ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
20 กรกฎาคม 2025, 19:28:35
หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ข่าว: มีปัญหาการใช้งานเว็บไซต์ หรือติดต่อลงโฆษณา ติดต่อ admin [ไม่ใช่ผู้ขายสินค้า] ที่ 0876889988   หรือ theerachai@siamrx.com หรือ line id: @welovecivic




Custom Search
:::CIVIC CLUB THAILAND:::  |  คุยคุ้ย Civic  |  Civic Club Discuss => ห้องคนขับ  |  หัวข้อ: อยากรู้ประโยชน์ของเกจวัดรอบ,วัดOil ที่นิยมติดกัน 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1] ลงล่าง พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อยากรู้ประโยชน์ของเกจวัดรอบ,วัดOil ที่นิยมติดกัน  (อ่าน 14590 ครั้ง)
sathid_es04
Gold Member
เข้าวงการ
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24


« เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2007, 16:45:06 »



อยากทราบว่าเกจวัดต่าง ๆ นอกจากติดเพื่อความสวยงานดู ดุ.. ดัน..แล้วมีประโยชน์อย่างอื่นอีกไหมครับ เช่น
รอบการเปลี่ยนเกีย/ อุณหภูมิของเครื่องยนต์ อะไรประมาณนี้ครับ
อยากติดครับแต่ยังไม่มีเหตุผลบอกกับเจ้าของรถ(แฟน) เพื่อขอตังค์ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 กรกฎาคม 2007, 19:15:27 โดย sathid_es04 » บันทึกการเข้า
SOHC Guru
The Final Step.
จอมยุทธ
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 316

Real Drag Spec.


« ตอบ #1 เมื่อ: 12 กรกฎาคม 2007, 19:42:17 »

เอาไปบางตัวก่อน เพราะจริง ๆ มันมีเป็น 10 ตัว
ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้งานแบบไหน ถ้าดูเป็นก็มีประโยชน์
ทุกตัวครับ

วัดรอบ(Tacho Meter)
เกียร์ออโต้ แทบไม่จำเป็นเลยซะด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่รถแข่ง
แต่เกียร์ธรรมดาก็ช่วยบอกรอบเปลี่ยนเกียร์ แต่เกจ์เดิม
มันก็ดูได้อยู่ นอกจากบางรุ่นที่บอกค่า Peak ได้ หรือมีไฟ
Shift Light ก็จะทราบรอบสูงสุด และเตือนรอบการเปลี่ยน
เกียร์

Oil Press(แรงดันน้ำมันเครื่อง)
ช่วยบอกถึงหลาย ๆ อย่าง เช่นแรงดันจากปั๊มน้ำมันเครื่อง
ถ้าปั๊มแตก หรือน้ำมันเครื่องขาด แรงดันก็จะตก หรือถ้าควม
ร้อนขึ้นสูงมาก ๆ แรงดันก็ตกได้เช่นกัน ถ้าแรงดันตกมาก ๆ
พังแน่นอน ไม่ต้องสืบ

เอาแค่นี้ก่อน จริง ๆ ยังมีอีกมาก เช่น
Oil Temp
Water Temp
Exhaust Temp
Boost , Vaccum
Fuel Press
Air Intake Temp
Volt Meter
Air \ Fuel Ratio

ไว้มีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังอีกครับ
บันทึกการเข้า
ES01 328
เจ้าสำนัก
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 941

รถคันใหม่ผมครับใครอยากลองนั่งบ้าง


« ตอบ #2 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2007, 09:13:10 »

รอฟังภาคต่อนะครับ ได้ความรู้ดี ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า

TooN2929
Gold Member
อาจารย์ปู่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,845


My BB Pin : 21514235


« ตอบ #3 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2007, 10:18:18 »

 โกรธ โกรธ ]ลงเครื่องใหม่เต็มสูตรค่อยติดนะครับน้อง ๆ ถ้าเครื่องเดิม ๆ แล้วไปติด ไม่มีประโยชน์หรอก เปลืองเงินพ่อแม่ใช่เหตุ เอาไปติดเครื่องเสียงยังดีกว่า....ถามมาก็ตอบไปเล่นมาหมดแล้ว...ไร้สาระครับ...ขับจริง ๆ ไม่ได้ดูมันหรอก ได้แต่อวดเพื่อน ๆ  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า

Let's Check It Out !!!
Civic Club No.216
toon2929@hotmail.com
SOHC Guru
The Final Step.
จอมยุทธ
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 316

Real Drag Spec.


