|
|
|
eak99
"Saturday Man"
Gold Member
อาจารย์ปู่
  
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 1,742

EAK_EK
|
 |
« ตอบ #83 เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2012, 16:40:46 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|
|
Toajeed
จอมยุทธ
   
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 293

|
 |
« ตอบ #89 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2012, 23:43:15 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Tom-Keyray
ศิษย์น้อง
 
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 56

ชีวิตติดปีก
|
 |
« ตอบ #90 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2012, 23:53:45 » |
|
"นอกเรื่อง"...ความรัก กับ ความรู้สึกผิด ที่หายหน้าไปนานเพราะเรื่องมันเยอะค่ะ ทั้งเรื่องงาน เรื่องเที่ยว เรื่องความรัก วุ่นวายไปหมด แยกร่างแบ่งสมองไม่ถูก ก็เลยเก็บตัวมั่วงานให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ฉบับนี้ยังขอนอกเรื่องต่ออีกหน่อยนะ เรื่องมีอยู่ว่า...วันที่ 18 พค. พ่อกับแม่ขับรถจากกรุงเทพลงมาหาเราที่ภูเก็ต พวกท่านออกเดินทางตั้งแต่ตี 4 หัวรุ่ง มาถึงภูเก็ตทุ่มครึ่ง 15 ชั่วโมงกว่าๆ ช่างเป็นการเดินทางที่ยาวนานม๊ากมาก วันนั้นทั้งวันเราโทรหาแม่เป็นระยะ (ระยะถี่ๆ) ครั้งไหนที่แม่ไม่รับสายก็จะโทรเข้ามือถือพ่อแทน มีหลายครั้งที่ท่านไม่รับสายทั้งคู่เลย โอ่ย! จิตตกสิคร้าแบบนี้ งานการไม่ทำหล่ะตรู นั่งโทรศัพท์จนกว่าแม่หรือพ่อจะรับสายนั่นแหละถึงจะทำงานต่อได้ แล้วพอแม่รับสายเราก็จะถาโถมคำถามใส่ท่านอย่างไม่ยั้ง “ทำไมไม่รับสายคะแม่ ทำอะไรอยู่ เป็นอะไรกันหรือเปล่า อย่าทำแบบนี้สิ รู้ไหมว่าหนูเป็นห่วง (บ่นต่ออีกยาวยืด)” คำตอบที่ได้รับจากแม่เกือบทุกครั้งคือ “แม่ไม่ได้ยิน (ตามด้วยเสียงหัวเราะ คลิ๊ก คลิ๊ก)”...อะไรว้า เรารึอุส่าห์เป็นห่วงแทบตาย ไหงตอบสั้นๆ ง่ายๆ แค่เนี๊ยะ โห่! ลมเสียอ่ะ เหตุการณ์วนไปวนมาแบบนี้จนถึงห้าโมงครึ่ง แม่โทรมาหาแล้วพูดว่า “เอ่อนี่! แบตมือถือพ่อแม่ใกล้จะหมดแล้วนะลูก เดี๋ยวพ่อแม่จะปิดมือถือ เก็บแบตไว้โทรหาหนูตอนใกล้ถึงภูเก็ต” เราได้ฟังแล้วก็ไม่ชอบใจเอามากถึงมากที่สุด เพราะหลายครั้งที่พวกท่านออกจากบ้านไปทำธุระ ไม่นานก็จะโทรมาบอกว่าแบตใกล้หมดต้องปิดมือถือ แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป เพราะเป็นการขับรถทางไกลและพวกท่านไม่คุ้นเส้นทาง ถึงแม้จะเป็นทางตรงไม่คดเคียวเหมือนขึ้นภาคเหนือก็ตาม เราเลยถามแม่กลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พ่อแม่ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องเดินทางไกล ทำไมไม่ชาร์ตแบตมาให้เต็ม ทำไมไม่เอาที่ชาร์ตในรถติดมาด้วย ทำไมชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย หนูไม่ชอบแบบนี้เลยนะแม่ หนู...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค แม่ก็พูดสวนกลับมาทันที “ทำไมหนูพูดจาแบบนี้กับแม่ ที่แบตหมดเพราะแบตมันเก่า อย่าลืมว่าพ่อแม่ใช้มือถือสองเครื่องนี้มานานหลายปีแล้ว ในเมื่อมันยังใช้ได้อยู่ ถึงจะต้องชาร์ตแบตบ่อยๆ ก็ไม่เป็นไร แล้วเราเป็นลูกนะ ทีหลังอย่าพูดแบบนี้อีก” แล้วแม่ก็ตัดสายทิ้ง ต่อมน้ำตาแตกเลยอ่ะ (ใจคิด...งานนี้ปากพาจนจริงๆ พูดจาไม่ดีกับพ่อแม่ กรรมแท้ๆ ตกนรกแน่เลยตรู) เราแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำอยู่นาน กลับมานั่งทำงานตาบวมฉึ่ง ใช้สติคิดไตร่ตรองสักพักก็เก็บโน๊ตบุคลงกระเป๋า สะพายเป้ เดินออกจากออฟฟิตอย่างเงียบๆ เนียนๆ ตรงไปห้องทำงานของพี่ไพ เพื่อนรุ่นพี่ที่ทำด้วยกัน “พี่ไพ ว่างไหม พาหนูไปบิ๊กซีหน่อยได้ป่ะ จะไปซื้อมือถือให้พ่อแม่ค่ะ” พี่ไพบอกว่าได้สิ ไปเลยมั๊ย…go go go ตอนนั้นใกล้หกโมงครึ่งแล้ว อีกไม่นานพ่อแม่น่าจะถึงภูเก็ต เพื่อไม่ให้เสียเวลาพอถึงบิ๊กซีเรารีบตรงดิ่งลงไปชั้นใต้ดิน