ได้ครับ คืออย่างนี้ครับ เจ้าของอู่บอกกับผมว่า ถ้าประกันมากรณีประกันจะซ่อมให้เรานะครับ ประกันเขาก็จะซ่อมให้เสร็จสับแล้วเรียกเงินจากคู่กรณีได้เท่าไหร่แล้วจ่ายให้อู่ที่ซ่อมรถเรา แล้วส่วนที่เหลือประกันก็จะรับไปเหนาะๆ เช่น ประกันให้อู่นาย ก. มาตีราคาให้ที่ xx,xxx บาท ซึ่งเขาอาจจะเตรียมกันไว้ว่าตีไว้สูงๆ ก่อน(ตามความเข้าใจของผมนะครับ) เมื่อซ่อมเสร็จสรุปค่าซ่อมออกมาเท่าไหร่ ประกันก็จะเรียกเก็บค่าซ่อมกับคู่กรณี อาจจะได้เท่าไหร่มิทราบมาจ่ายค่าซ่อมให้กับอู่แล้วส่วนที่เหลือประกันก็จะรับส่วนนั้นไป เช่น สมมุตินะครับ อู่ตั้งราคาไว้ที่ 60,000 บาท ราคานี้ประกันอาจจะแจ้งให้คู่กรณีทราบก่อนและยอมรับจำนวนเงินที่ประกันแจ้งให้รับทราบ ขออนุญาตบอกเป็นตัวเลขนะครับจะได้มองเห็นภาพ อู่ตั้งไว้ที่ 60,000 บาท เมื่อซ่อมรถเสร็จปรากฏว่าค่าซ่อมจริงทั้งหมดแค่ 45,000 แล้วส่วนต่างที่เหลือประกันก็รับไปประมาณนี้นะครับ แต่ถ้าเราไม่ให้ประกันซ่อมให้ ทั้งนี้คู่กรณียอมรับตกลงว่าจะซ่อมให้ในราคาที่อู่ตีราคาไว้ส่วนต่างที่เหลือก็จะเป็นของเราน่ะครับ ตามที่ผมเข้าใจ
เหนื่อยๆ
อ่านดูแล้วตลกดีครับ เป็นผม ถ้ารถผมมีประกันชั้น1 ยังไงผมก็เรียกประกัน รถเราอยู่ภายใต้การคุ้มครองของประกันภัย
ผมคิดง่ายๆ ประกันภัยจะเป็นคนไปตามไล่เบี้ยกับคู่กรณีเอง ส่วนเรื่องการซ่อมแซมรถของเราทางประกันภันภัย
เค้าจะเป็นคนดูแลให้เราก่อน ความเสี่ยงก็ไม่มี ไม่คิดกลับกันว่าทางนู้นเค้าอาจจะไปยัดเงินอู่ซักหน่อยนึง แล้วบอกว่า
ก็ซ่อมรถให้คุณเน้นราคาถูกๆ เน่าๆข้างใน

เค้าก็ทำได้ แต่ถ้าคุณอยู่ภายใต้การคุ้มครองของประกันภัย อย่างน้อย
คุณเป็นฝ่ายถูก ยังไงเสียหากการซ่อมแซมรถออกมาอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ คุณไม่ยอมรับรถ ทางอู่ภายในเครือประกัน
ภัยเค้าจะดูแล จนกว่าคุณจะพอใจในผลงานซ่อม เพราะถ้าคุณไม่ยอมเซ็นยอมรับรถ ทางประกันภัยก็ไม่ยอมจ่ายค่า
ซ่อมต่างๆให้ที่อู่อีกที เพราะฉะนั้นอย่างน้อย ถ้าคุณให้ทางประกันภัยของคุณเข้ามาดูแล อย่างน้อยไม่มีใครมาชักดาบ
และมั่นใจในระดับหนึ่งว่า ผลงานที่ซ่อมออกมาย่อมดีกว่า ประกันภัยหนะฉลาดครับ เวลามีอุบัติเหตุ แล้วคู่กรณีไม่มี
ประกันกันภัยหนะ ผมกลับต้องรีบเรียกประกันภัย เพราะเค้าจะเข้ามารับหน้าที่ไปไล่เบี้ยแทนเราเองครับ ส่วนสาเหตุที่