« ตอบ #4 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2007, 15:42:35 »

โกรธ โกรธ ]ลงเครื่องใหม่เต็มสูตรค่อยติดนะครับน้อง ๆ ถ้าเครื่องเดิม ๆ แล้วไปติด ไม่มีประโยชน์หรอก เปลืองเงินพ่อแม่ใช่เหตุ เอาไปติดเครื่องเสียงยังดีกว่า....ถามมาก็ตอบไปเล่นมาหมดแล้ว...ไร้สาระครับ...ขับจริง ๆ ไม่ได้ดูมันหรอก ได้แต่อวดเพื่อน ๆ  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม


ใส่ให้เต็มหน้าปัทม์ แต่ดูไม่เป็น หรือไม่ฝึกนิสัยการดูเกจ์ก็ไร้สาระ
อย่างที่บอกแหล่ะครับ บางคนเกจ์ความร้อนยังไม่เคยดู ขับจนเครื่อง
Heat คาตีนก็เยอะแยะ

แต่ถ้ารู้ ว่าเกจ์อะไรมีประโยชน์ยังไง ใส่ตัวไหนก็มีประโยชน์ครับ
เพราะมันบอกอาการของเครื่องได้มากมาย ถึงเครื่องเดิม ๆ ไม่ได้
ปรับแต่งอะไร มันก็ช่วยได้ครับ อย่างรถยุโปบางยี่ห้ออุปกรณ์พวกนี้
กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานไปเสียด้วยซ้ำ
บันทึกการเข้า
fomote
Gold Member
อาจารย์ปู่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8,998

? HuMaN SoCiEtY.?


« ตอบ #5 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2007, 18:17:28 »


ใส่ให้เต็มหน้าปัทม์ แต่ดูไม่เป็น หรือไม่ฝึกนิสัยการดูเกจ์ก็ไร้สาระ
อย่างที่บอกแหล่ะครับ บางคนเกจ์ความร้อนยังไม่เคยดู ขับจนเครื่อง
Heat คาตีนก็เยอะแยะ

แต่ถ้ารู้ ว่าเกจ์อะไรมีประโยชน์ยังไง ใส่ตัวไหนก็มีประโยชน์ครับ
เพราะมันบอกอาการของเครื่องได้มากมาย ถึงเครื่องเดิม ๆ ไม่ได้
ปรับแต่งอะไร มันก็ช่วยได้ครับ อย่างรถยุโปบางยี่ห้ออุปกรณ์พวกนี้
กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานไปเสียด้วยซ้ำ

โกรธ โกรธ ]ลงเครื่องใหม่เต็มสูตรค่อยติดนะครับน้อง ๆ ถ้าเครื่องเดิม ๆ แล้วไปติด ไม่มีประโยชน์หรอก เปลืองเงินพ่อแม่ใช่เหตุ เอาไปติดเครื่องเสียงยังดีกว่า....ถามมาก็ตอบไปเล่นมาหมดแล้ว...ไร้สาระครับ...ขับจริง ๆ ไม่ได้ดูมันหรอก ได้แต่อวดเพื่อน ๆ  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

 :'(ใจเย็นๆครับ
 เศร้า น่ากลัวจัง
 ตกใจ พี่สองคนนี้นิ
บันทึกการเข้า

?? เพื่อนมีไว้คบไม่ได้มีไว้ฟัด Sาdd  ??
beam
ศิษย์น้อง
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 80



« ตอบ #6 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2007, 00:55:59 »

fuel press ก็คือแรงดันแก็ส ของรถที่ติดแก็สอะครับ
Air Intake Temp อุณหภูมิ ชองเครื่องปรับอากาศในรถเราอะครับ  ตกใจ
ล้อเล่นครับ รอพี่เค้ามาต่อภาคสองเถอะครับ
บันทึกการเข้า
zhaonenghe
ตี๋
Gold Member
เจ้าสำนัก
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 619



« ตอบ #7 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2007, 13:58:30 »

เจ๋ง
บันทึกการเข้า

Civic Club no.256    น้องตี๋นะค๊าบบ   เชียงใหม่เจ้า
SOHC Guru
The Final Step.
จอมยุทธ
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 316

Real Drag Spec.


