ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
21 กรกฎาคม 2025, 03:36:38
หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ข่าว: มีปัญหาการใช้งานเว็บไซต์ หรือติดต่อลงโฆษณา ติดต่อ admin [ไม่ใช่ผู้ขายสินค้า] ที่ 0876889988   หรือ theerachai@siamrx.com หรือ line id: @welovecivic




Custom Search
:::CIVIC CLUB THAILAND:::  |  คุยคุ้ย Civic  |  Civic Club Discuss => ห้องคนขับ  |  หัวข้อ: อยากทราบ Top speed civic 06 วิ่งได้เท่าไรกัน 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1] ลงล่าง พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อยากทราบ Top speed civic 06 วิ่งได้เท่าไรกัน  (อ่าน 12439 ครั้ง)
Pree_civic96
PS MODIFY BY MUGEN DESIGN
เข้าวงการ
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 41


Civic..EK


« เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2006, 14:01:35 »



คือ อยากทราบ top speed ของ civic 1.8 กับ 2.0 วิ่งได้เท่าไรกันครับ
บันทึกการเข้า
ตัวเล็ก
:: UPZ 2 ME ::
Gold Member
เจ้ายุทธภพ
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,349

Hopeless


« ตอบ #1 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2006, 14:31:16 »

น่านสิคะ มีใครแอบ เทสต์ ความเร็วม้างแร้ว อ่า

อยากรู้ ๆ  ยิ้มกว้างๆ


นู๋ ลองแค่ 190 นิส ๆ เอง
บันทึกการเข้า


<Yui>" H O P E L E S S "   CivicClub no.195
NaBu 5721
Gold Member
เจ้ายุทธภพ
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,447


ES 04 1.7 Vtec SMT


« ตอบ #2 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2006, 15:05:22 »

น่านสิคะ มีใครแอบ เทสต์ ความเร็วม้างแร้ว อ่า

อยากรู้ ๆ  ยิ้มกว้างๆ


นู๋ ลองแค่ 190 นิส ๆ เอง


นิดเดียวเองเหรอ 190 น่ะ  อืม!!! พี่ยังไม่ค่อยกล้าเลย    ลังเล
บันทึกการเข้า




อดีตวัตถุแห่งความสุขใจ
sakchai
Gold Member
เจ้ายุทธภพ
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,431



« ตอบ #3 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2006, 15:13:15 »

น่านสิคะ มีใครแอบ เทสต์ ความเร็วม้างแร้ว อ่า

อยากรู้ ๆ  ยิ้มกว้างๆ


นู๋ ลองแค่ 190 นิส ๆ เอง
น้องช่างกล้าเน๊อะ
บันทึกการเข้า
Bose
ศิษย์น้อง
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 57


Yo quielo new civic


« ตอบ #4 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2006, 15:53:47 »

ของผมเครื่อง 1.8 ครับ พอดีขับรถกลับบ้าน ระหว่างนั้นขับผ่านเส้นทาง
พิษณุโลก - อุตรดิตถ์ เลยถือโอกาส อัดดู  ได้ที่ประมาณ 204 - 208 ครับ
แต่ความรู้สึกผมคิดว่ายังไม่หมด อ่ะ เพราะผมยังชลอๆอยู่บ้าง ในบางจัดหวะ
แต่ขอบอกว่า ได้ใจมากครับ เกาะถนนดีมาก
บันทึกการเข้า


Never gonna leave your side
&
I'm gonna make you feel alright everynight
daido_s
ข้าน้อยรอการลงทัณฑ์จากท่าน
Gold Member
อาจารย์ปู่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6,447


.............


« ตอบ #5 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2006, 16:03:52 »

 ยิ้มกว้างๆ ตัว 1.8 น่าจะประมาณ 2.. ขึ้นนะคับ เคยกดได้ 185 แล้วยกก่อน แต่ดูแล้วยังเหลืออีกพอประมาณนะ  ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า
teelex123
ไม่อยากเป็น
อาจารย์ปู่
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,191


« ตอบ #6 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2006, 16:12:50 »

เครื่อง 2.0 จ้า
 HONDA Civic นี้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากมายพอดู ซึ่งเป็นการพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ทั้งทางด้านเทคนิคและรสนิยม ซึ่งเป็นผลให้พรรคพวกระดับเดียวกัน ต้องหยุด...แล้วกลับไปพิจารณาตัวเองเลยทีเดียว
     ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์มีเยอะ แม้ตัวเลขของอัตราเร่งจะเป็นรองรุ่น 1.8 L อยู่บ้างนิดหน่อย ทั้งนี้คงเป็นเพราะทาง HONDA วางตัวรุ่น 2.0 L ไว้ในลักษณะขับง่ายขับสบายมากกว่าความจัดจ้าน ซึ่งจะสร้างความสุขสบายเพลิดเพลินยามใช้งานในเมือง แถมยังประหยัดน้ำมันกว่าอีกต่างหาก ต่างจากตัว 1.8 L ที่เน้นความจัดจ้านและความสนุกในการขับขี่ หรือเมือเอาไปเที่ยวกับ Civic 2.0 L รุ่นก่อน เจ้า Civic ใหม่นี้แม้อัตราเร่งจะใช้เวลานานกว่าก็จริง แต่อัตราสิ้นเปลืองประหยัดกว่ากันเยอะเลย ดังนั้นเจ้า HONDA Civic 2.0 L รุ่นนี้จึงถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีในการขับขี่ใช้งานในเมือง จาการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ราบเรียบนุ่มนวล และทันใจ และทันใจ พร้อมด้วยความประหยัดอีกต่างหาก ทั้งยังเป็นเพื่อนที่น่าคบ ด้วยยามเดินทาง ไม่ว่าพละกำลังที่กดกันได้เกินกว่า 200 กม./ชม. อัตราเร่งที่แค่กวักมือมาแล้วไม่ต้องบังคับเคี่ยวเข็ญ เรียกเมื่อไหร่เป็นมาเมื่อนั้นมีกำลังสำรองเยอะ ถึงจะไม่ ปรู๊ดปราดระดับนัก ซิ่ง แต่ในระดับใช้งานถือว่าเพียงพอ แล้วยังมีความประหยัดให้สัมผัสอีกถ้าไม่สนุกกับความเร็วจนเกินไป ด้านการทรงตัวจัดว่าดีพอจะให้ความมั่นใจได้ในยามเดินทางด้วยความเร็วสูง ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับระดับชั้นของรถกับความนุ่มนวลของช่วงล่างต้องนับว่าทำตัวได้ดี ความง่ายและความสบายในการบังคับควบคุมทิศทางของรถ ดูจะเป็นรองตัว 1.8 L อยู่เล็กน้อย จากน้ำหนักของเครื่องยนต์ที่มากกว่าทำให้อาการอันเดอร์สเตียร์เยอะกว่าตามไปด้วยจึงต้องออกแรงสาวพวงมาลัยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการจัดสรรอัตราทดของพวงมาลัย ก็ช่วยลดภาระในการขับขี่ ทางบน คดเคี้ยวไปได้มาก
  สมรรถนะ
     เมื่อเปิดฝากระโปรงหน้าขึ้นมา ก็จะเห็นเครื่องวางขวางหันขวาที่วางลึกเข้าไปมาก จนโผล่หน้าออกมาทักทายกันได้หน่อยเดียว แต่ก็ยังจำได้ว่าเป็นเครื่องบล็อค K 20 ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันมานาน ไม่ว่าจะเป็น ในห้องเครื่องของ Civic 2.0 รุ่นก่อน ตัว Stream กับ CR-V และ Accord 2.0 ถ้าเป็นเครื่อง 2.0 L ระดับรถชาวบ้านและล่ะก็ HONDA มักเล็งไปที่เครื่องบล็อกนี้ก่อนอื่นเลย

     ถึงแม้จะเป็นเครื่องบล็อกเดียวกันก็จริง แต่รายละเอียดกับลูกเล่นนั้นไม่เหมือนกัน โดยดูได้จากรหัสตามท้ายที่สมัยก่อนจะตามด้วยตัว A แต่สำหรับเครื่องตัวนี้เป็นพัฒนาการล่าสุด และเปลี่ยนรหัสตามท้ายเป็นตัว Z โดยเป็นเครื่องบล็อค K 20 Z 2 แบบ DOHC ใช้ 4 วาล์ว ต่อสูบ พร้อมระบบ i-VTEC รุ่นใหม่ สำหรับระบบ i-VTEC นั้น คือ ระบบ VTEC (Variable Valve Timing & Lift Electronic Control) ที่เพิ่มเติมระบบ VTC (Variable Timing Control) เข้าไป ตัวเครื่องยนต์ มีความจุ 1,998 ซีซี. จากลูกสูบกว้าง 86 มม. 4 ลูกยืนเรียงแถว กับช่วงชักยาว 86 มม. ในลักษณะ สแควร์ อันเป็นตัวเลขยอดนิยมสำหรับเครื่องขนาด 2.0 L 4 สูบ มีอัตราส่วนกำลัง 9.6 ต่อ 1 ซึ่งสมัยนี้ไม่ถือว่าสูงเท่าไหร่นัก สามารถเติมน้ำมันเบ็นซินอ๊อคเทน 91 ได้อย่างสบาย การแจกจ่ายน้ำมันเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของ PGM-FI หัวฉีดอิเล็คทรอนิคส์แบบมัลติพอยท์ และระบบจุดระเบิดอิเล็คทรอนิคส์แบบไดเร็คท์คอยล์ ปลดปล่อยฝูงม้าออกมาได้ 155 ps หรือ 114 kW ที่ 6,000 รอบต่อนาที ส่วนแรงบิดสูงสุดมีให้ใช้กัน 19.2 กก.- เมตร หรือ 188 Nm ที่ 4,200 รอบต่อนาที ซึ่งเมื่อดูตัวเลขของรอบเครื่องที่มีแรงม้าสูงสุดนั้นจะอยู่ที่ 6,000 รอบต่อนาที เท่านั้นเอง ต่างกับ เครื่อง K 20 รุ่นก่อน ๆ ซึ่งมีแรงม้าสูงสุดอยู่สูงกว่าถึง 6,500 รอบต่อนาที แสดงว่าเที่ยวนี้ทาง HONDA คงจะใช้แค็มชาฟท์องศาต่ำกว่า เพื่อความราบเรียบลดอาการสั่นสะเทือน เงียบเสียง และมีแรงบิดดีตั้งแต่รอบเครื่องต่ำ โดยเมื่อเทียบแล้วเครื่องตัวนี้จะมีแรงบิดมากกว่ารุ่นก่อนถึง 11 Nm แถมยังได้ในรอบเครื่องต่ำกว่าเดิมด้วย โดย Civic 2.0 รุ่นก่อนที่ใช้เครื่อง K 20 A 3 จะมีแรงบิดสูงสุด 177 Nm ที่ 5,200 รอบต่อนาที
   เครื่องยนต์บล็อกนี้แม้จะเคยคบหากันมาหลายครั้งแล้ว แต่คราวนี้ทาง HONDA ได้พัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยการปรับปรุงบิดให้ดีขึ้นอีกทั้งแรงบิดสูงสุดก็เพิ่มขึ้นอีก 11 Nm โดยมีการปรับปรุงท่อร่วมไอเสียให้มีอัตราการไหลของไอเสียที่ดีกว่าเดิม ใช้ท่อไอเสียที่มีความยาวมากขึ้น เพื่อสร้างกำลังและแรงบิดที่ดี ท่อร่วมไอดีแบบมี Torque up Resonator จังหวะการเปิดและปิดของวาล์วถูกจัดสรรเอาไว้อย่างเหมาะสม ด้วยระบบเพลาราวลิ้นกับระบบควบคุมการเปิดและปิดวาล์วใหม่ ที่สัมผัสกับระบบท่อร่วมไอดีแปรผัน เพื่อให้ได้แรงบิดที่ดีขึ้นตั้งแต่ช่วงรอบเครื่องต่ำ รวมทั้งใช้ระบบควบคุมลิ้นปีกผีเสื้อแบบอิเล็คทรอนิคส์ DBW (Drive ? By ? Wire) ในการควบคุมเครื่องยนต์ แทนเครื่องรุ่นก่อนที่ยังใช้สายคันเร่ง ทำให้สามารถควบคุมความเร็วรวมทั้งการทำงานของเครื่องยนต์ได้ละเอียดและแน่นอนกว่า