แหล่งขายมือถือของภูเก็ต มีร้านค้าหลายร้าน มีทั้งเครื่องใหม่และเครื่องมือสองให้เลือกซื้อมากมาย ตั้งแต่เริ่มใช้ iPhone เราก็ไม่ได้ติดตามข้อมูลมือถือยี่ห้ออื่นอีกเลย และเพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้มือถือราคาถูกมากๆ มีตั้งแต่หลักไม่กี่ร้อยจนถึงหลายหมื่น เราเดินวนอยู่ 2 รอบ เข้าร้านโน้นที เข้าช็อปนี้ที ในที่สุดก็ได้โนเกีย 100 มา 2 เครื่อง ราคาไม่แพง เครื่องละ 990 บาท ที่เลือกโนเกีย 100 เพราะชอบสีสันของตัวเครื่อง ตัวเลขค่อนข้างใหญ่ น่าจะอ่านง่ายสำหรับสายตาของคนสูงอายุ เสียที่ขนาดเครื่องไม่ค่อยเหมาะกับมือของพ่อนัก แต่ไม่เป็นไร ให้พวกท่านใช้แก้ขัดไปก่อน รอให้เราเก็บข้อมูลจากพ่อแม่ก่อน ว่าพวกท่านอยากได้มือถือยี่ห้ออะไร รูปลักษณ์แบบไหน เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยใส่ใจกับมือถือของพวกท่านเลย ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญมาก หลังจากได้มือถือใหม่เรียบร้อยแล้ว เราก็รีบกลับมารอพ่อแม่ที่ออฟฟิตแบบเฉียดฉิว เพราะเราถึงออฟฟิตก่อนหน้าพวกท่านแค่สิบนาที พ่อจอดรถหน้าออฟฟิตแล้วเปิดประตูลงมาย้ายไปนั่งข้างหลัง เพื่อให้เราเป็นคนขับ เพราะเรารู้เส้นทาง ...งานเข้าหล่ะตรู แม่นั่งข้างหน้าซะด้วยสิ พอเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถปุ๊บ เราก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศตรึงเครียส ความเงียบเข้าครอบงำชั่วระยะหนึ่ง (ใจคิด... เห่อๆ เอาไงดีว่าตรู จะเริ่มต้นพูดยังไงดีหว่า จะขอโทษเลยดีมั๊ยน๊ะ หรือชวนคุยเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น หรือว่าปล่อยให้ความเงียบและเวลาจัดการกับปัญหา ไม่ดี ไม่ดี ถ้าเราเงียบไม่พูดไม่คุยกับแม่ ความรู้สึกของแม่จะยิ่งแย่ลงไปอีก ส่วนตัวเราเองก็ทุกข์ใจจะแย่อยู่แล้ว และที่สำคัญพ่อกับแม่อุส่าห์ขับรถมาภูเก็ตตามคำขอของเรา เวลา 15 ชั่วโมงในการเดินทางสำหรับคนสูงอายุ ทั้งเหนื่อย ทั้งหิวแน่ๆ) “พ่อแม่หิวข้าวแล้วใช่ไหม เดี๋ยวหนูพาไปร้านอร่อยของภูเก็ตน๊ะ แล้วแม่อยากกินอะไรเหรอ” ประโยคแรกที่เราเปิดประเด็น แต่แม่ไม่ตอบแหละ โชคดีที่พ่อช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ พ่อบอกว่าแม่อยากกินปลาหมึกย่าง และก็ลูกชิ้นปลาที่หนูเคยซื้อไปให้กินที่บ้าน เรารีบพูดขึ้นที่ว่า “งั้นไปร้านแหลมหินซีฟู๊ดนะ อาหารทะเลสด ลูกชิ้นปลาก็อร่อย” ไม่มีเสียงตอบรับจากคนข้างๆ โอ้ย! ไม่ไหวแล้ว รู้สึกปวดหัวใจ กดดันสุดๆ น้ำตาไหลพรากเป็นท่อประปาแตก แม่หันมาถามว่า “ร้องไห้ทำไม” โห่! ทีนี้เรายิ่งร้องใหญ่เลย มือข้างขวาจับพวงมาลัย มือข้างซ้ายคอยปาดเช็ดน้ำตาน้ำมูก สภาพดูไม่ได้เลยเรา “แม่ หนูขอโทษ หนูขอโทษ (พูดซ้ำหลายรอบ) ทีหลังหนูจะไม่พูดไม่ดีกับพ่อแม่อีกแล้ว หนูจะไม่ว่าพ่อแม่อีกแล้ว หนูขอโทษ” แม่เอื้อมมือมาลูบหัวเราเบาๆ พ่อก็เอื้อมมือตามมาลูบหัวเราด้วย แม่บอกว่า “แม่ได้โกรธ แต่แม่ไม่อยากให้หนูทำบาปโดยไม่รู้ตัว พ่อแม่รู้ว่าหนูรักเป็นห่วงพ่อแม่ แต่ยังไงหนูเป็นลูก หนูต้องพูดดีๆ พูดด้วยความเคารพพ่อแม่ เงียบซะลูก ทีหลังก็อย่าทำอีก” คำพูดของแม่ทำให้เรายิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกที่ไม่ดีเอาซะเลย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกหัวใจพองโต โล่ง โปร่ง สบาย ระหว่างที่รออาหาร เราหยิบมือถืออันใหม่ขึ้นมาแล้วส่งให้พ่อกับแม่คนละเครื่อง สีชมพูของแม่นะ ส่วนสีน้ำเงินก็ของพ่อค่ะ พ่อยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอ แต่แม่ถามว่าซื้อทำไมให้เปลืองเงิน เราเลยพูดระบายความรู้สึกในใจที่เป็นห่วงพ่อแม่เวลาออกไปนอกบ้าน หรือตอนที่ต้องขับรถทางไกล แล้วเราติดต่อพวกท่านไม่ได้เพราะแบตหมด และมันก็ไม่ได้แพงอะไรเลย แม่ฟังแล้วก็ยิ้ม ...มื้อค่ำมื้อนี้ อร่อยกว่ามื้อไหนๆ  ...เฮ้อ! คืนนี้คงนอนหลับไปพร้อมกับความรู้สึกผิด
|