« ตอบ #8 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2007, 23:09:51 »

fuel press ก็คือแรงดันแก็ส ของรถที่ติดแก็สอะครับ
Air Intake Temp อุณหภูมิ ชองเครื่องปรับอากาศในรถเราอะครับ  ตกใจ
ล้อเล่นครับ รอพี่เค้ามาต่อภาคสองเถอะครับ

Fuel Press (วัดแรงดันเบนซิน)
ตัวนี้จะต่อมาจากรางหัวฉีดครับ ใช้บอกแรงดันน้ำมันที่รางหัวฉีด
โดยจะมี Regulator เป็นตัวปรับแรงดันก่อนออกไปทางท่อไหล
กลับ

แรงดันน้ำมันมีผลโดยตรงกับหัวฉีด และส่วนผสมว่าจะหนา หรือบาง
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เหมือนสายยางแหล่ะครับ หัวฉีดเท่ากัน แต่แรง
ดันไม่เท่ากัน น้ำมันที่จ่ายก็ไม่เท่ากัน

ถ้าแรงดันเบนซินตก ความร้อนในห้องเผาไหม้จะสูง เครื่องจะเกิดการ
เขก หรือ Knock ถ้าบางมาก ๆ ความร้อนจะขึ้นสูงจนทำให้ลูกสูบ
แตก หรือละลายได้เลยนะครับ



Air Intake Temp (วัดความร้อนไอดี)
อันนี้จะเห็นในรถเทอร์โบซะเยอะ แต่รถ N/A ก็สำคัญไม่น้อยเช่นกัน
จะเห็นได้จากตัว Commander ของกล่อง ECU อย่างพวก Power FC
หรือ MoTeC  ก็จะมีแสดงไว้ครับ

สำหรับรถเทอร์โบตัวนี้จะบอกอุณหภูมิอากาศก่อนเข้าไปในห้องเผาใหม้
เพราะอากาศจะถูกตัวเทอร์โบดูดเข้ามา และความร้อนจากเทอร์โบนี่เอง
จะทำให้ความหนาแน่นของอากาศลดลง รถเทอร์โบจึงต้องมี Intercooler
ช่วยระบายความร้อน ถ้าอากาศที่เข้าห้องเผาไหม้ร้อน ความหนาแน่นของ
อากาศก็จะน้อย ถ้าเรารู้ว่าอากาศที่เข้าห้องเผาใหม้มีอุณหภูมิเท่าไหร่ เรา
ก็จะสามารถปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สมบูรณ์ และมีประสิทธิภาพได้สูงสุดครับ
บันทึกการเข้า
ZODA
Gold Member
อาจารย์ปู่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,263


!@#&%!!


« ตอบ #9 เมื่อ: 14 กรกฎาคม 2007, 23:44:21 »

ตามมาดูดข้อมูลคับบบบ  ฮืม
บันทึกการเข้า

ผิดตรงไหนก็ไม่รู้ ที่กลายเป็นคนแสนดี เป็นคนดีแล้วมันไม่มีใคร อยากจะเลว อยากเลวให้มันรู้ไป เผื่อมีใครสักคนต้องการก็พอ

Civic club # 231.2
Ernestino
Gold Member
อาจารย์ปู่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,684



« ตอบ #10 เมื่อ: 16 กรกฎาคม 2007, 22:38:26 »