 ตัวฝาสูบทำจากอลูมิเนียมมีน้ำหนักเบา ใช้วาล์ว 4 ตัวต่อสูบ เป็นวาล์วไอดีขนาด 35 มม. 2 ตัว กับวาล์วไอเสีย 30 มม. อีก 2 ตัว กระเดื่องวาล์วใช้แบบลูกกลิ้งเพื่อลดแรงเสียดทานตัวเสื้อสูบก็เป็นอลูมิเนียมเช่นกัน โดยใช้ปลอกสูบเหล็กหล่อ ลูกสูบมีน้ำหนักเบา และเป็นการลดความฝืดไปในตัว และเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้ราบเรียบและนุ่มนวลเป็นพิเศษ ทาง HONDA ใช้ระบบดูดซับเสียงรบกวนและแรงสั่นสะเทือน NVH มีการเสริมแกนเหล็กคาร์บอนในฝาประกบแบริ่งตัวหลักเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ตัวกันรุนเพลาข้อเหวี่ยงแบบชิ้นเดียวนอกจากนี้ยังมีเพลาสมดุลหรือ Balance Shaft อีก 2 แห่ง อยู่ทางด้านล่างของเครื่องยนต์ มาช่วยลดแรงสั่นสะเทือนให้มีน้อยลง ตัวท่อรวมไอดีเป็นแบบไฟฟ้า เวลาขับแถวแล้วเหยียบคันเร่งคงที่ ท่อร่วมไอดีจะลดแรงต้านอากาศ ตัววาล์วจะเป็นแบบแปรผัน ทำให้สุญญากาศคงที่ช่วยให้มีอัตราเร่งที่ดี
 สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างอยู่ใต้เท้าขวาโดยทาง HONDA ใช้คันเร่งแบบ Organ-Type ซึ่งมีความแตกต่างกับคันเร่งทั่วไปตรงที่ ปลายคันเหยียบด้านล่างจะยึดติดอยู่กับพื้นด้วย ลักษณะเช่นนี้จะทำให้แป้นเหยียบไม่ถอยหนีออกไป ตำแหน่งส้นเท้าจะอยู่ที่เดิม ลดอาการเมื่อยล้าเวลาเหยียบคันเร่ง สามารถควบคุมน้ำหนักคันเร่งได้ง่าย การขยับของขาคันเร่งก็ราบเรียบ และการขยับปลายเท้าเพื่อกดคันเร่งสลับกับการเหยียบเบรค ทำได้รวดเร็วคล่องตัวมากขึ้น น้ำหนักของคันเร่งแบบไฟฟ้านี้เราสามารถปรับน้ำหนักได้ตามที่ทางบริษัทต้องการเพราะเป็นแค่สวิทช์สัญญาณเท่านั้นเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสปริงดึงกลับหรือความฝืดของสายคันเร่ง แต่รู้สึกว่าง ทาง HONDA จะกำหนดไว้ค่อนข้างดึงเท้าเล็กน้อย รู้สึกว่าจะหน่วงเท้ากว่ารุ่นก่อนที่ใช้สายคันเร่งด้วยซ้ำ
    การทำงานของเครื่องยนต์ช่วงรอบเดินเบา ราบเรียบและเงียบเสียงกันเป็นพิเศษรอบเครื่องอยู่คงที่ไม่ว่าจะมี โหลดหรือไม่ก็ตามการควบคมอุณหภูมิเครื่องยนต์ใช้พัดลมไฟฟ้า 2 ตัว ทางซ้ายใช้ใบพัดอันโตหน่อย 5 ใบ ตัวพัดลมทางขวาใช้ใบพัดแบบ 7 ใบ สามารถควบคุมความร้อนให้อยู่ในอุณหภูมิทำงานได้เป็นอย่างดี ไม่ว่ารถจะติดอากาศจะร้อนมาตรวัดก็อยู่ในระดับไม่เกินครึ่ง
     ด้านการตอบสนองในช่วงรอบเครื่องต่ำทำได้ดี แรงบิดของเครื่องยนต์ในช่วงรอบต่ำมีมากและมาเร็ว แม้รอบเครื่องยนต์จะไม่ปรู๊ดปร๊าด แต่จะพบว่ากำลังแรงบิดจะมาเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงออกตัวไปจนถึง 4,200 รอบต่อนาที อันเป็นช่วงที่มีแรงบิดสูงสุด และเมื่อเกินเลยไปกว่านี้เครื่องยนต์ก็ยังมีแรงบิดให้ใช้ร่วม 185 Nm ใกล้เคียงกับแรงบิดสูงสุดต่อไปจนถึง 6,000 รอบต่อนาทีเลยทีเดียว จากแรงบิดเหล่านี้ทำให้การใช้งานในเมืองมีความราบเรียบและนุ่มนวล การตอบสนองของเครื่องยนต์จัดว่าทันอกทันใจ ประเภทขับมาเรื่อย ๆ แบบเน้นประหยัดน้ำมัน เพราะเผอิญไม่มีแฟนหรือญาติเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมัน ก็ไม่รู้สึกว่าเครื่องยนต์หน่วงหรือหนัก ตลอดจนอืดอาดประการใด ยังสามารถสัมผัสได้ว่ารถพร้อมจะเพิ่มความเร็วพุ่งตัวออกไปทันทีถ้าเหยียบคันเร่งลึกลงไปกว่าเดิม ยามขับขี่ใช้งานกันในเมือง มีความคล่องตัวสูงและขับง่ายขับสบายเป็นอย่างมาก

     ด้านการตอบสนองในช่วงรอบเครื่องต่ำทำได้ดี แรงบิดของเครื่องยนต์ในช่วงรอบต่ำมีมากและมาเร็ว แม้รอบเครื่องยนต์จะไม่ปรู๊ดปร๊าด แต่จะพบว่ากำลังแรงบิดจะมาเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงออกตัวไปจนถึง 4,200 รอบต่อนาที อันเป็นช่วงที่มีแรงบิดสูงสุด และเมื่อเกินเลยไปกว่านี้เครื่องยนต์ก็ยังมีแรงบิดให้ใช้ร่วม 185 Nm ใกล้เคียงกับแรงบิดสูงสุดต่อไปจนถึง 6,000 รอบต่อนาทีเลยทีเดียว จากแรงบิดเหล่านี้ทำให้การใช้งานในเมืองมีความราบเรียบและนุ่มนวล การตอบสนองของเครื่องยนต์จัดว่าทันอกทันใจ ประเภทขับมาเรื่อย ๆ แบบเน้นประหยัดน้ำมัน เพราะเผอิญไม่มีแฟนหรือญาติเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมัน ก็ไม่รู้สึกว่าเครื่องยนต์หน่วงหรือหนัก ตลอดจนอืดอาดประการใด ยังสามารถสัมผัสได้ว่ารถพร้อมจะเพิ่มความเร็วพุ่งตัวออกไปทันทีถ้าเหยียบคันเร่งลึกลงไปกว่าเดิม ยามขับขี่ใช้งานกันในเมือง มีความคล่องตัวสูงและขับง่ายขับสบายเป็นอย่างมาก

    อัตราเร่ง 0-100 กม. ทำได้ในเวลา 11.14 วินาที เมื่อขับกันด้วยเกียร์ D โดยเกียร์จะเปลี่ยนจังหวะในเกียร์ 1 ที่ 6,000 รอบต่อนาที และในเกียร์ 2 ที่ 6,800 รอบต่อนาทีแต่ถ้าชิฟท์เกียร์เองเวลาจะลดลงมาเหลือเพียงแค่ 10.84 วินาที เท่านั้น เพราะสามารถลากรอบเคลื่อนไปได้ถึง 7,000 รอบต่อนาที อย่างไรก็ตามตัวเลขนี้ถือว่าเป็นรองรุ่น 1.8 L ที่ ทำไว้ 10.56 วินาที และ Civic 2.0 L รุ่นที่แล้วทำได้ 10.62 วินาที สำหรับอัตราเร่ง &frac14; ไมล์หรือระยะ 402 เมตร ใช้เวลาตะกายกัน 17.95 วินาที ที่ความเร็ว 129.41 กม./ชม. เมื่อเข้าเกียร์ D แล้วกดคันเร่งจมพื้น แต่ถ้าไม่อยากอยู่เฉย ๆ ชอบที่จะขยับเลื่อนจังหวะเกียร์เอง หากสามารถขยับเปลี่ยนเกียร์ให้ทันก่อนเครื่องตัดการทำงานที่ 7,000 รอบต่อนาที จะใช้เวลาน้อยลงอีกหน่อยเหลืออยู่ 17.88 วินาที ที่ความเร็ว 130.66 กม./ชม. (รุ่น 1.8 L 17.64 วินาที และ Civic 2.0 L ตัวเก่า 17.84 วินาที ) ส่วนความเร็วสูงสุดนั้นหมดลมหายใจที่ 213 กม./ชม.ในเกียร์ 4 ที่ 6,500 รอบต่อนาที ซึ่งตัวเลขบนมาตรวัดความเร็วจะโชว์ที่ 219 กม./ชม. โดยความเร็วปลายนี้ทำได้มากกว่ารุ่น 1.8 L ที่ทำไว้ 203 กม./ชม. และ Civic 2.0 L ตัวก่อน 204 กม./ชม . ด้านค่าคลาดเคลื่อนของมาตรวัดระยะทางมีเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ระยะทาง 10 กม. ตัวเลขระยะทางบนมาตรวัดจะขึ้น 10.13 กม. โดยยางขนาด 205/55 R 16 สำหรับ Civic คันนี้มีเส้นรอบวงยาว 1.93 เมตร
  อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
     ระบบจ่ายเชื้อเพลิงดูทั่งไปแล้วไม่ค่อยจะมีอะไรแปลกใหม่นัก ยังคงใช้หัวฉีดอิเล็คทรอนิคส์ มัลติพอยท์สูบละตัวแบบ PGM-FI ที่ทาง HONDA คบหามานาน ตัวควบคุมการทำงานก็เป็นกล่องECU ขนาด 16 บิทเท่านั้นเองแต่ทาง HONDA ไปเน้นรายละเอียดของพวกเซ็นเซอร์ต่าง ๆ มีการเพิ่งข้อมูล และรายละเอียดมากขึ้น รวมทั้งปรับปรุงตัวเครื่องยนต์และลักษณะการทำงานมีผลให้เกิดความประหยัดเชื้อเพลิงได้ในระดับประทับใจ