อู่เขาบอกว่าไม่ต้องเรียกแล้วเขาจะเข้ามาดูแลให้เพราะอะไร
1. อู่เป็นคนจัดหาอะไหล่เอง อู่รับเต็มๆ
2. ค่าแรงทำสี ค่าสีต่างๆปกติ งานประกันภัยทางประกันภัยเค้าจะ
มีเรทราคา ซึ่งเปรียบเทียบ รับงานลูกค้าทั่วไป ทางอู่เค้าจะตั้งเบิก
จากประกันได้น้อยกว่างานลูกค้าทั่วไป
3. ปกติแล้ว ประกันภัย เงินจะออกช้าเครดิต1เดือน2เดือน บางที่ยาวไปถึง6เดือน
ด้วยเหตุผลแค่3ข้อนี้ก็คงไม่มีอู่ไหนอยากจะรับงานประกันภัยเท่าไหร่ ถ้าเลี่ยงได้ หนำซ้ำปัจจุบัน
ประกันภัยก็มีหลายบริษัทที่มีปัญหาเรื่องการเงินครับ ไม่แปลกที่ทางอู่จะชอบรับงานลูกค้าหน้าร้านมากกว่า
เงินสด จ่ายเร็ว กำไรเยอะ ส่วนเรื่องที่คุณบอกว่า ประกันภัยเค้าจะมาโกงเรื่อง ซ่อม45000 แล้วไปเรียกเก็บ
อีกฝ่าย 60000 อะไรประมาณนี้ ผมมีความเห็นแบบนี้ครับ
1. ไม่ใช่หน้าที่ที่คุณต้องสนใจเพราะทางประกันภัยไม่ได้มาเรียกเก็บกับคุณ หน้าที่ของคุณคือ
ให้ทางอู่จัดการซ่อมแซมรถออกมาภายใต้สภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ภายใต้การคุ้มครองของประกันภัย
อย่างเคสของคุณ ใครคุ้มครองให้คุณ? ใครแบกรับความเสี่ยงให้คุณครับ? ถ้าผู้ต้องหา เกิดไปฮั้วทางอู่
ให้ซ่อมในงบประหยัด? หรือจัดอะไหล่เทียบเยอะๆ อู่ไม่ชอบหรอกำไรมากขึ้น แล้วอย่าลืมว่ายังไงอู่
มันเกรงใจฝ่ายนู้นมากกว่าเรา เพราะอะไร? ก็ใครเป็นคนจ่ายเงินให้อู่หละครับ?
2.โดยปกติแล้ว ทางเจ้าผู้ต้องหา เวลามีการเรียกเก็บเงินค่าสินไหมชดเชยจากคู่กรณี คุณว่า เค้าจะปิดตาแล้วควัก
เงินให้เลยโดยที่ไม่ได้พิจารณาก่อนจะจ่ายสตางค์หรอครับ ไม่หรอก ทางนู่นเค้าก็ต้องดูเหมือนกันว่า
มันมีเหตุสมควรไหมสำหรับค่าซ่อม60,000 บาท โดยในความเป็นจริงอาจจะแค่45,000 ส่วนต่าง15,000
มันไม่น้อยนะครับ ผมดูแล้วกลายเป็นว่า งานนี้อู่ฉลาดที่สุด ได้ซ่อมรถ2คัน ภาษาบอลเค้าเรียก จับชน
เลย ฝ่ายถูก และฝ่ายผิด ซ่อมอู่เดียวกันด้วย รับเต็มๆไม่ต้องเสียค่าน้ำ จริงๆแล้วถ้ารถคุณเป็นรถแปลกๆ
ที่ประกันภัยเค้าไม่มีความชำนาญ คุณกลับได้เงินจากประกันภัยง่ายๆด้วยซ้ำ สมัยซัก10ปีก่อนสมัยไฟซีนอนเข้า
มาใหม่ๆ ตอนนั้นไฟซีนอนชุดละ25,000 ของHella ประกันภัยยังไม่รู้จักว่าไฟซีนอนคืออะไร แต่ผมเองได้ทำ
ประกันเพิ่มทุนในส่วนของตกแต่งไปอีกแสนกว่าบาท ตอนที่รถชนปุ้บ ไฟซีนอนผมมีหลอดแตกไปดวง และบัลลาสต์