เจอมาจาก www.nekketsu-racing.com ครับ

1. มาตรวัดบูสต์
(BOOTS METER)
มาตรวัดตัวนี้จะเห็นในรถยนต์แทบทุกคันที่มีการติดตั้งเทอร์โบเข้าไป รวมถึงรถยนต์ ที่มีเทอร์โบมาจากโรงงานก็อาจจะมีตัวนี้มาให้ เนื่องจากมันเป็นตัวบ่งบอกสำคัญให้ผู้ ขับขี่ทราบว่า มีแรงดันอากาศ หรือแรงบูสต์เข้ามายังเครื่องยนต์มากน้อยเพียงไร มาตรวัดตัวนี้โดยปกติบนหน้าปัด จะมีค่าตัวเลขด้านล่างขึ้นมาที่ 0 ซึ่งเป็นค่าของ แวคคั่ม หรือ แรงดันลบ และจาก 0 ขึ้นไป จะเป็นของเทอร์โบ หรือ แรงดันบวก และในส่วนของ เทอร์โบนี่เองที่จะเป็นส่วนบ่งบอกว่า เทอร์โบ กำลังทำงานอยู่สำหรับการดูค่าอัตรา บูสต์เทอร์โบนั้น ถ้าหากว่าเข็มบนมาตรวัดเดินช้ามาก เป็นตัวแสดงให้เห็นอย่างหนึ่งว่า เทอร์โบมีขนาดใหญ่เกินไป ส่งผลให้ไอเสียที่ไปปั่นใบเทอร์โบไม่พอ การแก้ไขก็น่าจะเป็น การเปลี่ยนเป็นแคมฯ องศาสูง หรือไม่ก็เปลี่ยนจังหวะของวาล์วเป็นต้น นอกจากนี้หาก บนมาตรวัดชี้ว่ามีแรงบูสต์สูงเกินไปจากที่มีการตั้งค่าเอาไว้ ก็อาจจะสรุปได้ว่าเกิดปัญหา ขึ้นที่สปริงวาล์วของเวสต์เกต ที่เป็นตัวควบคุมแรงดันบูสต์ของเทอร์โบเป็นต้น สำหรับ มาตรวัดอัตราการบูสต์นี้ อาจจะมีค่าการวัดไม่เหมือนกัน บางครั้งอาจบ่งบอกค่าการวัดเป็น Bar (บาร์) หรือว่า psi (ปอนด์) อีกทั้งค่าสูงสุดของมาตรวัดบูสต์ ก็ไม่เท่ากัน จึงควรเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับความต้องการ


2. มาตรวัดอุณหภูมิเครื่องยนต์
(WATER TEMP METER)
สำหรับมาตรวัดความร้อน ตามปกติในรถธรรมดาทั่วไป ก็จะมีติดตั้งมาให้เป็น มาตรฐานอยู่แล้ว แต่ว่ารถยนต์ทั่วไปนั้นอาจไม่ได้อ่อนไหวในเรื่องของความร้อนมากนัก ค่าแสดงให้เห็นจึงไม่ละเอียดมากนัก ทั้งนี้เป็นเพราะทางโรงงานตั้งใจทำมาอย่างนั้น เพื่อคนขับจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมาก แต่ว่าเมื่อไหร่ที่เกจความร้อนขยับสูงขึ้น นั่นหมาย ความว่าความร้อนขึ้นค่อนข้างมาก ทว่าถ้าเป็นในรถธรรมดา อาจจะยังไม่ก่อปัญหามากนัก ขณะที่รถยนต์ซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบและมีการโมดิฟาย หรือปรับบูสต์ เรื่องปัญหาความ ร้อนมีความสำคัญมาก เพราะอาจหมายถึงความเสียหายที่เกิดกับเครื่องยนต์ได้เลยทีเดียว โดยปกติ เซ็นเซอร์ ที่ใช้วัดความร้อนของเครื่องยนต์จะติดตั้งอยู่ตรงท่อน้ำที่ออกจากเครื่อง ซึ่งอุณหภูมิโดยปกติที่เครื่องยนต์ทำงานควรจะอยู่ที่ราว 90-100 องศาเซลเซียส และควรควบคุมไม่ให้สูงขึ้นเกินไปกว่า 120 องศาเซลเซียส หากว่าอุณหภูมิยังสูงขึ้น ก็พอมีวิธีแก้ไขคือ เพิ่มขนาดของหม้อน้ำให้ใหญ่ขึ้น เปิดกันชนหน้าให้ลมผ่านเข้าหม้อน้ำ ได้ง่ายขึ้น หรือไม่ก็เจาะสคูปดักลมบนฝากระโปรงหน้า ให้ลมเข้ามาเป่าห้องเครื่อง วิธีการ เหล่านี้พอจะสามารถทำให้เครื่องยนต์เย็นได้บ้างเหมือนกัน