     ระบบPGM ?FI เป็นระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ Multipoint (MPI) ระบบ D-Jetronic ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความคงทนไม่มากเรื่อง สำหรับการทำงานของรุ่นนี้จะประกอบไปด้วย 3 ระบบ คือ ระบบประจุอากาศ ระบบควบคุมเครื่องยนต์ และการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบหรือหน่วยควบคุมเครื่องยนต์ (EMC) กับหน่วยควบคุมเกียร์ (PCM) ที่ใช้เฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติ โดยการใช้ตัวเซ็นเซอร์หลายตัวในการกำหนดปริมาณอากาศเข้าเครื่องยนต์ เช่น MAP, Airflow และ IAT ที่บอก อุณหภูมิของอากาศ แทนที่จะเพิ่งพาเฉพาะตัว MAP เพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน จากนั้นจึงควบคุมปริมาณการฉีดน้ำมันให้เป็นไปตามความต้องการในทุกสภาวะการทำงาน
 การทำงานของระบบหัวฉีด MPI จะทำการฉีดจ่ายเชื้อเพลิง ภายใต้การควบคุมและการสั่งงานของ ECU ขนาด 16 บิด ที่ติดตั้งอยู่ในห้องเครื่องทางฝากซ้ายตรงซอกระหว่างแบตเตอร์รี่กับกล่องฟิวส์ ตัวสร้างแรงดันของน้ำมันใช้ปั๊มไฟฟ้าแรงดันสูง มีแรงดันปั๊ม 6-7 กก./ ตร. ซม. ตัวปั๊มอยู่ในถังน้ำมัน ส่วนตัว Fuel Pressure Regulator ปรับแรงดันน้ำมัน ก็ถูกจับไปซุกอยู่ในถังน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อแก้ปัญหาความล่าช้าในการทำงาน อันเกิดจากการที่แรงดันลดลงหลังจากดับเครื่องยนต์แล้ว เมื่อมาอยู่ใกล้กับตัวปั๊มก็สามารถทำงานได้รวดเร็ว ขยันขันแข็งควบคุมแรงดันได้ดีขึ้น โดยมีแรงดัน 3.4-3.9 กก./ ตร. ซม. ด้วยเหตุนี้การแจกจ่ายน้ำมันของหัวฉีดก็เลยมีแรงดัน 3.4-3.9 กก./ซม. เท่ากับแรงกำหนดและควบคุมแรงดันของ Fule Pressure Regulator จังหวะการฉีดในจังหวะดูดตามลำดับการจุดระเบิด 1-3-4-2 ซึ่งในจังหวะสตาร์ทจะฉีดพร้อมกัน 1 ครั้งก่อนจะฉีดตามลำดับรวมทั้งตอนเร่งเครื่องก็ฉีดเครื่องก็ฉีดพร้อมกันเพื่อให้เครื่องยนต์ตอบสนองได้รวดเร็วทันใจ และช่วงที่เครื่องยนต์มีปัญหาก็จะฉีดพร้อมกันทุกสูบเหมือนกัน เพราะบางครั้งหากเกิดปัญหากับการกำหนดฉีดน้ำมัน ไม่รู้ว่าเป็นหน้าที่ของสูบไหน หรือเป็นจังหวะที่สูบไหนต้องทำงานแล้ว เมื่อไม่รู้เลยฉีดพร้อมทุกสูบหมดเรื่อง ถ้าสูบไหนทำงานก็จะดูดเข้าไปเองแหละ แบบนี้ก็สามารถขับประคองรถเข้าศูนย์ได้ สำหรับการจุดระเบิดใช้แบบไดเร็คท์คอยล์ โดยมีตัวควบคุมการจุดระเบิด ICM ( Ignition Control Module) พร้อมวางตัวอยู่ตรงหน้าด้านบนหัวเทียน คอยรับสัญญาณจากกล่อง ECU และควบคุมให้คอยล์จ่ายไฟแรงสูงให้แก่หัวเทียนเพื่อใช้ในการจุดระเบิด
     ด้านอัตราการบริโภคของเครื่องยนต์ ถือว่าประทับใจและผิดความคาดหมายเป็นอย่างมาก เพราะเครื่องบล็อค K 20 นี้แม้จะกินไม่มากมาย แต่ก็ไม่จัดว่าอยู่ในระดับประหยัดซักเท่าไหร่นัก ขนาดอยู่ใน Civic 2.0 L ตัวก่อนในเมืองยังทำได้แค่ 8.70 กม/ลิตรเท่านั้นเอง ยิ่งอีตอนที่ใช้อยู่ในตัว CR-V ก็ขึ้นชื่อในเรื่องของการบริโภคจนเป็นที่รู้จัก จนกระทั่งต้องมีตัว 2.4 L ออกมาช่วย

     อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงถือว่าทำตัวได้น่ารักมากเลยการใช้งานในเมืองเฉลี่ยทำได้ถึง 10.73 กม./ลิตร ดีกว่ารุ่น 1.8 L ด้วยซ้ำ คงเป็นเพราะมีแรงบิดดีที่รอบต่ำ การคลานในเมืองไม่น่าต้องกดดันลึก ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงยามเดินทางด้วยความเร็วเฉลี่ย 100 กม./ชม. สามารถทำได้ถึง 17.39 กม./ลิตร ซึ่งอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงระดับนี้ น่าจะแบ่งเบาภาระยามน้ำมันแพงลงได้บางพอสมควร

   ระบบส่งกำลัง
     การปลดปล่อยพลังเครื่องยนต์ลงสู่พื้นจะผ่านมาทางล้อหน้า โดยใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ 5 จังหวะ พร้อมโหมด S ( Sport) ในระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยธรรมดา (Paddle Shift) ที่สามารถปรับเปลี่ยนแปลงเกียร์ทางด้านซ้าย (-) ลดตำแหน่งเกียร์ต่ำลง หรือทางด้านขวา (+) หากต้องการเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงขึ้น ในไสตร์รถแข่งจากสวิทช์ควบคุมที่อยู่หลังพวงมาลัย พร้อมด้วยระบบล็อคอัพที่เริ่มทำงานตั้งแต่เกียร์ 1 เกียร์ลูกนี้มีขนาดเล็กแต่ให้ประสิทธิภาพสูง ทำงานร่วมกับระบบ Drive-By-Wire .ในรูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ Grade Logic Control กับ Direct Contro ภายใต้การควบคุมด้วยกล่อง ECU ซึ่งเป็นตัวเดียวกันกับที่ใช้ในการควบคุมเครื่องยนต์ ตัวเกียร์มีขนาดกะทัดรัดพร้อมน้ำหนักที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับพวกเกียร์ 5 จังหวะด้วยกัน

     ตำแหน่งติดตั้งของคันเกียร์อยู่ที่คอนโซลระหว่างเบาะหน้าจับ ได้ถนัดและใช้งานได้สะดวกคล่องมือ หัวเกียร์หุ้มด้วยยางกระชับจับ พร้อมประดับด้วยด้วยสีโลหะเพิ่มความหล่อออกในแนวสปอตร์ มีปุ่มปลดล็อคอยู่ทางด้านหน้าของคันเกียร์ พร้อมช่อง Shift Lock เอาไว้สำหรับปลดล็อคเลื่อนคันเกียร์มาตำแหน่ง N หลังจากดึงกุญแจออก คันเกียร์เป็นแบบขยับเลื่อนขึ้นลงตรงๆ การเลื่อนคันเกียร์ทำได้เบามือและคล่องตัว จากตำแหน่ง D ถ้าดึงลงมาจะเป็นตำแหน่ง S อันนี้ไม่ได้มาถึงเกียร์ Slow แต่เป็นโหม Sport หากเปลี่ยนโหมดธรรมดาจากเกียร์ 5 พอเป็นโหมด S เกียร์ จังหวะการเปลี่ยนเกียร์จะว่ากันที่รอบสูงกว่าปกติมาก อย่างเกียร์เปลี่ยนที่ 2000-2500 รอบต่อนาที เมื่อขับด้วยเกียร์ D พอมาใช้โหมด S แล้วเกียร์จะเปลี่ยนที่ 4000 -6000 รอบต่อนาที แถมยังเอาไว้นานมากไม่ค่อยจะยอมเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงง่าย ๆ แม้จะมีการถอนคันเร่งในบางจังหวะแล้วก็ตาม ทำให้การขับใช้งานเพิ่มความกระฉับกระเฉงมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ แต่คาดว่าอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงก็ย่อมสูงตามไปด้วยเช่นกัน และหากเปลี่ยนจากโหมดธรรมดาในจังหวะวิ่งด้วยเกียร์ 5 พอมาใช้โหมด S ก็เปลี่ยนเป็นเกียร์ 4 อันนี้จึงสามารถใช้แทนสวิทช์ O/D Off ได้ ยามที่ต้องการเอนจิ้นเบรกหรืออัตราเร่งเกียร์ 4