Nokia-100.jpg (39.72 KB, 600x226 - ดู 472 ครั้ง.)
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 มิถุนายน 2012, 16:05:44 โดย Tom-Keyray »
|
บันทึกการเข้า
|
ออกไปมองฟ้า ออกไปมองน้ำ ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดปลายฟ้า...โลกนั้นกว้างใหญ่ รอเราก้าวออกไป
|
|
|
Tom-Keyray
ศิษย์น้อง
 
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 56

ชีวิตติดปีก
|
 |
« ตอบ #91 เมื่อ: 04 มิถุนายน 2012, 02:00:50 » |
|
"นอกเรื่อง"...กว่าจะถึงกระบี่ วันที่ 19 พค. ...เช้าวันใหม่ที่อากาศสดใส แสงแดดไม่จัดมาก ไม่มีวีแววของฝนจนเราแปลกใจ เพราะตั้งแต่วันที่เรามาถึงภูเก็ตฝนตกฟ้าคลึ้มตลอด เดี๋ยวตก เดี๋ยวหยุด อยู่แบบนี้ทุกวัน เราจัดเตรียมแผนการท่องเที่ยวไว้ให้พ่อแม่ ดังนี้ มื้อเช้าจะพาพวกท่านไปทานโจ๊กร้านป้าอ้วน ร้านเจ้าประจำของเรา จากนั้นค่อยขับรถออกจากภูเก็ตมุ่งสู่จังหวัดกระบี่ และนอนที่กระบี่ 1 คืน เราจองที่พักผ่านเว็บไซต์อโกด้าไว้แล้ว “บ้านฮาราวารี” คืนละ 1000 บาท พร้อมเตียงเสริม แต่ไม่มีอาหารเช้า ส่วนวันที่ 20 ก็กลับมาเที่ยวที่ภูเก็ต และนอนที่นี่อีกครั้ง แล้วตอนสายของวันที่ 21 เราก็ขับรถไปส่งพ่อแม่ที่สนามบินภูเก็ต ซึ่งเราซื้อตั๋วของนกแอร์ Flight 10.30 น ไว้ให้แล้ว สาเหตุที่เราให้พวกท่านเดินทางกลับแต่เช้าเพราะอย่างที่รู้กันดีว่าการเดินทางในกรุงเทพรถติดมาก ต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง เครื่องของนกแอร์จะลงจอดที่ดอนเมือง ซึ่งใกล้บ้านมากกว่าสุวรรณภูมิ ยิ่งพ่อแม่ถึงบ้านเร็วมากเท่าไหร่ พวกท่านก็จะได้พักผ่อนมากขึ้น วางแผนการเที่ยวไว้รัดกุม แต่พอถึงเวลาจริงๆ สิ่งที่ไม่อยู่ในแผนก็มักจะโผล่เข้ามาเสมอ หลังจากทานโจ๊กกันเรียบร้อยแล้วกำลังรอป้าอ้วนคิดตังค์อยู่ เสียง iPhone ดังขึ้น เราเหลือบตามองดูชื่อคนที่โทรเข้ามา “ชะนีน้อย” (น้องเค้าชื่อโรส แต่เราชอบตั้งชื่อใหม่ในมือถือ) เราไม่รับสาย ปล่อยให้เพลงท่อนที่ตัดเป็นเสียงเรียกเข้าเล่นจบไป 2 รอบ น้องเค้าก็ยังไม่วางสาย (ใจคิด... อื้ม! มันไม่ยอมวางสายแฮะ งานเข้าป่าวว๊ะ ใจไม่ดีเลยเว๊ย สาธุ อย่าให้เป็นอย่างที่คิดเร๊ย) พ่อถามขึ้นมาว่าทำไมรับสายหล่ะลูก เราเลยกดรับสาย “ว่าไง ชะนีน้อย” น้ำเสียงฟังดูตื่นเต้นของโรสพูดขึ้นว่า “เจ๊! เจ๊ออกจากเกาะหรือยังอ่ะ” เราตอบว่ากำลังจะออก แล้วโทรมามีอะไรเหรอ โรสบอกว่า “งานเข้าแหละเจ๊ ลูกค้าสั่งแก้งานด่วน ต้องทำให้เสร็จเร็วที่สุดด้วย เพราะมันเกี่ยวกับราคาสินค้าของเค้า ถ้าช้าจะเกิดความเสียหายมาก” เราถามกลับไปว่าคนอื่นแก้ไม่ได้เหรอ วันนี้เจ๊ต้องพาพ่อแม่ไปกระบี่ ก็บอกไว้ล่วงหน้าแล้วนิ โรสตอบว่า “ถ้าให้คนอื่นแก้ต้องใช้เวลาเป็นวันๆ แน่ เพราะแก้เยอะมาก และไม่มีใครรู้เกี่ยวกับโครงสร้างและราคาของสินค้าดีเท่าเจ๊แล้วแหละ” เฮ้อ! กำ (กรรม) ไม่แบเลยงานนี้ “หนูเข้าไปทำงานให้เรียบร้อยก่อน ไม่ต้องห่วงพ่อแม่ เดี๋ยวพ่อแม่ขับรถเที่ยวแถวนี้ไปพลางๆ ก่อน เอ่อ! พ่อ...งั้นเดี๋ยวพ่อก็พาแม่ไปไหว้หลวงพ่อแช่มที่วัดฉลองเลยก็ดี พรุ่งนี้จะได้มีเวลาไปเที่ยวที่อื่นมากขึ้น” เป็นคำพูดของแม่ที่พูดเพื่อให้เราเข้าไปทำงานได้อย่างสบายใจ พ่อขับรถมาส่งเราหน้าออฟฟิต จากนั้นพวกท่านจะไปวัดฉลอง แล้วคงแวะซื้อของฝาก หรือไม่ก็แวะชมวิวตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อคร่าเวลา กว่าจะได้ออกจากภูเก็ต ก็ปาเข้าไปบ่ายสอง ถึงแม้จะผิดจากแผนที่วางไว้ แต่เราก็แอบสบายใจที่งานเสร็จเรียบร้อย ลูกค้าพอใจ บริษัทได้ตังค์ สิ้นปีเราได้โบนัส (555) เอาเป็นว่าเราค่อยหาอย่างอื่นชดเชยคืนให้พ่อแม่ทีหลังก็แล้วกัน เราขับเจ้าไวท์กี้พาพ่อแม่มุ่งหน้าสู่กระบี่ แทบไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าอากาศจะดีมาก ระหว่างทางไม่เจอฝนสักเม็ด ระยะทางจากภูเก็ตไปถึงตัวเมืองกระบี่ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า แต่ที่พักของเราอยู่ใกล้หาดอ่าวนาง ซึ่งต้องแยกไปคนละทางกับทางเข้าเมืองและไกลออกไปอีกพอสมควร พอมาถึงทางแยกจากถนนสายหลักไปหาดอ่าวนางเราก็ไม่รู้จักเส้นทางแล้ว ต้องโทรถามผู้จัดการที่พักหลายครั้งเพราะไม่อยากหลงทางให้เสียเวลา และทุกคนก็เริ่มหิว ถึงแม้เราจะกินมังคุด เงาะ ขนมปังกันมาตลอดทาง แต่กว่าจะหาที่พักเจอก็เกือบห้าโมงเย็น เป็นตึกแถวธรรมดาทาสีส้ม ตั้งอยู่ริมถนนบนเส้นทางกระบี่-อ่าวนาง แถมป้ายชื่อที่พักก็เลือนลางแทบมองไม่เห็น นี่ถ้ามาถึงกลางคืนมืดค่ำมีหวังได้เลยแน่ เฮ้อ! นี่แหละน๊ะ ผลของการจองที่พักผ่านเว็บไซต์โดยไม่เคยเห็นของจริงก่อน ในเว็บลงรูปไว้สวยงามน่าพักเชียว แถมได้เรตติ้งจากคนที่เคยมาพักตั้ง 8.9 เราเลยคิดว่าคงจะสวยแหล่ม แต่พอมาเจอของจริง อึ้งกิมกี่ไปเลยคร้า ดีนะที่พ่อแม่ไม่ได้พูดว่าอะไร ไม่งั้นเราต้องรู้สึกแย่ไปกว่านี้อีกแน่ พนักงานช่วยยกกระเป๋าเสื้อผ้าของพ่อแม่ขึ้นไปไว้บนห้องพัก ส่วนเราขอหิ้วเป้เดินตามขึ้นไปเอง (ไม่มีลิฟท์) สิ่งแรกที่เห็นเมื่อเปิดประตูห้องพักคือที่นอนของเราเอง ฟูกที่คลุมด้วยผ้าปูสีขาวพร้อมหมอน 1 ใบ ห้องพักดูสะอาดและกว้างขวางพอใช้ได้ ห้องน้ำใหญ่โตมาก มีอ่างอาบน้ำด้วย แม่พูดขึ้นว่า “หิวข้าวแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ เดี๋ยวแม่กับพ่อต้องกินยาด้วย” เราชวนพ่อแม่เข้าไปหาอาหารทานในตัวเมืองกระบี่ เพราะเราอยากไปเดินถนนคนเดินของกระบี่ ถึงแม้จะเคยมาแล้วครั้งหนึ่งแต่นั่นก็หลายปีผ่านมาแล้ว ตอนนี้น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ครอบครัวเราเดินเล่น ถ่ายรูปที่ถนนคนเดินสักพักพอให้อาหารที่เพิ่งทานไปได้ย่อยก่อนจะกลับไปนอน ระยะเวลาขับรถจากตัวเมืองกลับมาที่พักน่าจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็น่าจะถึงที่พักแล้ว แต่ด้วยความมืดทำให้เราจำเส้นทางไม่ได้ เราขับเลยไปไหนก็ไม่รู้ สุดท้ายก็ต้องลำบากถึงผู้จัดการที่พักอีกแล้ว เราโทรไปถามทางกลับที่พัก ซึ่งคุณผู้จัดการอธิบายมาฟังแล้วเหมือนจะง่ายน๊ะ... “คุณแค่เลี้ยวตรงนั้น, คุณแค่เลี้ยวตรงนี้, คุณวิ่งถนนเส้น.........(ชื่อถนน), คุณเห็น........(ชื่อสถานที่) ก็แปลว่ามาถูกทางแล้ว”.แต่เราฟังแล้วจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะเราไม่รู้จักสถานที่ หรือถนนแถวนั้นเลย แม่เลยบอกว่าอย่าถามผู้จัดการเลยเพราะเค้าไม่ได้อยู่จุดที่พวกเราอยู่ตอนนี้ ให้ถามชาวบ้านที่เราขับรถผ่านดีกว่า สรุปว่าเราขับรถวนไปวนมาเกือบ 2 ชั่วโมง พ่อเห็นว่าเราดูกระวนกระวายใจ สับสน พ่อเลยบอกให้เราจอดรถ แล้วพ่อก็มาขับเอง คืนนั้นกว่าจะถึงที่พักก็ปาเข้าไป 4 ทุ่ม แทนที่พ่อแม่จะได้พักผ่อนแต่หัวค่ำ กลับต้องมาเสียเวลากับการขับรถหลงทางของเรา แต่พ่อแม่ไม่ตำหนิเราสักคำ พอเข้าห้องพักพ่อกับแม่สลับกันอาบน้ำ อาบน้ำเสร็จก็มานอนดูทีวี คุยกันหนุกหนาน พวกท่านทำเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น เรารู้สึกผิดจนบอกไม่ถูก ทุกครั้งที่พาพ่อแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัดเราจะรอบคอบมากเป็นพิเศษ แต่ครั้งไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงได้พลาดมากขนาดนี้ นี่ถ้าเราศึกษาเส้นทางให้ดีก่อนมากระบี่ และรู้จักมองการไกลคิดเผื่ออนาคตที่อาจเกิดปัญหาขี้น ทุกอย่างจะราบรื่นและเป็นไปอย่างมีความสุขมากกว่านี้มาก  เฮ้อ! คืนนี้ก็คงนอนหลับไปพร้อมกับความรู้สึกผิดอีกเช่นเคย  หวังว่าวันพรุ่งนี้จะได้เจอแต่เรื่องดีๆ ตลอดทั้งวันนะ
|

