เคล็ดลับการ "แอ๊บแบ๊ว"
*วันนี้คุณ "แอ๊บแบ๊ว" กันหรือยัง **?! *
*
*เคยได้ยินคำว่า *" **แอ๊บแบ๊ว" * กันมั้ยคะ ?
รู้สึกว่าอาการนี้กำลังระบาดไปทั่วจริงๆ
เป็นยังไงมาดูกัน..
*
** " **แอ๊บแบ๊ว" ** * เป็นอาการทางจ(ริ)ตชนิดหนึ่ง
มักเกิดขึ้นในเพศหญิงช่วงแรกสาวเป็นต้นไป
แต่เดี๋ยวนี้เริ่มลุกลามในผู้ชาย กะเทย และเพศใกล้เคียงด้วย
โรคนี้จะมีอาการควบคู่ไปกับภาวะแทรกซ้อน ที่แสดงออกทางอวัยวะต่างๆของร่างกาย
ดังนี้
*
1. **ดวงตา *
จากที่เคยมีลูกตาขนาดปกติไม่ว่าขนาดใดก็ตาม คนที่"แอ๊บแบ๊ว"
จะมีดวงตากลมบ้องแบ๊ว
เกิดประกายวิบวับขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ (
สันนิษฐานว่าเป็นที่มาของคำว่าแอ๊บแบ๊วนั่นเอง)
ถ้านึกภาพไม่ออก แนะนำให้ไปดูเอ็มวี เพลงปู ของเนโกะจั๊มพ์ อะโนโนโน่
อย่างนี้ไม่ดี.. ช็อตทื่สองสาวเล่นกับกล้อง นั่นแหละใช่เลย!
*
อุปกรณ์เสริมความแบ๊วในข้อนี้ได้แก่ *
ที่ *ดัดขนตา **, **มาสคาร่า และอายไลเนอร์ *
ที่จะช่วยขับให้ตาแบ๊วขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
เดี๋ยวนี้มีคอนแท็ค
เลนส์ประเภทเพิ่มขนาดลูกตาดำด้วย..แม่เจ้า
แต่มีข้อแม้ว่าควรมีทักษะในการเสริมแต่งนิดนึง
เพราะเคยเห็นสาวๆหลายคนทามาสคาร่าหนาเป็นปื้น ขนตาจับเป็นก้อนๆเหมือนขาแมลงวัน
อันนั้นออกแนวสยองแล้วล่ะค่ะ เมื่อตาโตขึ้นแล้ว
อวัยวะข้างเคียงที่จะมีผลกระทบก็คือ คิ้ว ที่จะเลิกขึ้นนิดๆ
หัวคิ้วจะหดเข้าหากันนิดนึง นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้คนแอ๊บแบ๊วมีสีหน้าดูสงสัย
ไร้เดียงสาอยู่ตลอดเวลา
สายตาแบบนี้เพื่อนชายหลายคนของอิชั้นสารภาพว่าเห็นแล้วถึงกับร้องอ๊าง
สาวคนไหนจะลองทำตาแบ๊วดูก็ไม่ว่ากันค่ะ
* 2. **แก้ม *
อยากรู้จังว่าใครคือมนุษย์คนแรกที่ตัดสินว่า
*ผู้หญิงแก้มป่องคือผู้หญิงน่ารัก
* แก้มป่องจึงเป็นอาการแบ๊วอันดับสองที่ขาดไม่ได้
ลำพังคนที่แก้มป่องเป็นธรรมชาติก็ถือเป็นโชคดีของเค้าไปค่ะ
แต่สำหรับคนที่แก้มตอบ โหนกปูด กรามสองข้างทำมุมฉากซึ่งกันและกัน
เราก็จะได้เห็นอาการพยายามอมลมไว้ในปาก
แล้วดันกระพุ้งแก้มให้ป่องออกมาจนกระทั่งดูน่าหยิกเล่น
(อิชั้นเคยลองดูแล้ว รู้สึกเหมือนอมน้ำยาบ้วนปากแล้วลืมบ้วนทิ้ง)
คนที่แอ๊บแบ๊วจนชำนาญก็จะขนาดแก้มที่ป่องกำลังดีดูน่ารัก
แต่สำหรับแบ๊วมือใหม่หลายคนก็พลาด กะไซส์แก้มผิดป่องเป็นปลาทองรักเร่