เสียหายไป1อัน ห้อยโตงเตงอยู่ รถผมติดไฟซีนอน 3ชุด ไฟต่ำ ไฟสูง สปอตไลท์ พอรถไปที่อู่ ผมก็จัดการรื้อ
เจ้าไฟชุดที่เหลือออกแล้วตั้งเบิกไฟหซีนอนใหม่ ไป75,000แล้วเอาซากไฟที่มันแตกกับห้อยโตงเตง1อันเป็นหลักฐาน
โดยแจ้งว่า ชิ้นส่วนสูญหายระหว่างอุบัติเหตุ ผมก็เอาสตางค์ไปถอยไฟซีนอนอีก3ชุด โดยผมก็ซื้อไฟซีนอนอีกรุ่นของ
ญี่ปุ่นชุดละ14,000 ใส่ลงไป สรุป ผมก็ยังมีไฟซีนอนของเก่าเก็บไว้ แถมได้กำไรมาอีกหลายหมื่น หรือรถผมอะไหล่
ทางประกันหาไม่ได้ ให้ผมแอดวานซ์เงินไปก่อน ผมก็สั่งนอกมาแล้วให้อู่ที่สนิทกันออกใบกำกับภาษีให้เช่น
แผงทับทิมหลังรถผมราคา13,000 ผมเบิกนอกมา 7,000 ผมก็ตั้งเบิดไป14000-15000 แต่สำคัญคือคุณต้องหาคนออก
Vat ให้ได้ เพราะประกันเองเค้าต้องการVat ไปหักภาษีปลายปีซึ่งVat มันมีผลต่อเรื่องภาษีสิ้นปีของบริษัทมากๆ
เพราะฉะนั้นประกันเวลาตั้งเบิก จ่ายอะไรจะเน้นVat เป็นหลัก สรุปผมว่างานนี้คุณโดนอู่ร่ายมนตร์ใส่เต็มๆครับ
ผมเองใช้ประกันชั้น1 มีปัญหาขึ้นมาเรียกประกันก่อนเลย ผมไม่คุยกับคู่กรณี ให้ประกันจัดการแทนเพราะเวลา
มีปัญหาขึ้นมา ประกันจะเป็นคนรับผิดชอบให้เรา แล้วไปไล่เบี้ยกับคู่กรณีเอง คุณก็ไม่ต้องแบบรับความเสี่ยงเรื่อง
โดนชักดาย หรือ เป็นแผนกเร่งรัดหนี้สินในตัว แถมงานนี้เกิดอีกฝ่ายไม่มีเงิน หรือยังเบิกเงินจากคู่กรณีไม่ได้
รถคุณก็ดองเอาไว้ แต่ถ้าเรียกประกัน ประกันจะต้องรับหน้าที่ในการซ่อมแซม และแอดวานซ์ให้คุณก่อน หาก
ประกันไม่ยอมซ่อมรถให้ ภายใต้การคุ้มครอง ไม่ว่าจะถูกหรือผิด คุณก็ยังสามารถร้องเรียนกับกรมการประกันภัย
เฉ่งประกันภัยได้อีก เท่าที่ผมอธิบายผมคิดว่าคุณน่าจะมองเห็นภาพมากขึ้นนะ อย่าไปหลงทางอู่มันร่ายมนตร์ง่ายๆครับ
มันไม่มีอะไรจะง่ายขนาดเหมือนที่อู่หรอกครับ สมัยก่อนผมขับรถเลวครับ ผมชนที่นึง ค่าซ่อมรถผม190000มั่ง
220000มั่ง 550,000มั่ง จนประกันภัยต้องเชิญออกไปที่อื่นหลังซ่อมเสร็จยังมีเลยครับ
ประกันคืนซากไปหลายคันแล้วครับถึงพอรู้ว่า มันมีที่มาที่ไปยังไง สมัยก่อนทะเลาะ
กับประกันบ่อย จนสนิทกับประกันถึงพอจะรู้ว่า มันมีวิธียังไงบ้าง จะทำยังไง มีทางหนีที่ไล่อย่างไร
บางคันจอดรออะไหล่9เดือน12เดือน ยังมีเลยนานมากๆแทบลืมรถตัวเองไปเลย
จะกินเงินประกันไม่ง่ายนะครับ แต่ก็ไม่ยากหากคุณคิดไกลกว่าเค้าก้าวนึง เพียงแต่ต้องรอจังหวะนิดนึงครับ