3. มาตรวัดรอบ
(TACHO METER) RPM
สำหรับมาตรวัดรอบ ก็เหมือนกับมาตรวัดความร้อน คือรถยนต์ส่วนใหญ่จะมีการติดตั้งมา ให้จากโรงงานอยู่แล้ว แต่สาเหตุที่มีบางคนต้องไปติดเพิ่มอาจจะมาจากเหตุผลต่างกันไป บางคนอาจคิดว่าเป็นอุปกรณ์ตกแต่งสร้างความสวยงาม หรือความเท่ แต่กับบางคนอาจ จะเป็นสิ่งจำเป็นจริง ๆ อย่างรถยนต์ที่ผ่านการโมดิฟายเปลี่ยนไปใช้แคมฯ องศาสูงมาก ๆ จนทำให้สามารถเร่งรอบได้มากกว่าเดิม ซึ่งวัดรอบที่มีติดมากับรถ ไม่สามารถแสดงข้อมูล ได้เพียงพอ จึงต้องหาอันใหม่มาติดเข้าไป หรือในรถยนต์ที่ทำขึ้นมาสำหรับการแข่งขัน ควอเตอร์ไมล์ซึ่งจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ ถือเป็นสิ่งที่ต้องการให้ความสำคัญมาก การตัดสิน แพ้ชนะอยู่ที่เวลาเพียงเศษเสี้ยววินาที ดังนั้นมาตรวัดรอบที่มาพร้อมไฟเตือน จึงกลายเป็น อุปกรณ์ช่วยได้อย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตามการแพ้ชนะไม่ได้เพียงอุปกรณ์ที่ว่าเท่านั้น จังหวะ ฝีมือ สมาธิ ในการเปลี่ยนเกียร์ของผู้ขับขี่เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า


4. มาตรวัดอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง
(OIL TEMP METER)
อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง มีความสำคัญมากพอสมควร เพราะถือว่ามีผลกระทบกับเครื่องยนต์ โดยตรง หากว่าอุณหภูมิของน้ำมันเครื่องสูงเกินไป เครื่องยนต์ก็ไม่สามารถทำงานได้เต็ม ประสิทธิภาพ ทั้งนี้อุณหภูมิของน้ำมันเครื่องจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่ใช้ ซึ่งในตลาดน้ำมันเครื่องแยกเป็นหลายประเภท มีทั้งแบบทนความร้อนสูงที่อุณหภูมิสูงถึง 120 องศาเซลเซียส ส่วนบางประเภทอุณหภูมิแค่ 110 องศาเซลเซียส ก็ทนไม่ไหวกลาย สภาพเป็นน้ำก็มี โดยปกติของอุณหภูมิน้ำมันเครื่องจะสูง-ต่ำ ไปในแนวทางเดียวกับ อุณหภูมิของเครื่องยนต์หรืออุณหภูมิหม้อน้ำ ซึ่งถ้าความร้อนของน้ำขึ้น อุณหภูมิของ น้ำมันเครื่องก็จะขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ในสภาพการใช้งานเครื่องยนต์ควรรักษาอุณหภูมิของ น้ำมันเครื่องให้อยู่ในช่วง 80-110 องศาเซลเซียส ถ้าหากอุณหภูมิสูงขึ้นไปเกิน 120 องศาเซลเซียส ควรทำให้เย็นลงก่อนจึงใช้งานเครื่องยนต์ต่อไป สำหรับทางออกในการช่วย รักษาอุณหภูมิของน้ำมันเครื่อง รถยนต์ที่ผ่านการโมดิฟายมักมีการใส่ OIL COOLER เข้าไปช่วยก็ทำให้อุณหภูมิน้ำมันเครื่องไม่สูงเกินไป


5. มาตรวัดแรงดันน้ำมันเครื่อง
(OIL PRESSURE METER)
มาตรวัดตัวนี้จะมีส่วนสำคัญในการแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ น้ำมันเครื่อง โดยค่า ที่แสดงออกมาให้เห็นจะเป็นเวลาที่เครื่องยนต์ทำงานในรอบสูงๆหรือขณะที่เครื่องยนต์ มีอุณหภูมิในการทำงาน เพราะเมื่อน้ำมันเครื่องเจอเข้ากับความร้อนสูง ๆ จะถูกหลอม ให้เหลวลง และถ้าน้ำมันเครื่องเหลวมากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพความหล่อลื่นก็จะลดลง การสึกหรอ จนถึงการ ระบายความร้อนก็จะลดประสิทธิภาพลงตามไปด้วย ดังนั้นการ ตรวจสอบตรงจุดนี้จึงมีความสำคัญ ซึ่งมาตรวัดแรงดันน้ำมันเครื่องจะเป็นตัวบ่งบอก ข้อมูลนี้ได้ โดยในการแสดงข้อมูลให้เห็นนั้น หากว่ามีแรงดูดน้อย ที่เรียกว่า "แรงดันต่ำ" จะถือว่าการหล่อลื่นไม่ดี เพราะแสดงถึงว่าน้ำมันเครื่องเหลวมาก ใช้แรงดูดน้อยก็ไหล เข้ามาแล้ว ในทางกลับกัน ถ้าน้ำมันเครื่องมีความหนืดมาก แรงดูดก็ต้องใช้แรงมาก เรียกว่า "แรงดันสูง" จะสังเกตได้ว่าเวลาที่น้ำมันเครื่องยังคงเย็น มาตรวัดจะแสดงว่ามีแรงดันสูง แต่เมื่อความร้อนเพิ่มขึ้น น้ำมันเครื่องคลายความหนืดลง ความดันก็จะเริ่มต่ำลงมา สำหรับรถยนต์โดยทั่วไปในขณะวิ่ง แรงดันน้ำมันเครื่องควรอยู่ที่ประมาณ
3 - 4 kg/cm2 หรือหากสูงมากก็ไม่ควรจะเกิน 6 kg/cm2


6. มาตรวัดอุณหภูมิท่อไอเสีย
(EX. TEMP METER)
อุณหภูมิของท่อไอเสีย หลายคนอาจจะมองว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับประสิทธิภาพ การทำงานของเครื่องยนต์ ทว่าในความเป็นจริงมันมีส่วนที่สัมพันธ์กับแรงดันน้ำมัน หรือการไหลของอากาศสำหรับรถที่ผ่านการโมดิฟาย นอกจากน้ำมันเครื่องแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญ ก็คือ ปริมาณการจ่ายน้ำมันเบนซิน ซึ่งปริมาณน้ำมันเบนซินจะมากจะน้อย ก็สามารถวัดได้จากมาตรวัดอุณหภูมิท่อไอเสียนี่เอง ซึ่งหากมีการปรับน้ำมันให้อ่อนลง จะทำให้อุณหภูมิของท่อไอเสียเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเป็นในทางตรงกันข้ามน้ำมันแก่ อุณหภูมิของท่อไอเสีย ก็จะต่ำลง ดังนั้นมาตรวัดอุณหภูมิไอเสีย จึงสามารถบอกข้อมูลของรถในขณะวิ่งได้ อย่างไรก็ตามโดยทั่วไป มาตรวัดอากาศไหลเข้า หรือว่ามาตรวัดแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ใช้บอกข้อมูลในทางเดียวกัน