Baan-Havaree.jpg (33 KB, 598x222 - ดู 489 ครั้ง.)
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 มิถุนายน 2012, 16:12:29 โดย Tom-Keyray »
|
บันทึกการเข้า
|
ออกไปมองฟ้า ออกไปมองน้ำ ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดปลายฟ้า...โลกนั้นกว้างใหญ่ รอเราก้าวออกไป
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
Tom-Keyray
ศิษย์น้อง
 
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 56

ชีวิตติดปีก
|
 |
« ตอบ #102 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2012, 20:36:47 » |
|
 "การชนครั้งที่ 3"....ชีวิตเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง (ตอน 2) 15 กพ. 2552 หลังวันวาเลนไทน์ 1 วัน ... เวลา 20.30 น. – 23.45 น. ก่อนเกิดอุบัติเหตุ 10 นาที ในใจคิด... ทำไมมันมืดแบบนี้ว๊ะ ไฟข้างทางไม่มีสักดวง แล้วไม่เห็นมีใครตามมาสักคัน ไปไหนหมดเนี๊ยะ บ้านคนก็ไม่เห็นสักหลัง บรรยากาศวังเวงจังวู๊ย (ยังกะในหนังบ้านผีปอบ) เปิดเพลงดังๆ เลยดีกว่า... โอ้ย ไม่ไหวแล้ว! มองแทบไม่เห็นทางเลย ทางก็คดไปโค้งมาอีก เปิดไฟสูงดีกว่า เอ้อ! ค่อยแจ่มขึ้นมาหน่อย... ว่าแต่ตรงนี้มันช่วงไหนกันหว่า น่าจะใกล้เข้าพังงาแล้วมั้ง ถ้าแบบนี้ชั่วโมงกว่าก็ถึงภูเก็ตแล้วดิ... เอ่อ! ดี งั้นทำเวลาอีกหน่อยกว่า... พอความคิดสิ้นสุดลง...เท้าก็ทำงานทันที เหยียบมิดเลยคร้าพี่น้อง มองไปไกลๆ เห็นไฟท้ายรถอยู่ริบๆ เย้ส์! มีเพื่อนร่วมทางแล้ว 555 เรารีบเพิ่มความเร็วขึ้นอีกเพื่อจะได้ทันเค้า และก็เป็นผลสำเร็จดังหวังเมื่อห่างไปไม่กี่เมตรเป็นรถกระบะวีโก้สีดำและดูจากความสูงของรถเค้าน่าจะแต่งรถให้ยกสูงกว่าปกติ เราขับตามติดเค้าไปสักระยะก็รู้สึกแปลกๆ เพราะพื้นถนนไม่เป็นหลุมเป็นบ่อสักหน่อย แต่พี่แกเบรคบ่อยมาก เดี๋ยวเบรค เดี๋ยวเบรค จนเราเกือบจูบท้ายรถเค้าหลายที แต่เราก็ไม่ยอมปล่อยให้เค้าคาดสายตา แค่ถอยห่างออกมาหน่อยหนึ่ง (ก็ไม่อยากขับอยู่คนเดียว มันเหงานิ) ชิบหา (ย)!!! เปิดไฟสูงมาตลอดเลยเรา มิหน้าหล่ะ พี่แกถึงได้ขับกวนตี..... เดี๋ยวเบรค เดี๋ยวเบรค มารู้ตัวว่าลืมปรับระดับไฟหน้าให้เป็นปกติก็ตอนที่เหลือบมองหน้าปัด ซึ่งเวลาผ่านไปนานหลายนาทีแล้ว ช่วงวินาทีที่เหลือบตามองหน้าปัดรถและกำลังจะเหลือบกลับมามองทาง สิ่งที่เห็นคือบั้นทายวีโก้ไฟเบรคแดงโล่อยู่ข้างหน้าอย่างชัดเจน แล้วภาพก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว... เฮ้ย!!! โค้ง (มากกก) งานเข้าแน่!!!สัญชาตญาณบอกให้เราหมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายตามเส้นทางโค้งของถนน แต่ด้วยความตกใจเลยออกแรงมากไปหน่อย (อิอิ) ทำให้รถเกือบจะเลี้ยวกลับหลัง ...โอ้วแม่เจ้า! แทนที่ล้อหน้าจะวิ่งคู่กับล้อหน้า ตอนนี้กลายเป็นล้อขวาหน้ากับล้อขวาหลังเกือบจะวิ่งคู่กันแล้ว และก็ตามสัญชาตญาณอีกเช่นเคยที่อยากให้รถหันหน้ากลับมาสู่ทิศทางที่ถูกต้อง เราหมุนพวงมาลัยย้อนกลับมาทางขาว แต่การหมุนพวงมาลัยครั้งนี้ต้องออกแรงมากและต้องจับ กำ บีบ พวงมาลัยให้แน่นมาก เพราะสัมผัสได้ว่าล้อรถกำลังสะบัดอย่างแรง กำลังคิดว่ารถกำลังจะหมุนแน่....ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี... ใช่! ต้องลดความเร็วของรถลง พอความเร็วลดลงก็บังคับทิศทางได้ ว่าแล้วก็แตะเบรคสิคร้า (เห่อๆ คิดผิดมหันต์) เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่เท้าแตะแบรคเบาๆ (ขอบอกว่า เบาๆ) ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นอย่างที่คิดไว้เร๊ย...