acer3608
ศิษย์น้อง
 
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 146
|
 |
« เมื่อ: 08 มีนาคม 2010, 23:24:45 » |
|
เห็นจากกระทู้บางคนเริ่มบ่นถึงเรื่องเครื่องเดินสะดุดบ้าง อืดบ้าง ผมขอเล่าจากประสบการณ์ตรงที่เกิดกับผมเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาให้เพื่อนๆเก็บไว้เป็นแนวทางนะครับ ผมใช้ EK 96 ตัว VTiE แต่ได้เปลี่ยนเป็น D15B และได้ติดแก้สมาแล้ว 2 ปีระบบดูด ขับสลับทั้งแก้สและน้ำมันมาโดยตลอด พอมาสองสามเดือนหลังที่ผ่านมามีอาการวิ่งน้ำมันแล้วเหมือนน้ำมันมาไม่เต็ม เข้าใจว่าปั้มติ้กแห้งเลยไม่ได้เอะใจ เลยใช้แก้สอย่างเดียวมาโดยตลอด เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมารถผมเกิดอาการเหมือนแก้สมาไม่เต็มคล้ายๆกับเวลาที่ใช้น้ำมัน แต่ก็ยังพอขับได้ จนสุดท้ายเครื่องไม่มีแรงขับได้ประมาณ 40-60 กม/ชม.รอบอยู่ที่ 2500-3000 ครับ เลยเอาเข้าอู่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ช่างเปิดดูบ่าวาล์วทรุดมาก กระบอกสูบเป็นรอยลึกลงไปประมาณสองมิลได้ครับ มีตะกอนคล้ายๆเม็ดทราย และโคลนอุดอยุ่เต็มไปหมดเลยครับช่างต้องแคะและเอาลมเป่าออกซึ่งเยอะมาก ตรงซิลยาง ประเก็นฝาวาล์วต่างๆมันกรอบแห้ง น้ำดันออกตามขอบต่างๆ ซึ่งก่อนหน้านั้นมีคราบน้ำมันเยิ้มอยู่แล้วครับแต่คิดว่าไม่เป็นไร ช่างบอกว่าตะกอนและโคลนเกิดจากเศษเครื่องที่กัดกร่อนแล้วหลุดอยู่ในนั้นแล้วทำให้อุดตัน น้ำจึงดันออกมาตามขอบซิลยางต่างๆ ซึ่งเข้าใจว่าเกิดจากอากาศเข้าตามซิลยางที่รั่วและไปทำปฏิกริยากับน้ำแล้วเกิดการกัดกร่อนขึ้น ข้อสังเกตุอีกอย่างนึงที่เห็นคือน้ำในหม้อพักมีโคลนผสมอยู่ครับ ทั้งนี้พรุ่งนี้จาไปรับรถครับราคาค่าซ่อมอยู่ที่ประมาณหมื่นสอง เด๋วผมจะมาบอกอีกทีว่าทำอะไรไปมั่งนะครับ เรื่องนี้เลยทำให้รู้ว่า 1. ถ้าซิลยางรั่วมีน้ำมันเยิ้มให้รีบเปลี่ยนครับ เพราะทำให้เป็นตัวเร่งการกัดกร่อน 2. ถ้าใครใช้แก้สควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องให้ตรงตามระยะ 3. ถ้าใครใช้แก้สควรมีการสลับน้ำมันเพื่อให้เครื่องไม่แห้งจนเกินไปและไม่ร้อนมากจนผุกร่อนครับ 4. หากมีอาการเครื่องเร่งไม่ออก ไม่มีกำลัง ควรให้ช่างรีบเช็คครับ
ทั้งนี้ผมยังคิดว่าการใช้แก้สยังเป็นทางเลือกที่ดีนะครับ และผมก็ยังจะใช้ต่อไป แต่คิดว่าเราต้องดูแลให้มากกว่านี้ครับ หากท่านใดมีข้อมูลแลกเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมเชิญได้เพื่อเป็นแนวทางกันครับ
|