     ลักษณะการทำงานของเกียร์น่าจะสร้างความประทับใจได้สูงทีเดียว ทั้งในเรื่องการตัดต่อเกียร์ที่ราบลื่นนุ่มนวล อาการกระตุกยามเกียร์เปลี่ยนจังหวะแทบจะไม่สามารถสัมผัสได้ การเปลี่ยนแปลงจังหวะเกียร์ D กับเกียร์ N ตัวรถแทบจะไม่ขยับหรือแสดงอาการออกมาเลย ต้องยอมรับว่าเดี๋ยวนี้ Honda ทำเกียร์อัตโนมัติได้เยี่ยมมาก ตัวช่วยงานที่สำคัญน่าจะเป็นผลมาจากชุดควบคุมแรงดันน้ำมันเกียร์ จากที่เคยใช้แวคคั่มก็หันมาเป็นวาวล์แบบลีเนียร์ ที่เห็นเป็นกระบอกทรงถ่านไฟฉายติดอยู่ด้านบนของเรือนเกียร์นั่นแหละ โดยน้ำมันเกียร์จะค่อยๆ เพิ่มความเร็วและแรงดันขึ้นตามลำดับ

    จากการขับขี่ด้วยตำแหน่ง D ในโปรแกรมการใช้งานปกติ การเปลี่ยนแปลงจะว่ากันตามลักษณะของการขับรถ ประเภทไปเรื่อยๆ เกียร์ก็เปลี่ยนจังหวะเร็วหน่อยถ้าใจร้อนกดคันเร่งลึกขับด้วยความเร็ว เกียร์น่าจะเปลี่ยนจังหวะที่รอบเครื่องสูงกว่าปกติ เช่นเดียวกับจังหวะคิกดาวน์ก็จะเร็วตามไปด้วย ประกอบกับการเก็บเสียงทำได้ดี เสียงครางของเกียร์จึงมีให้ได้ยินน้อย และตามนิสัยของระบบ Grade Logic Contro จังหวะเกียร์จะเปลี่ยนตามสภาพเส้นทาง ไม่ใช่เปลี่ยนเป็นเกียร์สูงสุดลูกเดียว ดังนั้นการใช้งานทั่งๆ ไปเข้าเกียร์ D เพียงเกียร์เดียวก็พอ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในเมือง หรือการใช้งานทางลาดชันก็ตาม ยกเว้นจะไปเจอประเภททางลาดชันยาวๆ อันนี้อาจจะต้องมีการขับเกียร์ช่วย โดยอาศัย Paddle Shift ที่หลังพวงมาลัยและหากกดคันเร่งจมพื้น เกียร์จะเปลี่ยนให้ที่ 6600 รอบต่อนาที่ ในเกียร์ 1 และ 6800 รอบต่อนาที ในเกียร์ 2 ส่วน เกียร์ 3 ลากได้ถึง 7000 รอบต่อนาที
     กรณีที่ต้องการขับขี่แบบเกียร์ธรรมดา ก้สามารถใช้ Paddle Shift ที่สามารถปรับเปลี่ยนเกียร์ ทางด้านซ้ายเพื่อลดเกียร์ให้ต่ำลง และเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นทางด้านขวา จากสวิทช์ควบคุมหลังพวงมาลัย โดยในโปรแกรมนี้เกียร์จะตัดรอบเครื่องที่ 7000 รอบต่อนาที ในจังหวะเกียร์ 1,2 และ 3 หากมีการลดความเร็วเกียร์จะเปลี่ยนกับลงมาเป็นเกียร์ต่ำให้ แต่จะล็อคอยู่ในเกียร์นั้นต้องกดสวิชท์ เกียร์จึงจะเปลี่ยนเกียร์สูง

  การบังคับควบคุม
     ช่วงล่างทางด้านหน้าใช้ระบบแม็คเฟอร์สันสตรัทโดยตัวสตัทถูกออกแบบให้มีความเสียดทานลดลง จุดยึดทางด้านบนวางเอียงด้านหลัง พร้อมกับเอนเข้าทางด้านในของตัวรถเล็กน้อย เส้นคอยล์สปิงขดห่างวงไม่กว้างมากนักเส้นสปิงขนาด 12.5 มม. ทางด้านบนมียางรอง ส่วนด้านล่างปลายสปิงมีปลอกหุ้ม ตัวคอยล์สปิงเป็นแบบตัดแรงด้านข้าง Lateral ? force Canceling Spring ( Optimized Rate ) วางเยื้องศูนย์เล็กน้อย ตัวสตัทนึดกับหน้าแปลนล้อหรือคอม้าด้านบนด้วยโบลท์ตัวโต 2 ตัวซึ่งหัวโบลท์เป็นเบอร์ 17 แต่น็อตตัวเมียเป็นเบอร์ 19 โดยมีการปรับองศามุมแคสเตอร์ให้สูงกว่า Civic รุ่นก่อน + 4.8 องศา ค่าแคสเตอร์เทรลสูงขึ้น + 20 มม. และปรับมุมโทของล้อให้มีความแข็งแกร่งกว่าเดิมอีก 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งรูปแบบของช่วงล่างหน้าของรุ่น 1.8 กับ 2.0 นี้จะใกล้เคียงกัน แตกต่างกันตรงเรื่อง K ของคอยล์สปิงกับช็อคอับ

     ทางด้านล่างทำเป็นรูปตัว Y เป็นเหล็กแผ่นหนา 2.5 มม. ปั๊มขึ้นรูป และมีแผ่นเหล็กประกบเสริมบางจุดเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้มากขึ้น โดยหางตัว Y จะยึดกับหน้าแปลนล้อหน้า ส่วนตัว Y อันหน้ายึดกับกับซับเฟรมด้วยโบลท์ร้อยจากล่างขึ้นบน ใช้ควบคุมมุมแค็มเบอร์พร้อมกับดูแลมุมแคสเตอร์ไปด้วยในตัว จุดยึดมีบู๊ชตัวโตสำหรับรองรับและลดอาการสะเทือนกับเสียง ส่วนหัวตัว Y อันหลังยึดกับเฟรมด้วยโบลท์ร้อยขนาน กับตัวรถ มีหน้าที่ควบคุมมุมแค็มเบอร์เป็นหลัก และมีภาระควบคุมมุมแคสเตอร์เป็นหน้าที่รอง พร้อมกับมีเหล็กกันโคลงขนาด 25 มม. ยึดกับปีกล่างด้วยลูกหมากตัวสั้นๆ

     ระบบช่วงล่างด้านหลังเป็นแบบรีแอ๊คทีฟลิ้งค์ดับเบิ้ลวิชโบน ที่มีการปรับปรุงมุมแค็มเบอร์ให้เหมาะสมมากขึ้น และปรับให้ Lever Ratio ของกันสะเทือนด้านหลังมีความเหมาะสมเป็นพิเศษ เพื่อให้การทำงานของระบบช่วงล่างนุ่มนวลขึ้น ปรับ Stroke Ratio ของช็อคอับจาก 1.7 เป็น 1.1 ตัวปีกนกด้านบนทำด้วยเหล็กแผ่นหนา 2.5 มม. ประกบเกยกัน โดยปั๊มปลายด้านหนึ่งยึดกับทางด้านบนของหน้าแปลนล้อที่ HONDA ลงทุนทำจากอลูมิเนียม Aluminum Rear Knuckler เพื่อลดน้ำหนักชิ้นส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับสปิง เป็นการลดอาการสะเทือน เพิ่มความนุ่มนวน และเสริมประสิทธิ์ภาพในการทรงตัว ซึ่งงานนี้ทาง HONDA สามารถลดน้ำหนักลงได้ถึง 5 กก. เลยทีเดียว

    ตัวปีกนกด้านบนทำด้วยเหล็กแผ่นหนา 2.5 มม. ประกบเกยกัน โยปั๊มเป็นรูปโค้งมนแบนเพื่อหลบโครงสร้างตัวถังด้านหลังวางตัวในแนวตั้งซึ่งจะช่วยให้แรงได้มาก ปลายด้านหนึ่งยึดกับทางด้านบนของหน้าแปลนล้ออลูมิเนียม ที่จุดยึดใช้แบบขาคู่เพื่อความแข็งแรง เนื่องจากขายึดเป็นอลูมิเนียม แล้วร้อยสลักยึดพร้อมบู๊ชเพื่อลดอาการสะเทือน ส่วนปลายอีกด้านตัวปีกนกอันนี้จะยึดเข้ากับโคลงสร้างของตัวรถ จุกยึดทางด้านล่างทำเป็นชุดเดียวกันระหว่างปีกนกล่างกับสวิงอารม์ ลักษณะแบบนี้อาการดีดิ้นของช่วงล่างจะลดลงกว่าปกติ ตัวปีกนกล่างเป็นเหล็กแผ่นหนา 5 มม. ปั๊มขึ้นรูป ส่วนปลายยึดกับคานขวางพร้อมกับมีแผ่นพลาสติคปิดป้องกันเอาไว้ด้วยตัวปีกนกล่างทางด้านหลังใกล้กับหน้าแปลนล้อจะเห็นมีน็อตอยู่ตัว ใช้สำหรับปรับมุมโท้อหลังและเหนือขึ้นไปจากน็อตตัวนี้จะเป็นจุดติดตั้งช็อคอับ พร้อมกับมีคอยล์สปิงขดเล็กวงเตี้ยเส้นสปิง 12 มม. ยันเอาไว้ระหว่างปีกนกล่างกับแชสชีสล์ ทำหน้าที่เป็นตัวแบกน้ำหนัก ตัวคอยล์สปิงจะมียางรองทั้งด้านบนและด้านล่าง สำหรับตัวสวิงอารม์ทำจากเหล็กแผ่นหนา 2.2 มม. ปั๊มขึ้นรูปประกบกันยึดกับโครงตัวถังด้วยบู๊ชยางขนาดใหญ่ขนาดในมุมเฉียงตัวรถ พร้อมกับมีเหล็กกันโคลงขนาด 22 มม. ยึดกับสวิงอารม์ด้วยลูกหมากตัวสั้น คอยต้านทานยกตัวของล้อ
                           
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 พฤศจิกายน 2006, 16:22:12 โดย teelex123 » บันทึกการเข้า

   
teelex123
ไม่อยากเป็น
อาจารย์ปู่
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,191


« ตอบ #7 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2006, 16:13:25 »