รถพลิกคว่ำทันที วินาทีที่รถกำลังกลิ้งอยู่ เรายังมีสติ สมองรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตายังคงลืมอยู่ตลอด มีหลายคนบอกว่าเวลาใกล้ตายหรือเกิดอุบัติเหตุ คนเรามักจะคิดถึงคนที่ตัวเองรัก หรือไม่ก็คิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ทำไมเราไม่เห็นคิดถึงใครเลย ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง คนรัก เพื่อนฝูง หรือแม้แต่สิ่งศักดิ์ทั้งหลาย เราคิดแค่ว่า... เฮ้ย! นี่รถกำลังพลิกนิ เรากำลังกลิ้ง (คว่ำ หง่าย คว่ำ) เมื่อไหร่จะจบ จะจบท่าไหน จะมีอะไรเสียบเข้ามาไหม แขน ขา คอจะขาดหรือเปล่า ทำไมเวลามันถึงยาวนานเหลือเกิน ... เราคิดเท่านี้จริงๆ การลืมตาอยู่ตลอดใช่ว่าจะสามารถจับโฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ เพราะทุกอย่างหมุนไปหมด จนเมื่อรถหยุดนิ่งสนิท สายตาจึงสามารถจับโฟกัสได้ชัดเจน สิ่งแรกที่เห็นคือ เท้าของตัวเองที่ยังสวมร้องเท้าผ้าใบสีฟ้าเก่าๆ เน่าๆ ที่ซื้อมาจากตะเข็บชายแดนพม่า เรานิ่งอยู่สักครู่เพราะยังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทันทีที่ร้องเท้าที่ใส่อยู่หลุดหล่นใส่หน้าเต็มๆ... โห่! สติกลับมาเต็มร้อยเลย (ร้องเท้าเน่ามาก เหม็นโคตร) ใจคิด...นี่เรากำลังตีลังกาอยู่นิ (เท้าชี้ฟ้า) เฮ้ยยยย! ไม่ตาย ไม่ตาย ไม่ตายโว้ย เฮ้ย! แขนขาอยู่ครบเปล่าว๊ะ มีอะไรขาดไหมเนี๊ยะ พอคิดได้แบบนั้นปุ๊บ เราก็เริ่มกระดิกตัวเอง เอื้อมไปลูบขาก่อนเป็นอันดับแรก จับๆ คำๆ คอแล้วโยกเบาๆ แล้วก็เอามือมาลูบจับแขนสลับซ้ายขวา เมื่อสำรวจดูร่างกายอย่างละเอียด อวัยวะอยู่ครบดี ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกชา ...เยี่ยมมาก พอปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยออก จากที่เรานั่งตีลังกาตัวติดอยู่กับเบาะก็ไหล่แพละลงมานอนกองที่พื้น มองซ้าย มองขวา สำรวจดูว่าจะออกทางไหนดี กระจกหน้าแตกร้าวแต่ยังไม่หลุดออก ส่วนกระจกข้างซ้ายขวาแตกเหมือนกัน นึกขึ้นได้ว่าต้องเอาข้าวของมีค่าออกไปด้วย ว่าแล้วก็คลานหากล้องถ่ายรูป Canon 40D กระเป๋าสะพาย แล้วโน๊ตบุคมันหายไปไหนว๊ะ หลายนาทีผ่านไปเราได้ยินเสียงคนตะโกนว่า “มีใครรอดบ้างไหม มีคนเจ็บไหม มีคนรอดหรือเปล่า มีคนรอดชีวิตไหม” ทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนถาม เราเกือบจะตะโกนตอบออกไปแล้ว แต่อยู่ๆ ก็คิดถึงคำคำหนึ่ง “ไทยมุง” เลยไม่ตอบดีกว่า เพราะตอนนั้นเรายังหาโน๊ตบุคไม่เจอ อ้อ! แล้วก็ยังมีสร้อยคอทองคำ 1 บาท ที่แม่ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดด้วย พอคิดถึงสร้อยขึ้นมาได้เราก็รีบคลานไปที่ช่องเก็บของหน้ารถแล้วเปิดฝาหยิบถุงกำมะหยี่สีแดงที่มีสร้อยอยู่ข้างในเอามาหย่อนลงกระเป๋าสะพาย เสียงตะโกนถามเริ่มมีหลายเสียง แปลว่าคนเริ่มมาเยอะแล้ว แต่เชื่อไหมคะว่าไม่มีใครลงมาช่วยเราเลย 555 ส่วนเราก็คลานหาโน๊ตบุคอยู่นั่นแหละ จนเมื่อได้ยินประโยคหนึ่งดังขึ้น “อย่าลงไป อย่าลงไป ระวัง ระวัง รถอาจระเบิด” จ๊ากกกก! เชื่อป่ะว่าทันทีที่เราได้ยินคำนี้ปุ๊บ สติแตกเฉยเลย โน๊ตบงโน๊ตบุคไม่สนแล้ว ต้องออกจากรถให้เร็วที่สุด เราพยายามถีบกระจกหน้ารถที่แตกร้าวเพื่อให้มันหลุดออก (แบบในหนัง) แต่ถีบเท่าไหร่ก็ไม่หลุดสักที หันมาถีบกระจกข้างบ้าง ก็ไม่หลุดเหมือนกัน เริ่มรนรานเหมือนคนบ้าเพราะความกลัวเข้าครอบงำ... รถคว่ำไม่ตาย แต่ต้องมาตายเพราะโดนไฟคอก ...โอ้ย! ถ้าไฟคอกกว่าจะตายทรมานมากๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ปากกำลังจะตะโกนออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่รู้สึกเหมือนเสียงของชาวบ้านมันดังมากขึ้นเรื่อยๆ และเสียงก็ชัดเจนด้วยสิ เลยหันหลังไปมองตามทิศทางของเสียง เฮ้อ!! กระจกหลังหยุดหายไปทั้งบาน โล่งเชียว ...เห่อๆ โง่จริงๆ ตรู ... เผ่นดีกว่า คลานสี่ขาออกมาจากรถได้ ก็ลุกขึ้นเดินสองขาแบบมนุษย์ปกติ ก็มีคนตะโกนขึ้นทันที ว่า “มีคนรอดชีวิต มีคนรอด มีผู้หญิงรอดชีวิต” แล้วผู้ชายสี่ห้าคนวิ่งกรูกันลงมาหาเรา พวกเค้าต่างคนต่างเอื้อมมือจะเข้ามาจับแขนเพื่อพยุงเรา เพราะคงคิดว่าเราบาดเจ็บเดินไม่ไหว แต่เราไม่เป็นอะไร เราก็เลยรีบยกมือขึ้นมาบังไว้ แล้วบอกพวกเค้าว่า “เราไม่เป็นไร ปกติทุกอย่าง ไม่บาดเจ็บ เราสบายดี เราเดินเองได้ไม่ต้องช่วยพยุงหรอก” พวกเค้าทำท่าเหมือนไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้เข้าพยุงอีก หลายคนรุมถามเราว่าในรถมีอีกกี่คน มีคนเจ็บไหม อาการสาหัสไหม เราตอบว่าไม่มีแล้ว ในรถมีเราคนเดียวเท่านั้น พวกเค้าทำท่าแบบเซ็งๆ (ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก)  เสี้ยววินาทีชีวิตผ่านไป ความตายยังมาไม่ถึง นรกไม่ต้องการ สวรรค์ไม่ต้อนรับ... อยู่ใช้กรรมต่อไป
|