7. มาตรวัดแรงดันเชื้อเพลิง
(FUEL PRESSURE METER)
สำหรับมาตรวัดตัวนี้ใช้เป็นตัวเช็คแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงว่า ในขณะที่เหยียบคันเร่ง แล้วน้ำมันขึ้นมาตามปริมาณที่เราออกแรงกดลงไปบนคันเร่งหรือไม่ สำหรับคนที่ใช้ รถแบบปรกติหรือใช้บนถนนทั่วไป มาตรวัดตัวนี้คงจะไม่จำเป็น อย่างไรก็ดีหากว่า ปั๊ม น้ำมันเชื้อเพลิงหรือหัวฉีดเกิดมีปัญหาขึ้นมา มาตรวัดที่บอกค่าของแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง ก็สามารถเป็นตัวบอกความผิดปกติได้ วิธีดูมาตรวัดตัวนี้ จะใช้ดูค่าในขณะที่รถยนต์ติด เครื่องเดินเบาเป็นหลัก สำหรับรถยนต์ที่มีเทอร์โบติดตั้งอยู่ด้วยค่าของแรงดันนี้จะขึ้นไปตาม อัตราการบูสต์ เช่น ค่าที่วัดได้ในขณะเดินเบามีค่าเป็น 3 บาร์ แต่เมื่อเทอร์โบบูสต์ไป 1 บาร์
ค่าบนของมาตรวัดจะชี้ไปที่ 4 บาร์ ซึ่งหากว่าแรงดันนี้ตกลง นั่นหมายถึงว่าขนาดของปั๊ม น้ำมันเชื้อเพลิงหรือหัวฉีดที่ใช้ไม่เพียงพอ เสียแล้ว ดังนั้นมาตรวัดตัวนี้จึงมีความจำเป็น ไม่น้อยสำหรับรถยนต์เทอร์โบ ซึ่งผู้ขับขี่ความสังเกตค่าแรงดันในขณะที่เดินเบาเป็นหลัก และสังเกตว่าแรงดันน้ำมัน นั้นขึ้นไปตามอัตราการบูสต์หรือไม่


8. มาตรวัดส่วนผสมของอากาศ กับน้ำมันเชื้อเพลิง
(A/F METER)
มาตรวัดตัวนี้เป็นการเช็คความสมดุลระหว่างอากาศกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับ A/F คืออัตราส่วนระหว่างอากาศกับน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งโดยทั่วไปอัตราส่วนตามหลักการนี้จะ ต้องมีค่าเท่ากับ 14 ในขณะที่เครื่องเดินเบา เลข 14 ก็จะหมายถึงอากาศ 14 ส่วน/น้ำมัน 1 ส่วน ซึ่งจะผสมอยู่ในห้องเผาไหม้สำหรับจุดระเบิด และค่านี้จะต่ำลงไปในขณะที่มีการเร่ง เนื่องจากปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้น และค่า A/F นี้จะสูงขึ้นในขณะที่ทำการถอนคันเร่ง โดยค่า A/F นี้จะถูกแบ่งออกเป็น "บาง" กับ "หนา" ซึ่งถ้าต้องการทำให้รถแรงขึ้น ก็ต้องปรับให้ค่า A/F ให้มีค่าที่บางลง คือการปรับให้น้ำมันน้อยลง-อากาศมากขึ้น อย่างไรก็ตามการปรับ ในลักษณะดังกล่าว ก็มีผลทำให้อุณหภูมิในห้องเผาไหม้สูงขึ้นได้ จึงจำเป็นต้องมีการปรับ อย่างระมัดระวัง ทั้งนี้ค่า A/F ไม่ควรสูงเกินกว่า 12 เพราะนั่นหมายความว่าน้ำมันเชื้อ เพลิงน้อยเกินไป ซึ่งในรถที่มีการโมดิฟาย ควรจะให้มีค่า A/F ขณะเร่งอยู่ในช่วง 10.5- 11.5 ก็พอ


