานพอรองรับการทำงานในอุณหภูมิที่สูงขึ้นของ LPG ได้
น้ำมัน จะมีส่วนผสมของ ?สารเคลือบบ่าวาล์ว? อยู่ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่มีการจุดระเบิด สารเหล่านี้จะไปเคลือบบ่าวาล์วตลอดเวลา ทำให้สามารถลดภาวะ บ่าวาล์วทรุด อันเป็นสาเหตุของ ?วาล์วยัน? ได้ แต่ใน LPG ไม่สามารถผสมสารนี้ลงไปใน เชื้อเพลิงได้ทำให้ไม่มีสารดังกล่าวไป เคลือบบ่าวาล์ว เหมือนน้ำมัน
การเลือกการติดตั้ง LPG แบบ Fix mix หรือ หัวฉีด นั้นไม่มีผลต่อการเกิดเหตุนี้นะครับ ทุกระบบสามารถเกิดขึ้นได้หมด เพราะวันที่ผมไปซ่อมนั้น มี taxi เข้ามาด้วยอาการเดียวกัน ที่สำคัญเค้าติดตั้ง ?หัวฉีด BRC? ที่แพงกว่าระบบที่ผมติดตั้งอยู่เกือบ 3 เท่าได้ ฉะนั้น แกงค์แก๊สหัวฉีด ก็อย่าประมาทไปนะครับ
นอกจากนั้น ลักษณะการขับขี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการนี้ เร็ว หรือช้า ลักษณะการใช้งานของผม
1. วิ่งใน กทม. 5 วัน ต่างจังหวัด 2 วัน
2. Kick Down บ่อยและลากรอบไปถึง Red Line (ประมาณ 6500 RPM) ทุกครั้ง
3. ขับทางไกล ไม่พักรถ เหยียบคันเร่งแบบแช่ยาว ๆ