หรือไม่ก็
ชิพกับเดลล์เพิ่งผ่าฟันคุด ก็ถือว่าต้องฝึกกันอีกเยอะ.. ได้ไม่ต้องกังวล
เพราะถ้าแก้มยังทำให้คุณดูแบ๊วไม่สมใจละก็..ปาก ยังช่วยคุณได้ค่ะ
* 3. **ปาก *
ไม่ว่าตามปกติใครจะมีริมฝีปากไซส์อ้อมพิยดา หรือจอยรินลณี
*ปากของสาวแอ๊บแบ๊วจะถูกกำหนดให้มีริมฝีปากบนบางๆ
** **แล้วยกเชิดขึ้นจนเห็นฟันคู่หน้านิดๆ **
*แบบอั้มพัชราภา/แตงโม/เมย์พิชนาฏ/กิ๊บซ่า
กิ๊บซี่ เกิร์ลลี่เบอรี่และดาราอีกเป็นสิบคน
ที่ถ่ายรูปลงหนังสือกี่เล่มๆก็ทำปากแบบเดิมได้ตลอดเวลา
ส่วนริมฝีปากล่างขณะแอ๊บแบ๊วนั้นมีข้อบังคับว่า
ห้ามเผยอออกมาจนห้อยย้อยแบบโน๊ต เชิญยิ้มเด็ดขาด แต่ต้องเกร็งไว้นิดๆ
เบะคางให้ดูคล้ายแอบงอนใครมาหน่อยนึง
และทีเด็ดคือต้องยิงมุมปากให้เบี้ยวไปข้างที่ถนัดข้างใดข้างหนึ่งพอประมาณหน้าแ­บ๊วที่ออกมาจะดูแก่นเซี้ยวแสนซน
และทำให้แอบคิดไปเองได้ว่า "ตอนนี้เราหน้าเหมือนโฟร์แล้วล่ะตะเอง.."
อย่าลืมรักษารูปปากไว้ตลอดเวลาที่พูดคุยด้วยนะคะ
เสียงที่ออกมาจะได้อ้อมแอ้ม พูดไม่ชัด น่ารักน่าถีบ เอ๊ย! น่าจีบ
ขึ้นอีกจมเลย
*
4. **เสียง *
เสียงเป็นอาการทางกายภาพข้อสุดท้ายของโรคแอ๊บแบ๊ว
*เสียงมาตรฐานการแอ๊บแบ๊วคือเสียงเล็กๆ
อู้อี้นิดๆ อ้อนหน่อยๆ ** **ประมาณน้องเบเบ้ หรือจิ๊บ ปกฉัตร * อะไรแถบๆนี้
ใครที่เคยสอบอ่านร้อยแก้วร้อยกรองแล้วได้คะแนนเต็มมา
อาจจะต้องไปตัดปลายลิ้นตัวเองก่อน
จึงจะออกเสียงแบ๊วๆแบบนี้ได้ น้ำเสียงที่นิยมแอ๊บแบ๊วคือ level ตั้งแต่
2 เป็นต้นไป
ทำอย่างไรก็ได้ให้ผิดอักขระวิธีให้มากที่สุด เช่น
จริงเหรอ ออกเสียงเป็น *จิ๊ง-ง๋ออออออ **?? *
ใช่ไหม เป็น *ชิเมะ **? / **ชิป้ะ **? / **ชิม้า **? *
ไม่เอา เป็น *มิอาวววว *
คือว่า , เอ่อ เป็น *คึ่บั่บ / ** **คึ่แบ๊บ / เอิ่ม / อึ่มมม
*
อะไรน่ะ เป็น *อึ่หล่ายอ้ะ **? **เป็นต้น *
*
ตัวอย่างประโยค *
" อ้าว สวัสดีแก ไม่ได้เจอกันนานมาก คิดถึงสุดๆ
ไปกินข้าวที่สยามกันมั้ย เดี๋ยวพี่ชายเราไปส่งล่ะ" เป็น * " **ฮั้ย!
สัสดีแกร..มะได้เจ๊อกึนนานม๊ากกก ** **คิดถึ่งซูดซู๊ดดด
ไปกินค๊าวที้ซึ่หย่ามกึนเมะ ** **เด๋วพี๊..ชายเราป้ะส่งแหละ" *ฯลฯ
วิธีฝึกง่ายๆก็คือยืนหน้ากระจก ฝึกทำหน้าให้แบ๊วที่สุด
แล้วลองอ่านข้อความเหล่านี้อัดเสียงใส่เทปเอาไว้
*ถ้าเปิดฟังแล้วรู้สึกอยากกระโดดถีบตัวเองเมื่อไหร่
แสดงว่าคุณผ่านการ "แอ๊บแบ๊ว" ระดับเบสิคได้แล้วล่ะค่ะ *