ต่ออีกนิดเดียวครับ   ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

   ระบบช่วงล่างของ Civice รุ่น 1.8 L กับตัว 2.0 L จะเหมือนกัน โดยแตกต่างในเรื่องค่า K ซึ่งตัว 2.0 น่าจะแข็งกว่า เพราะมีฝูงม้าเยอะกว่าและตัวเครื่องยนต์หนักกว่า แต่จากการสัมผัสกลับมีความรู้สึกว่า 2.0 L นี้นุ่มนวนกว่า การขับขี่บนเส้นทางขรุขระสามารถเก็นเสียงและอาการสะเทือนได้ดี สมกับที่ HONDA ใช้บู๊ชยางตามจุดยึดค่อนข้างโต และลงทุนใช้หน้าแปลนล้ออลูมิเนียม ส่วนการทรงตัวในทางโค้งอาการ อันเดอร์สเตียร์ แม้จะมีไม่เท่าไหร่หนัก แต่ก็รู้สึกได้ชัดกว่าอีตอนขับตัว 1.8 L เล็กน้อย สามเหตุคงเกิดขึ้นจากเครื่องยนต์รุ่น 20. L มีน้ำหนักมากกว่า นอกจากนี้ยังสัมผัสได้ว่าการหักพวงมาลัยเข้าโค้งยังต้องออกแรงเยอะกว่าด้วย เจอทางโค้งเยอะๆ ความคล่องตัวจะเป็นรองตัว 1.8 L เล็กน้อย แถมยังรู้สึกว่าตัวรถมีอาการเอียงมากกว่าอย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่า ตัว 2.0 L จะเค้าโค้งได้ช้ากว่า เราเพราะถ้าหากรีบร้อนก็สามารถใช้วิธีตัดโค้ง หรือจิกแล้วสะบัดเพิ่มอาการโอเวอร์เตียร์เพื่อลดอาการอันเดอร์เตียร์มาช่วยได้มากกว่า

     การเดินทางด้วยความเร็วค่อนข้างสูง บนเส้นทางที่ราบเรียบและปลอดโปร่งสามารถกดคันเร่งได้ลึกแลนทีเดียว แม้จะเป็นการเดินทางอย่างเร่งรีบด้วยความเร็วระดับ 160 กม/ชม. ยังมีความมั่นใจให้เยาะรู้สึกสบายๆ ไม่มีปัญหากับการควบคุมทิศทางของรถ หรือเกิดอยากลองกำลังรถด้วยความเร็วแถวย่าน 180 กม./ชม. ก็ยังรู้สึกไม่เครียดกับการควบคุมบังคับรถซักเท่าไร่ แต่ถ้าบนมาตราวัดโชว์เลข 190 กม/ ชม. ถึงจะยังสามารถควบคุมทิศทางของรถได้แต่ก็ตั้งใจกันบ้างแล้ว

  ระบบพวงมาลัยเป็นแบบแร็คแฮนด์พิเนี่ยนพร้อมการผ่อนแรงหมุนพวงมาลัยด้วยเพาเวอร์ระบบไฟฟ้า แบบแปรผันตามความเร็วและความฝืดของล้อที่สามารถกำหนดการทำงานได้ระเอียดและเที่ยงตรงกว่าพวกเพาเวอร์ไฮดรอลิค แล้ยังเปลืองแรงเครื่องยนต์น้อยกว่าด้วย การหักเลี้ยวพวงมาลัยในช่วงรอบเครื่องต่ำหรือยามเลื่อนรถเข้าจอด มีน้ำหนักเบาพอสมควร สามารถให้ความสบายในการขับได้มากไม่ต้องออกแรงกันเยาะ โดยมีอัตราทดพวงมาลัย 13.60 ต่อ 1 และพวงมาลัยหมุนสุด 2.65 รอบ การตอบสนองของพวงมาลัยจัดว่ารวดเร็ว เพิ่มความกระฉับกระเฉงในการเปลี่ยนทิศทางหรือหักเลี้ยวได้มาก จัดว่ามีความคล่องตัวสูงมากในการใช้งาน ทั้งการใช้เข้าโค้งและการวิ่งทางตรง (Line Tracing) ความแม่นยำของพวงมาลัยมีสูง การกำหนดทิศทางในการตอบสนองดี รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.4 เมตร ซึ่งออกจะกว้างหน่อย อันเป็นนิสัยรถ HONDA หรือ Civic แต่ไม่มีปัญหากับการใช้งานในบริเวณคับแคบจำกัด เพราะได้ความเบาและการตอบสนองที่เร็วมาช่วยเอาไว้
ระบบเบรกใช้แม่ปั๊มเบรคแบบ 2 วงจรไขว้ แม่ปั๊มบนตัวเมนใช้ลูกปั๊มขนาด 7/8 นิ้ว พร้อมหม้อลมเบรคผ่อนแรงชั้นเดียวขนาด 9 นิ้ว และระบบเสริมแรงเบรค BA (Brake Assist) ช่วยเพิ่มแรงในกรณีที่มีการเบรคแบบฉุกเฉิน แล้วกดกันไม่แรงพอ แต่ระบบการทำงานจะแตกต่างจากตัว Civice 1.8 L โดยรุ่น 1.8 L การทำงานของ BA จะใช้วาวล์แบบแปรผันที่หน้าสัมผัสสามารถปรับตัวได้ ส่วนรุ่น 2.0 L นี้จะควบคุมด้วยระบบ ECU จากการทำงานของ Actuator ตัวแจกจ่ายแรงดันน้ำเบรค ABS พร้อมด้วยระบบเบรค ABS แบบ 4 Channel 4 Sensor กันระบบกระจายแรงเบรค EBD (Electronic Brake Force Distribution) ที่ทำงานเสริมกันและกันอย่างอัตโนมัติ โดยช่วยกระจายแรงเบรค ABS นอกจากนี้ในรุ่น 2.0 L ตัว EL คันนี้ยังมี VSA (Vehicle Stability Assist) ABS นอกจากนี้ในรุ่น 2.0 L ตัว EL คันนี้ยังมี VSA (Vehicle Stability Assist) ระบบจะช่วยควบคุมการทรงตัวให้อีกด้วย (รุ่น 2.0 L ตัว E ไม่มี) เพื่อรักษาสเถียรภาพของรถจากอาการโอเวอร์สเตียร์หรืออันเดอร์เสตียร์โดยช่วยหยดรถที่ล้อทั้งด้านในและด้านนอก รวมทั้งลดการทำงานของเครื่องยนต์และความเร็ว
     ชุดเบรกทางด้านหน้าเป็นดิสค์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน แผ่นจานเบรกหนา 23 มม. มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 260 มม. คาลิปเปอร์เบรกใช้ของ NISSIN แบบแม่ปั๊มเดี่ยวส่วนทางด้านเบรกหลังก็เป็นดิสค์เบรค เพื่อให้มีการทำงานที่รวดเร็วและกระชับ แต่เป็นแบบธรรมดาไม่มีช่องระบายความร้อน หนา 9 มม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 255 มม. คาลิปเปอร์เบรกแบบแม่ปั๊มเดี่ยวของ NISSAN