9. แวคคั่ม มิเตอร์
(VACCUM METER)
มาตรวัด VACCUM ตัวนี้ จริง ๆ แล้วมันก็อยู่ในมาตรวัดตัวเดียวกับมาตรวัดอัตราบูสต์ เทอร์โบ มาตรวัดตัวนี้จะตอบสนองกับ อัตราการเหยียบคันเร่ง ซึ่งสามารถนำมาใช้ใน การเช็คความสิ้นเปลืองน้ำมันได้เหมือนกัน สำหรับการดูค่าของมาตรวัดตัวนี้ต้องดูเวลา เครื่องเดินเบา ซึ่งจะดูได้จากค่าสุญญากาศ ถ้าค่าสุญญากาศนี้มีมาก ก็จะถือได้ว่าเครื่อง ยังคงมีสภาพที่สมบูรณ์ ไม่รั่วซึม แต่ถ้าค่านี้ลดลงไปมาก นั่นก็เป็นไปในทางตรงกันข้าม มาตรวัดตัวนี้จึงเป็นมาตรวัดที่อาจมีไว้เช็คสภาพของเครื่องยนต์ได้ ทั้งนี้ในขณะเครื่องยนต์ เดินเบาถ้าเข็มบนมาตรวัดนี้บอกค่าไม่ถึง 300 cmHg นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าเครื่องยนต์ มีสภาพย่ำแย่ โดยเครื่องยนต์ใหม่ ๆ ที่มีความสมบูรณ์ค่าตัวนี้จะอยู่ที่ประมาณ 450 cmHg
บันทึกการเข้า
sathid_es04
Gold Member
เข้าวงการ
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24


« ตอบ #11 เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2007, 16:00:52 »

ขอบคุณทุกท่านมากครับ
บันทึกการเข้า
wat_nonzone
ชาวยุทธ
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9



« ตอบ #12 เมื่อ: 20 กรกฎาคม 2007, 12:52:39 »

      ถ้าไม่ใช่ รถโมดิฟายเครื่องเย่อะๆ ก็อย่าไปติดเลยครับ ถึงคุณติดไปแต่ไม่รู้วิธีการแก้ปัญหา กรณีที่มิเกจวัดต่างๆมันฟ้อง ก็เท่านั้นแหล่ะครับ ....เรียนรู้สัญลักษณ์ไฟ ที่ติดมากับรถ เวลารถเกิดปัญหา และ  วิธีการแก้ปัญหา ของติดรถให้ชำนาญก่อนดีกว่าครับ 
      ถ้ามีเงินเหลือๆ ก็ติดได้ แต่ระวัง ขโมยมาทุบกระจกขโมยเกจหน่อยแล้วกัน เจอกันมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ยิ่งยี่ห้อ ดังๆน่ะ(defi,hks,blitz,greddy,apexi,sard, เป็นต้น)  ล่อหน้าล่อตาดีนัก

     ศึกษาให้ดีเรื่องเกจวัดให้ดีก่อนจะติดน่ะครับ  ยกตัวอย่าง fuel press meter (เอาไว้วัดแรงดันน้ำมันเบนซิน) เกจตัวนี้จะมี 2 ประเภท คือ 1. แบบเซนเซอร์ไฟฟ้า(ต้องมีเรกกูเรตมาต่อด้วย)  2. เซ็นเซอร์ที่ใช้แรงดันน้ำมันเข้ามาที่หลังเกจวัดเลยตรงๆ  (คิดดูต้องเอาเกจมาวางไว้ที่ในรถ อันตรายขนาดไหนถ้าเกิดการรั่วซึม)  สองประเภทนี้ราคาต่างกันมาก บางทีถ้าไม่ศึกษาให้ดีก่อนก็พลาดได้       
     ลองดูครับ ซื้อเกจวัดมาอย่างเดียวมันมาต่อไม่ขึ้นน่ะครับ  ต้องมีเซ็นเซอร์,อแดปเตอร์,การต่อสายไฟอีก  น่ะครับ  ลังเล
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] ขึ้นบน พิมพ์ 
:::CIVIC CLUB THAILAND:::  |  คุยคุ้ย Civic  |  Civic Club Discuss => ห้องคนขับ  |  หัวข้อ: อยากรู้ประโยชน์ของเกจวัดรอบ,วัดOil ที่นิยมติดกัน
กระโดดไป:  


.: Powered by :.
.: Link Exchange :.
civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017


Powered by MySQL Powered by PHP Copyright 2004-2014 www.welovecivic.com All rights reserved
Contact: theerachai@siamrx.com
Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006-2009, Simple Machines -->
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Civic Club | ย่อลิงค์ |