My-Car-After.jpg (81.81 KB, 750x498 - ดู 463 ครั้ง.)
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 มิถุนายน 2012, 20:51:59 โดย Tom-Keyray »
|
บันทึกการเข้า
|
ออกไปมองฟ้า ออกไปมองน้ำ ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดปลายฟ้า...โลกนั้นกว้างใหญ่ รอเราก้าวออกไป
|
|
|
Pae_pae43
ศิษย์น้อง
 
ออฟไลน์
กระทู้: 121
|
 |
« ตอบ #103 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2012, 21:29:36 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
Tom-Keyray
ศิษย์น้อง
 
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 56

ชีวิตติดปีก
|
 |
« ตอบ #106 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2012, 18:45:50 » |
|
"การชนครั้งที่ 3"....ชีวิตเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง (ตอน 3: ประกันขาด) 15 กพ. 2552 หลังวันวาเลนไทน์ 1 วัน ... เวลา 20.30 น. – 23.45 น. หลังเกิดอุบัติเหตุ เสี้ยววินาทีชีวิตผ่านไป ความตายยังมาไม่ถึง นรกไม่ต้องการ สวรรค์ไม่ต้อนรับ... อยู่ใช้กรรมต่อไป เราเดินห่างออกมาจากกลุ่มคนที่มามุ่งดู แล้วค่อยๆ นั่งลงบนพื้นข้างไหล่ทางของถนน มือข้างหนึ่งถือกล้อง อีกข้างหนึ่งจับกระเป๋าสะพายให้แนบติดตัวไว้ ถึงร่างกายจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่จิตใจยังคงตื่นเต้นและหวาดหวั่นกับอุบัติเหตุที่เพิ่งผ่านไป มองดูรถของตัวเองที่อยู่ในสภาพพังยับ ตีลังกาหงายท้อง ไฟหน้ารถเปิด หลังคายุบลงมา กระจกแตกรอบด้าน มีหญ้าเข้าไปติดอยู่ในล้อ เรายกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเพื่อเก็บไว้ดูและช่วยเตือนจิตสำนึกให้กับตัวเอง... เฮ้อ! เหนื่อยใจจังโว้ย นั่งดูรถได้สักพักก็เบี่ยงเบนสายไปมองดูผู้คนที่จากเดิมมีไม่มาก แต่ตอนนี้กลายเป็นฝูงชนขนาดย่อยไปเรียบร้อย หลายคนแสดงอาการอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น หลายคนหน้าตาเคร่งเครียสประหนึ่งว่าตนเป็นผู้ประสบเหตุ (เห่อๆ) และมีอีกหลายคนเดินลงไปดูที่รถก้มๆ เงยๆ เหมือนจะพยายามมองหาอะไรสักอย่าง ซึ่งเราคิดว่าพวกเค้าคงหวังว่าจะเจอคนเจ็บอีกสักคนสองคนก็เป็นได้ ผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้าพูดคุยและถามคำถามกับเรามากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นคำถามคล้ายๆ กัน คือ “น้องมากันกี่คน, เจ็บตรงไหน, จะไปโรงพยาบาลไหม, ไม่มีคนอื่นมาด้วยเลยเหรอ, น้องมาจากไหน, กำลังจะไปที่ไหน ฯลฯ” คำถามเหล่านี้เราตอบได้หมด ยกเว้นคำถามหนึ่งที่เราตอบไม่ถูกและสร้างความคาใจให้กับตัวเองมาตลอด คือ “คุณรอดมาได้ยังไง ไม่เป็นอะไรเลยเหรอ ใส่พระอะไร ในรถมีของดีอะไรเหรอ” ใจคิด... เอ้อ! เรารอดได้ยังไง แล้วทำไมไม่เป็นอะไรเลย ที่จริงเราก็น่าจะได้แผลบ้างสิ หรือว่าโชคดี ก็ไม่น่าจะใช่นะ ถ้าโชคดีต้องไม่เจอเรื่องพวกนี้สิ นี่รถพังซะขนาดนี้... แอ๊ะ! คิดก่อนว่าในรถมีพระอะไรบ้าง ก็มีแค่รอยเจิมของหลวงพ่อวัดนาคาบนหลังคากับหลวงปู่มั่นองค์เล็กที่เก็บไว้ในช่องเก็บของหน้ารถ แล้วก็หลวงพ่อโสธรที่แม่เอาไปใส่กรอบแขวนไว้กับสร้อยคอ... แต่ช่างเถอะ จะเป็นเพราะอะไรก็ช่าง ในเมื่อตอนนี้ยังมีลมหายใจอยู่ ก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป เสียงหนึ่งดังขึ้น “คุณต้องการรถลากไหม? ผมมีเพื่อนบริการลากรถ ราคาไม่แพง สนใจหรือเปล่า?" ทำให้สติสตังกับเข้าที่... เอ่อ! ใช่ นี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย มั่วแต่นั่งคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ว่าแล้วก็รีบหยิบมือถือออกมาโทรหาประกัน เหมือนครั้งก่อนๆ ที่มีประสบการณ์มาแล้ว ง่ายจะตาย (555) แต่หลังจากที่วางสายจากพนักงานบริษัทประกันก็ต้องตกอยู่ในสภาวะ “อึ้งไปเลย” (หน้าชาๆ มึนๆ เหมือนช้างถีบหน้า) “ประกันของคุณขาดไปเดือนกว่าแล้วค่ะ” เห่อๆ หมายความว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากนี้เป็นต้นไปคือ “เงินตรูล้วนๆ” สิน๊ะ (นี่สินรกของจริง ความชิบหา (ย) มาเยือนหล่ะตรู) เรานั่งมึนงงกับความสะเพร่าของตัวเอง สักแต่ว่าขับรถอย่างเดียว ไม่เคยสนใจรายละเอียดอื่นๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับรถเลยแม้แต่น้อย โง่งี่เง่าที่สุด ประนามตัวเองอยู่พักใหญ่ เอาว๊ะ ! ในเมื่อมันก็เกิดขึ้นแล้วนิ ก็ต้องผ่านไปให้ได้สิ คิด คิด คิด เอาไงดี ทำไงดี เอาไงดี ทำไงดี... อ๊ะ! คิดออกแล้ว ว่าแล้วก็โทรหาพี่บีเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นภรรยาสารวัตรในภูเก็ต เพื่อขอให้เค้าลากรถไปไว้ที่บ้านพักของแกก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยลากเข้าศูนย์โตโยต้าในเมืองภูเก็ต พอพี่บีตอบอนุญาต เราก็โทรหากวางต่อ กวางเป็นเพื่อนสาวสุดสวยซึ่งตอนนั้นทำงานเป็นเซลล์ขายรถของโตโยต้า เราขอให้กวางช่วยติดต่อรถลากให้ กวางบอกว่ารอแป๊บนะ เดี๋ยวรีบโทรให้เลย จากนั้นไม่นานมีสายโทรเข้ามา เค้าพูดแนะนำตัวเองว่าเค้าเป็นคนที่กวางแนะนำให้มาช่วยลากรถ รอรถลากอยู่นานพอสมควร ระหว่างนั้นเราสังเกตุเห็นว่าไม่มีตำรวจสักคน มีแต่พวกมูลนิธี และมาตั้ง 2 มูลนิธีแหนะ นอกนั้นเป็นชาวบ้าน ผู้ชาย ผู้หญิง เด็กตัวเล็กตัวน้อย ... เอ้อ! แล้วตำรวจไปไหนหล่ะ เค้าน่าจะรู้เรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนและมาถึงที่เกิดเหตุก่อนคนอื่นไม่ใช่เหรอ “รถลากมาแล้ว รถลากมาแล้ว” มีคนตะโกนบอก จากนั้นเราเห็นเด็กที่มากับรถลากดึงสายลวดสลิงจากรถลากลงไปที่รถของเรา ส่วนคนขับรถเดินมาหาเรา ตกลงเรื่องค่าลากรถ 4000 บาท เราต่อเหลือ 3000 บาท เค้าก็โอเค พวกเค้าทำงานกันเป็นทีม มี 3 คน คนขับรถ คนบังคับสลิง และคนเอาสลิงไปผูกกับรถของเรา ทันทีที่คนผูกลวดสลิงตะโกนว่า “ดึงได้” แค่นั้นแหละ...หัวใจเราแทบสลาย น้ำตาไหลนองแก้ม เสียงการบดระหว่างตัวรถกับพื้นดังสนั่น เสียงมันทิ่มแทงหัวใจเหลือเกิน ถ้ารถคันนี้เป็นคนที่เรารัก เค้าต้องเจ็บปวดมหาศาลแน่ เราขออนุญาตคนลากรถนั่งมาในรถตัวเอง ระยะทางจากจุดเกิดเหตุมาถึงภูเก็ตช่างดูเหมือนยาวไกล เรานั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดสนิท ลมเย็นพัดมากระทบผิวแต่กลับไม่รู้สึกอะไร หัวใจมันว่างเปล่า ไม่อยากคิดถึงวันพรุ่งนี้ ไม่อยากคิดถึงความเดือนร้อนที่อาจจะถึงพ่อแม่อีกครั้ง  ....คืนนั้นหนักหนาสาหัสสำหรับเรามากทีเดียว  ....พรุ่งนี้เราจะทำยังไงกับปัญหาดีน๊ะ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 มิถุนายน 2012, 13:07:35 โดย Tom-Keyray »
|
บันทึกการเข้า
|
ออกไปมองฟ้า ออกไปมองน้ำ ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดปลายฟ้า...โลกนั้นกว้างใหญ่ รอเราก้าวออกไป
|
|
|
|
|
chairat2521
อาจารย์ปู่
      