ระยะในการเหยียบเยรคค่อนข้างสั้น น้ำหนักของเบรกอยู่ในระดับปานกลาง การจับตัวของเบรกมีการทำงานที่รวดเร็ว เพียงกดเท้าลงไปเล็กน้อยก็รู้สึกถึงการจับตัวของเบรคได้แล้ว ทำให้การเบรคเพื่อชะลอความเร็วของรถ สามารถหน่วงความเร็วของรถได้ตามที่ต้องการ สำหรับการเบรคเพื่อหยุดรถนั้น จังหวะฟรีมีน้อยมาก การจับตัวของเบรกจะว่ากันตามน้ำหนักของเท้าที่กดลงไปบนคันเหยียบเบรค ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ได้มาก ส่วนการเบรคแบบกะทันหันที่ความเร็วสูงระดับเกินกว่า 200 กม./ชม. จะเป็นประการใดนั้น เชื่อว่าไม่มีใครประสงค์อยากลองแน่แต่เราก็ได้มีโอกาสสัมผัส เมื่อมีรถที่ขับด้วยความเร็วแถว ๆ 100 กม./ชม. หน่อย ๆ เกิดมีความคิดว่าตัวเองขับเร็ว แล้วเปลี่ยนเลนมาขวางทางโดยลืมดูกระจกมองข้างว่ามีรถมาหรือเปล่า ขณะที่กำลังกดคันเร่งเพื่อหาความเร็วสูงสุดว่าเจ้า Civic คันนี้จะทำได้ซักเท่าไหร่กัน ตอนนั้นตัวเลขความเร็วมาตรวัดเกิน 200 ไปหลายกิโลแล้ว ไปหลายกิโลแล้ว เมื่อมีพวกโผล่พรวดออกมาขวางทางก็เลยจำเป็นต้องกระทืบเบรกกันเต็มที่ ผลคือรถสามารถชะลอความเร็วลงได้ไม่เกิดอุบัติเหตุ รถไม่มีการแฉลบซ้ายแฉลบขวา แต่ต้องขยับพวงมาลัยควบคุมทิศทางประคองรถกันหน่อย ลำพังคนขับก็ไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่นัก แต่ควบคุมเครื่องมือทดสอบ VBOX II Lite กับช่างภาพที่มีหน้าที่ถ่ายรูปมาตวัดแสดงความเร็วสูงสุด ผมหงอกไปหลายเส้นทีเดียว
 [ Review ] New CIVIC 2.0 i-VTEC แรงมาก ... จิบน้อย ตอนที่ 4 
     ระบบเบรกใช้แม่ปั๊มเบรคแบบ 2 วงจรไขว้ แม่ปั๊มบนตัวเมนใช้ลูกปั๊มขนาด 7/8 นิ้ว พร้อมหม้อลมเบรคผ่อนแรงชั้นเดียวขนาด 9 นิ้ว และระบบเสริมแรงเบรค BA (Brake Assist) ช่วยเพิ่มแรงในกรณีที่มีการเบรคแบบฉุกเฉิน แล้วกดกันไม่แรงพอ แต่ระบบการทำงานจะแตกต่างจากตัว Civice 1.8 L โดยรุ่น 1.8 L การทำงานของ BA จะใช้วาวล์แบบแปรผันที่หน้าสัมผัสสามารถปรับตัวได้ ส่วนรุ่น 2.0 L นี้จะควบคุมด้วยระบบ ECU จากการทำงานของ Actuator ตัวแจกจ่ายแรงดันน้ำเบรค ABS พร้อมด้วยระบบเบรค ABS แบบ 4 Channel 4 Sensor กันระบบกระจายแรงเบรค EBD (Electronic Brake Force Distribution) ที่ทำงานเสริมกันและกันอย่างอัตโนมัติ โดยช่วยกระจายแรงเบรค ABS นอกจากนี้ในรุ่น 2.0 L ตัว EL คันนี้ยังมี VSA (Vehicle Stability Assist) ABS นอกจากนี้ในรุ่น 2.0 L ตัว EL คันนี้ยังมี VSA (Vehicle Stability Assist) ระบบจะช่วยควบคุมการทรงตัวให้อีกด้วย (รุ่น 2.0 L ตัว E ไม่มี) เพื่อรักษาสเถียรภาพของรถจากอาการโอเวอร์สเตียร์หรืออันเดอร์เสตียร์โดยช่วยหยดรถที่ล้อทั้งด้านในและด้านนอก รวมทั้งลดการทำงานของเครื่องยนต์และความเร็ว
     ชุดเบรกทางด้านหน้าเป็นดิสค์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน แผ่นจานเบรกหนา 23 มม. มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 260 มม. คาลิปเปอร์เบรกใช้ของ NISSIN แบบแม่ปั๊มเดี่ยวส่วนทางด้านเบรกหลังก็เป็นดิสค์เบรค เพื่อให้มีการทำงานที่รวดเร็วและกระชับ แต่เป็นแบบธรรมดาไม่มีช่องระบายความร้อน หนา 9 มม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 255 มม. คาลิปเปอร์เบรกแบบแม่ปั๊มเดี่ยวของ NISSAN
     ระยะในการเหยียบเยรคค่อนข้างสั้น น้ำหนักของเบรกอยู่ในระดับปานกลาง การจับตัวของเบรกมีการทำงานที่รวดเร็ว เพียงกดเท้าลงไปเล็กน้อยก็รู้สึกถึงการจับตัวของเบรคได้แล้ว ทำให้การเบรคเพื่อชะลอความเร็วของรถ สามารถหน่วงความเร็วของรถได้ตามที่ต้องการ สำหรับการเบรคเพื่อหยุดรถนั้น จังหวะฟรีมีน้อยมาก การจับตัวของเบรกจะว่ากันตามน้ำหนักของเท้าที่กดลงไปบนคันเหยียบเบรค ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ได้มาก ส่วนการเบรคแบบกะทันหันที่ความเร็วสูงระดับเกินกว่า 200 กม./ชม. จะเป็นประการใดนั้น เชื่อว่าไม่มีใครประสงค์อยากลองแน่แต่เราก็ได้มีโอกาสสัมผัส เมื่อมีรถที่ขับด้วยความเร็วแถว ๆ 100 กม./ชม. หน่อย ๆ เกิดมีความคิดว่าตัวเองขับเร็ว แล้วเปลี่ยนเลนมาขวางทางโดยลืมดูกระจกมองข้างว่ามีรถมาหรือเปล่า ขณะที่กำลังกดคันเร่งเพื่อหาความเร็วสูงสุดว่าเจ้า Civic คันนี้จะทำได้ซักเท่าไหร่กัน ตอนนั้นตัวเลขความเร็วมาตรวัดเกิน 200 ไปหลายกิโลแล้ว ไปหลายกิโลแล้ว เมื่อมีพวกโผล่พรวดออกมาขวางทางก็เลยจำเป็นต้องกระทืบเบรกกันเต็มที่ ผลคือรถสามารถชะลอความเร็วลงได้ไม่เกิดอุบัติเหตุ รถไม่มีการแฉลบซ้ายแฉลบขวา แต่ต้องขยับพวงมาลัยควบคุมทิศทางประคองรถกันหน่อย ลำพังคนขับก็ไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่นัก แต่ควบคุมเครื่องมือทดสอบ VBOX II Lite กับช่างภาพที่มีหน้าที่ถ่ายรูปมาตวัดแสดงความเร็วสูงสุด ผมหงอกไปหลายเส้นทีเดียว
     เนื้อที่ภายในห้องโดยสาร
     แนวติดในการจัดวางของ Civic คือ มีพื้นที่โดยสารที่ให้ความสบายและเหมาะสมลงตัวกับผู้ขับขี่กับผู้โดยสาร โดยมีความยาวของฐานล้อเพิ่มขึ้น 80 มม. ระยะห่างฐานล้อหน้ากว้างกว่าเดิม 30 มม. และฐานล้อหลังกว้างขึ้น 55 มม. หลังรถต่ำลงแต่ความสูงในห้องโดยสารมากขึ้น จากการออกแบบให้ Civic มาในรูปทรงของรถ Mini MPV เสาหน้ายื่นล้ำไปทางด้านหน้าเลยขอบประตูออกไป เพื่อให้เนื้อที่ภานในห้องโดยสารมากขึ้น ช่วยให้ Civic มีเนื้อที่ภายในให้ใช้งานยาว 1,900 มม. กว้าง 1,470 มม และสูง 1,170 มม. เพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้โดยสาร
   ห้องโดยสารทางด้านหน้า HONDA ออกแบบให้กระจกหน้าอยู่ห่างและขอบกระจกด้านบนอยู่สูงจากศีรษะ จึงมีที่ว่างเหนือศีรษะให้เกือบคืบ ทางด้านคนขับมีเนื้อที่วางเท้าได้เยอะ ถึงแม้จะต้องทะเลาะกับเครื่องยนต์ แร็คพวงมาลัย และซุ้มล้อมั่งก็ตาม ท่านั่งขับตามปกติไม่ต้องเลื่อนเบาะถอยหลังออกมามาก จึงช่วยให้ผู้โดยสารตอนหลังมีเนื้อที่วางขากับเข่ามากขึ้น สำหรับทางด้านผู้โดยสารแม้จะมีโป่งล้อโผล่ออกมาบ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไม่ถึงระดับ ไม่ถึงระดับเบียดบังความสบายในการวางเท้า แผงหน้าปัดและลิ้นชักเก็บของที่เป็นทรงโค้งหลบเข่า ทางด้านชิดกับคอนโซลกลางตีโค้งเร็วไปหน่อย ทำให้ยื่นออกมาเกะกะเข่าเล็กน้อย อันที่จริงถ้าทำเป็น 2 ขยักแบบทางฝั่งคนขับ ก็จะช่วยเพิ่มเนื้อที่วางเข่าของคนโดยสาร ได้เพิ่มขึ้น เพราะทางด้านเข่าซ้ายไม่มีปัญหา ซึ่งหมายถึงจะสามารถจัดสรรเนื้อที่ให้แก่ผู้โดยสารตอนหลังได้มากขึ้น เนื้อจากคนนั่งหน้าไม่ต้องเลื่อนเบาะไปข้างหลังเพื่อให้เข่าหลบแผงหน้าปัดอยากรู้จริง ๆ ว่าหลังคอนโซลกลางเป็นอะไร เห็นรถหลายยี่ห้อแล้วที่มีปัญหาตรงจุดนี้พยายามมุดแล้วก็เข้าไม่ถึงนอกจากรื้อก็เลยต้องเก็บเอาไว้ก่อน ส่วนเนื้อที่ว่างเหนือศีรษะนั้นมีเหลือเฟือเกือบคืบ สามารถยึดคอกันได้เต็มที่ แล้วยังช่วงเพิ่มความปลอดโปร่งให้กับผู้โดยสารได้อีกด้วย
     อย่างไรก็ตาม เรื่องเนื้อที่ของผู้โดยสารตอนหลังจัดว่ามีมาก ถึงไม่อยู่ในระดับเหลือเฟือก็เกือบไปเหมือนกัน โดยเฉพาะพื้นรถที่ราบเรียบ (Rear Flat Floor) ไม่มีสันกลางเกะกะเท้า ซึ่งนับว่าเป็นฝีมือของทาง HONDA จริง ๆ อย่าลืมว่าปัญหาของทางเดินท่อไอเสีย ตัวหม้อพักไอเสีย ถังน้ำมัน รวมถึงระบบช่วงล่างหลังต้องได้รับการดัดแปลงแก้ไขอย่างหนัก จึงจะสามารถทำพื้นรถให้ราบเรียบอยู่ในระดับต่ำแบบนี้ได้ สำหรับเนื้อที่วางเท้ามีให้ค่อนข้างเยอะ หากคนโดยสารด้านหน้าไม่เอาเปรียบมากจนเกินไป เมื่อนั่งลงไปแล้วหัวเข่ายังอยู่ห่างจากพนักพิงเบาะหลังอีกเล็กน้อย และเนื้อที่ ว่างเหนือศีรษะมีให้ยึดคอได้อีก 1 ฝ่ามือ เสาหลังก็ไม่เอนเข้ามาให้เกะกะหัว จะนั่งหรือนอนก็ไม่เป็นปัญหา
  เนื้อที่ ของห้องเก็บของท้ายรถ หากดูกันด้วยตาก็ไม่ถือว่ามีพื้นที่มากมายอะไรนัก แถมทางเข้าออกยังต้องเสียสละพื้นที่ให้กับความเอนของกระจกหลัง ซึ่งรุกล้ำพื้นที่เข้ามา ทำให้ช่องทางเข้าออกคับแคบลง ด้วยความกว้างและความลึกของห้องเก็บของท้ายรถมีให้ใช้กันเยอะโดยเฉพาะการเว้าแผงปิดทางด้านข้างให้หลบเข้าไป จึงเป็นการเพิ่มความให้มีมากขึ้น สามารถวางถุงกอล์ฟ ตามขวางได้อย่างสบาย แต่ระดับความสูงนั้นมีไม่เท่าไหร่ เนื่องจากต้องกันส่วนพื้นห้องเก็บของเป็นที่อยู่ของยางอะไหล่ ทำให้พื้นของห้องเก็บของค่อนข้างสูง ซึ่งไม่มีปัญหากับการบรรทุก ส่วนปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่การเอายางอะไหล่ออกจากรถ เพราะแผงแบบพับรุ่นริ่งลักษณะนี้ คนที่จะใช้ได้ง่ายต้องมี 4 มือ...เป็นอย่างน้อย
  เนื้อที่ ของห้องเก็บของท้ายรถ หากดูกันด้วยตาก็ไม่ถือว่ามีพื้นที่มากมายอะไรนัก แถมทางเข้าออกยังต้องเสียสละพื้นที่ให้กับความเอนของกระจกหลัง ซึ่งรุกล้ำพื้นที่เข้ามา ทำให้ช่องทางเข้าออกคับแคบลง ด้วยความกว้างและความลึกของห้องเก็บของท้ายรถมีให้ใช้กันเยอะโดยเฉพาะการเว้าแผงปิดทางด้านข้างให้หลบเข้าไป จึงเป็นการเพิ่มความให้มีมากขึ้น สามารถวางถุงกอล์ฟ ตามขวางได้อย่างสบาย แต่ระดับความสูงนั้นมีไม่เท่าไหร่ เนื่องจากต้องกันส่วนพื้นห้องเก็บของเป็นที่อยู่ของยางอะไหล่ ทำให้พื้นของห้องเก็บของค่อนข้างสูง ซึ่งไม่มีปัญหากับการบรรทุก ส่วนปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่การเอายางอะไหล่ออกจากรถ เพราะแผงแบบพับรุ่นริ่งลักษณะนี้ คนที่จะใช้ได้ง่ายต้องมี 4 มือ...เป็นอย่างน้อย

     หน้าปัดและอุปกรณ์
     ต้องยอมรับว่า Civic เวอร์ชั่นนี้ทาง HONDA ออกแบบภายในได้ดีมาก มีความใส่ใจและพิถีพิถันในเรื่องของรายละเอียด เยอะเลยสังเกตจากการออกแบบแผงข้างที่ขอบบนปาดเป็นมุมเฉียง ทำให้ดูบางกว่าความเป็นจริง มีความรู้สึกว่าห้องโดยสารกว้างกว่าเดิม สังเกตจากการเล่นเหลี่ยมหักมุมรวมทั้งแนวโค้ง อย่างที่เห็นชัดก็พวกเท้าแขนข้างประตู ช่วยให้ Civic รุ่นนี้ดูดีขึ้นกว่าการมีลายไม้มาแปะแพรวพราวซะด้วยซ้ำ

     การล็อคและปลดล็อคประตูเป็นแบบเซ็นทรัลล็อค โดยการทำงานของรีโมทคอนโทรล สำหรับตัวกุญแจรถเป็นแบบ Wave Key ฟันกุญแจปลอมกันยากหน่อย และไม่คมบาดกระเป๋าด้วย ตัวกุญแจติดอยู่กับรีโมท จึงกะทัดรัดไม่รุงรังเหมือนสมัยก่อนที่แยกกุญแจกับสวิทช์รีโมทเป็นคนละอัน อย่างไรก็ตาม Civic เวอร์ชั่นหน้าหรือรุ่นไมเนอร์เซนจ์ ขอกุญแจแบบพับเข้าไปซุกในรีโมทได้ก็ดีนะ นอกจากนี้ยังมีระบบกันขโมย Security Alarm System มาให้ด้วย ไม่ต้องเสียเวลาไปติดตั้งเพิ่ม ซึ่งนอกจากเสียตังค์แล้วอาจจะมีปัญหากับการทำงานของเครื่องยนต์ ซึ่งการทำงานของระบบกันขโมยนี้จะเริ่มทำงานเมื่อล็อคประตูแล้ว 30 วินาที ไม่ใช่ล็อคปุ๊บทำงานปั๊บ นอกจากนี้ยังมีกุญแจสตาร์ทรถแบบ Immobilizer ซึ่งเป็นกุญแจ Immobilizer แบบ Generation ที่ 4 มีความใหม่กว่า ทันสมัยกว่า และมีการทำงานต่างกับ Generation ที่ 3 ตรงระบบของ Generation ที่ 3 นั้นจะเป็นระบบตรวจจับสัญญาณแจที่เสียบก่อน หากมีรหัสไม่ตรงเครื่องยนต์ก็ไม่ติด แต่สำหรับ Generation ที่ 4 นี้พวกไม่สนใจว่าจะเป็นกุญแจจริงหรือกุญแจปลอม หากฟันกุญแจสามารถ หมุนสวิทช์มันจะปล่อยให้เครื่องยนต์ติดก่อนประมาณ 2 วินาที ต่อจากนั้นค่อยตรวจรหัสว่าตรงหรือเปล่า หากไม่ตรงค่อยตัดระบบทำงานให้เครื่องยนต์ดับ ทั้งนี้เพราะป้องกันกรณีแบตเตอรี่อ่อน ยังไงก็ให้เครื่องยนต์ติดไว้ก่อน อย่างอื่นค่อยพูดกันทีหลัง นอกจากนี้รหัสกุญแจจะเป็นแบบ Rolling Code หลังสตาร์ทเครื่องยนต์ติด (และตรวจจอบแล้ว) รหัสจะเปลี่ยนไป
  เนื่องจากการออกแบบให้เสาหน้าขยับเอนลาดไปไกล พื้นที่หรือความห่างของแผงหน้าปัดก็เลยกว้างไกลตามไปด้วย จึงต้องทำเป็นชั้นเล่นระดับเพื่อให้ดูเล็กกว่าความเป็นจริง ตัวแผงหน้าปัดทางด้านบนทำด้วยพลาสติคแข็ง เฉพาะส่วนกรอบหน้าปัดเท่านั้นที่เป็น โฟม อัดขึ้นรูปจุดขายของ Civic รุ่นนี้อยู่ที่แผงมาตรวัด 2 ชั้น แบบ Muliplex Meter แบบตัวเลขดิจิตอล อยู่ในตำแหน่งที่ชัดเจนอ่านง่าย ทำให้ผู้ขับขี่ทราบข้อมูลการขับขี่ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องละสายตาจากถนนตัวมาตรวัดเป็นแบเรืองแสง เห็นได้ชัดเจน ในเวลากลางวันแสงสีฟ้า (Self-illumimating Meters) ทางด้านบนจะเป็นมาตรวัดความเร็วแบตัวเลขดิจิตอล พร้อมมาตรวัดความร้อนอยู่ทางซ้าย และมาตรวัดระดับเชื้อเพลิงอยู่ทางขวา ต่ำลงมาเป็นมาตรวัดรอบเครื่อง ตัวเลขบอกระยะทางรวม และระยะทางย่อย Trip A กับ Trip B ไฟบอกตำแหน่งเกียร์ และสัญญาณไฟเตือน ทางด้านขวามือของแผงหน้าปัดฝั่งคนขับ เป็นสวิทช์สำหรับปรับระยะทางย่อย ปุ่มปรับโหมด Sel กับปุ่ม Reset อยู่คู่กับสวิทช์หรี่ไฟหน้าปัด
     วง พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน หน้าตาสปอร์ตเต็มตัวเหมือนกับรุ่น 1.8 L ขนาดของวงค่อนข้างเล็กดูกระชับ ขอบวงเป็นหนังปั๊มรูเกือบทั้งวงเว้นส่วนบนเอาไว้นิดเดียวที่ทำเป็นหนังเรียบ พร้อมกับมีการเว้าทำเป็นกริ๊ปจับได้ถนัดมือตรงตำแหน่ง 2 กับ 10 นาฬิกา ขอบวงยกสูงขึ้นเล็กน้อยอันเป็นรูปแบบที่นักขับดริฟท์นิยม บริเวณก้านพวงมาลัยทางด้านขวาเป็นสวิทช์ปรับเครื่องเสียง ส่วนทางด้านขวาใช้สำหรับควบคุมการทำงานของชุด Cruise Control หลังพวงมาลัยเป็นสวิทช์ปรับเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift รูปลักษณ์ของพวงมาลัยทันสมัยและแปลกตา จากการออกแบบให้มีพลาสติคสีโลหะล้อมรอบแป้นกดตรงกลาง แล้วปิดช่องว่างด้วยตาข่ายพลาสติคสีดำ บริเวณแป้นกดตรงกลางพวงมาลัยบรรจุถุงลมเอาไว้ด้วย ตัวพวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง ( Till& Steerint Wheel ) ทั้งสูงต่ำและใกล้ไกล ที่คอพวงมาลัยทางด้านซ้ายเป็นก้านสวิทช์ควบคุมที่ปัดน้ำฝน ทางด้านขวาใช้เปิดปิดไฟหน้า ไฟเลี้ยว รวมทั้งไฟสูง ไฟขอทาง และไฟตัดหมอกหน้า
     ด้านบนสุดของคอนโซลกลางแผงหน้าปัด เป็นจอแสดงข้อมูลของการใช้เครื่องเสสียง กับนาฬิกาแบบตัวเลขดิจิตอล บนพื้นไฟเรืองแสงสีฟ้าสดใส ถัดลงมาเป็นช่องใส่แผ่น CD และ MP3 แบบ 6 แผ่น ตามด้วยชุดควบคุมเครื่องเล่นวิทยุ ต่ำลงมาเป็นชุดควบคุมปรับอากาศ อัตโนมัติแบบอิเล็คทรอนิคส์ ทางด้านล่างทำเป็นช่องวางของ ซึ่งทางด้านข้างจะมีช่อง AUX สำหรับอุปกรณ์ตัวพ่วง พร้อมทีเสียบเครื่องเล่น MP3 บริเวณหน้าคันเกียร์เป็นช่องเก็บของใต้คอนโซลหน้าแบบมีฝาเลื่อนปิด ทางด้านข้างของคันเกียร์เป็นเบรกมือมีลักษณะแปลกตา หลังคันเกียร์จะมีช่องวางของเล็ก ๆ ตามด้วยช่องเก็บของคอนโซล กลางพร้อมฝาเลือนปิดเปิด ที่ใช้ได้ทั้งเก็บของหรือกดสวิทช์เล็ก ๆ ด้านข้าง จะมีตัวล็อคดีดออกมาใช้สำหรับวางแก้วน้ำ ระหว่างเบาะคู่หน้าเป็นกล่องเก็บชของมีฝาปิด สามารถใช้เก็บ CD ได้ 25 แผ่น ฝาปิดเลื่อนออกมาใช้เป็นที่เท้าแขนได้





ไม่รู้ว่าละเอียดพอไหม ครับ

แต่ส่วนตัว ใช้ 2.0 el เคยวิ่งได้ 225 นะครับ แต่กลัว เครื่องจะพังซะก่อน ครับ เลยผ่อน+กลัว เพราะรอบเครื่องอยู่ที่ 6500 หรือ 7000 รอบแล้วอ่ะครับ ไม่กล้าละสายตา ลงมาดูนาน เพราะกลัว เดี๋ยวไม่มีโอกาสได้มาโม้ ครับ

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 พฤศจิกายน 2006, 16:15:08 โดย teelex123 » บันทึกการเข้า

   
neat_boy?
Gold Member
อาจารย์ปู่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 14,994



« ตอบ #8 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2006, 16:30:20 »

ต่ออีกนิดเดียวครับ   ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

นั่นมันนิดเดียวของพี่เร๊อะ นี่มันน้องๆบทวิจัยหรือไม่ก็วิทยานิพนธ์ชัดๆ

ปล. 1.8 ผมเคยเหยียบแค่ 180 เอง จากนั้นขี้ขึ้นหัว เลยเบาคันเร่งฉับพลัน
บันทึกการเข้า

<a href="http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2DB07BPB0&amp;Autoplay=0" target="_blank">http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2DB07BPB0&amp;Autoplay=0</a>
golffyll
Gold Member
เจ้ายุทธภพ
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,398


ToTo The Hero


« ตอบ #9 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2006, 19:48:25 »

เด็กแบบผมเคยแค่เต็มที่ 160 ก็ฉี่เกือบแตกแล้วครับ

รถตัน + ใจตัน

รถตันเพราะมันไม่ใช่ civic  ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า
Chi-O
Gold Member
เจ้ายุทธภพ
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,429

Chi-O Member No. 154


« ตอบ #10 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2006, 21:21:51 »

191 บนบูรพาวิถีครับ
นอกจากนั้นก็ไม่เคยเกิน 160 เลย
บันทึกการเข้า

* Si~Challenge *
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #11 เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2006, 22:29:25 »

ของผมเคยวิ่งเเค่ 99 เองคร้าบบบ ยิ้มเท่ห์
บันทึกการเข้า
aews
จอมยุทธ
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 410


« ตอบ #12 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2006, 14:35:40 »

195 บนทางด่วนชลบุรีครับ รู้สึกว่ามันเริ่มปลิวแล้วเหมือนกัน เลยหยุดอ้ะ
บันทึกการเข้า
analysis
Gold Member
เจ้าสำนัก
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 757



« ตอบ #13 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2006, 15:11:32 »

อายจัง เคยขับเร็วที่สุดแค่ 156 เองครับ 
แอบสงสารรถอ่ะครับ ทั้งๆที่รู้ว่าต่อก็ไหว
บันทึกการเข้า

pReaw
Francesco Pevi.
Gold Member
เจ้าสำนัก
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 519

http://parpreaw.multiply.com


« ตอบ #14 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2006, 15:11:50 »

ขับกันเร็วเจงๆ หนูกลัว ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า

--->civicclub no.204<---
natpakorn
CIVIC CLUB NO. 11
Gold Member
จอมยุทธ
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 404


เปิ้ล Member # 11


« ตอบ #15 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2006, 17:44:43 »

1.8 S AT แกะกล่องแบบไม่ต้องเค้น 200 กว่าๆ
2.0 คุณถังเคยทำไว้ที่ 225  ยิงฟันยิ้ม

ดูแลตัวเองด้วยครับหากจะทดสอบหาความเร็วสูงสุด เจ๋ง
บันทึกการเข้า

Civic Club No.11
toom
ชาวยุทธ
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1


« ตอบ #16 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2006, 19:05:20 »

เราใช้ 1.8 วิ่งได้208 แล้วก็กลัววววววว  เปลีองน้ำมันอ่ะ
บันทึกการเข้า
BillyTheKid
เจ้าสำนัก
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 992



« ตอบ #17 เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2006, 19:35:41 »

รถเดิม ๆ ก็ระวัง ๆ กันหน่อยนะคร้าบพี่น้อง ! ไม่อยากให้สมาชิกไปที่ชอบ ๆ ก่อนเวลาอันควรคร้าบท่าน ! เคยไปลองขับรุ่น 2.0 ตัวเกือบท็อปตอนออกใหม่ ๆ รู้สึกช่วงล่างมันห่วยเหลือเกิน กระด้างแต่ไม่หนึบ ! ไม่รู้ทำมาให้วิ่งแค่ 100 เดียวหรือยังไง ? ..... ไม่รู้มาถึงตอนนี้ปรับปรุงขึ้นหรือยัง แต่ที่จะปรับแน่ ๆ คือ "ราคา" ไงคร้าบพี่น้อง !
บันทึกการเข้า

Billy The Kid ! ..... WANTED DEAD OR ALIVE !
alex
เข้าวงการ
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 15


« ตอบ #18 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2006, 19:26:23 »

อยากบอกว่า 2.0L ขับมันส์จริงๆ วันนี้ลองดูกับ civic RX ที่ความเร็ว 170 ผลัดกันนำผลัดกันตาม แต่พอ 200 แซงหายเลย ว่าจะกดต่ออีกหน่อย พอดีเจอรังสีสังหารของแม่ที่นั่งข้างๆ เลยต้องหยุดไว้แค่นั้น   ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า
ทอม_อีเค
Gold Member
อาจารย์ปู่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8,810



« ตอบ #19 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2006, 20:29:29 »

รู้แต่Ekของผมครับ 170 ยังไม่หมด แต่วันก่อนไปDragมาวิ่ง2รอบฮีทขึ้นเรยเซง
บันทึกการเข้า

PATTAYARACING CLUB
CIVICCLUB no.131
ChonburiClub no.034

ITTI
ชาวยุทธ
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7


« ตอบ #20 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2006, 09:28:25 »

ของ 1.8 เคยกดแบบไม่ได้ดู พอเหลือบมองมันบอก 200 ไม่กล้ากดต่อ แต่รู้สึกว่ามันยังไม่หมดนะ
บันทึกการเข้า
pat_meaw
++ เจ๊แมว เหมียวหง่าว ++
ผู้คุมกฎ
อาจารย์ปู่
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,579


ใครมาแก้ฉายาตรูฟ่ะ!!


« ตอบ #21 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2006, 19:56:13 »

เคยเหยียบสูงสุด 180 กว่า บนทางด่วน แค่นี้ก็ขนลุกแล้วค่ะ ไม่กล้าต่อ  ยิ้มกว้างๆ
แต่ถ้าเกิดออารมณ์นั้นไม่กลัวตาย ก็สู้สุดใจ
บันทึกการเข้า

คิดถึงฉันบ้ารึเปล่า..
         ....อย่างที่ใจฉันคอยคิดถึงเธอทุกวัน
Pree_civic96
PS MODIFY BY MUGEN DESIGN
เข้าวงการ
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 41


Civic..EK


« ตอบ #22 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2006, 20:21:38 »

191 บนบูรพาวิถีครับ
นอกจากนั้นก็ไม่เคยเกิน 160 เลย
191 เนี่ย สน.บูรพาวิถีอะป่าว อ่ะ ฮิ ฮิ... ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
teelex123
ไม่อยากเป็น
อาจารย์ปู่
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,191


« ตอบ #23 เมื่อ: 19 พฤศจิกายน 2006, 23:59:56 »

http://www.pantown.com/board.php?id=15060&area=1&name=board32&topic=11&action=view
บันทึกการเข้า

   
Chi-O
Gold Member
เจ้ายุทธภพ
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,429

Chi-O Member No. 154


« ตอบ #24 เมื่อ: 20 พฤศจิกายน 2006, 10:25:15 »


8000 รอบเครื่องไม่พังไปแล้วเหรอน่ะ
บันทึกการเข้า

Sasithorn
ชาวยุทธ
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 4


« ตอบ #25 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2006, 18:50:01 »

Civic 1.8 MT หนูเคยวิ่งที่ 208 ค่ะ จากพัทยาไปชลบุรี พอดีวันนั้นตื่นสาย เดี๋ยวไม่ทันโรงเรียนเข้า เลยลืมตัวค่ะ แต่รู้สึกว่าจะขึ้นไปได้อีกนะค่ะ น่าจะถึง 210 หรือมากกว่านั้นนะค่ะ
บันทึกการเข้า
pirananjr
ชาวยุทธ
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4

I Live Civic.


« ตอบ #26 เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2006, 19:18:34 »

ตาโตผมได้แค่  200  เอง  กว่าจะขึ้นนานเหมือนกัน...................
นี่รุ่นใหม่  ขึ้นเร็วทันใจขนาดนี้  เผื่อใจไว้เลือกอีกดีกว่า............
บันทึกการเข้า
Pree_civic96
PS MODIFY BY MUGEN DESIGN
เข้าวงการ
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 41


Civic..EK


« ตอบ #27 เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2006, 21:17:39 »

ตาโตผมได้แค่  200  เอง  กว่าจะขึ้นนานเหมือนกัน...................
นี่รุ่นใหม่  ขึ้นเร็วทันใจขนาดนี้  เผื่อใจไว้เลือกอีกดีกว่า............
ตาโตของผมไม่ถึง 200 นะ เคยอัดสุดๆกับ Camry ตัวเก่าได้แค่ 190 เองครับ แต่Camry แค่ 170 ดันถอดใจก่อน ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
PiNkY!!
Gold Member
ศิษย์น้อง
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 50

นู๋ฟันเหล็ก-*-


« ตอบ #28 เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2006, 14:14:33 »

1.8ค่ะ เคยแค่180เอง หัวใจจาวาย อิอิ (ขับเองนะ) แต่ถ้านั่งคันอื่น ถึงไหนถึงกัน555+
แต่เพื่อนบอกว่าเคยถึง200นะ 1.8เหมือนกัน
บันทึกการเข้า

LadY RacinG CluB  >>>   P i N k Y   BlossoM++
zhaonenghe
ตี๋
Gold Member
เจ้าสำนัก
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 619



« ตอบ #29 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2007, 19:24:38 »

1.8 e mt    215 คับ
บันทึกการเข้า

Civic Club no.256    น้องตี๋นะค๊าบบ   เชียงใหม่เจ้า
OBB
เข้าวงการ
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 21


« ตอบ #30 เมื่อ: 15 พฤษภาคม 2007, 15:11:19 »

1.8 e mt    215 คับ
รอบไม่ตัดเหรอครับ เห็นบางท่านได้ 209 รอบมันตัด  ขยิบตา
บันทึกการเข้า
zhaonenghe
ตี๋
Gold Member
เจ้าสำนัก
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 619



« ตอบ #31 เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2007, 01:41:32 »

ดีๆๆ  ผลิตนักแข่งมืออาชีพในอนาคต
บันทึกการเข้า

Civic Club no.256    น้องตี๋นะค๊าบบ   เชียงใหม่เจ้า
sundanclubs
=สันดานคลับ=
เข้าวงการ
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 46


« ตอบ #32 เมื่อ: 17 พฤษภาคม 2007, 17:31:45 »

160 ก็... อายจัง แล่ว
บันทึกการเข้า


=lสันดานคลับl=
spot less ness
Gold Member
จอมยุทธ
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 458



« ตอบ #33 เมื่อ: 18 พฤษภาคม 2007, 16:29:24 »

ลองวิ่งเฉยๆๆ ได้ประมาณ 215 อ่ะแต่ยังไม่สุดเท่าไหร่ เครื่อง 2.0 น่ะครับพอดีติดรถคันหน้าเห็นมาแต่ไกลขับช้าดันออกขวาเลยผ่อนซ่ะก่อนอ่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะไม่ได้มานั่งคุยกับทุกคน  ฮืม
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] ขึ้นบน พิมพ์ 
:::CIVIC CLUB THAILAND:::  |  คุยคุ้ย Civic  |  Civic Club Discuss => ห้องคนขับ  |  หัวข้อ: อยากทราบ Top speed civic 06 วิ่งได้เท่าไรกัน
กระโดดไป:  


.: Powered by :.
.: Link Exchange :.
civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017


Powered by MySQL Powered by PHP Copyright 2004-2014 www.welovecivic.com All rights reserved
Contact: theerachai@siamrx.com
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Civic Club | ย่อลิงค์ |