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 2,227

เรียกกูว่า เอ๊ะ นครปฐม
|
 |
« ตอบ #109 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2012, 10:01:43 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Tom-Keyray
ศิษย์น้อง
 
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 56

ชีวิตติดปีก
|
 |
« ตอบ #110 เมื่อ: 07 มิถุนายน 2012, 13:23:11 » |
|
 สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ที่น่ารักทุกท่าน ได้อ่าน Comments แล้ว...เป็นปลื้มมากๆ ค่ะ ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนติดตามอ่านเรื่องราวของเรานะคะ เหลืออีกแค่ 2 ตอน เจ้าวีออสก็จะจากไป และจะได้เจอกับเจ้าไวท์กี้แล้วค่ะ มีคนเคยพูดกับเราว่า "อะไรที่มันเป็นของเรา ยังไงมันก็ต้องเป็นของเราอยู่วันยังค่ำ" อาจจะจริง แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะกว่าจะได้ "เจ้าไวท์กี้" มานั้นแสนยากลำบากยิ่งนัก  เราต้อง... อด ทน มุ่งมั่น แสวงหา อย่างที่สุด
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มิถุนายน 2012, 14:32:25 โดย Tom-Keyray »
|
บันทึกการเข้า
|
ออกไปมองฟ้า ออกไปมองน้ำ ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดปลายฟ้า...โลกนั้นกว้างใหญ่ รอเราก้าวออกไป
|
|
|
|
|
Tom-Keyray
ศิษย์น้อง
 
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 56

ชีวิตติดปีก
|
 |
« ตอบ #113 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2012, 16:48:15 » |
|
สงสัยอยู่อย่างนึงครับ ขับรถไปกลับภูเก็ตบ่อยๆ นี่เคยโดนพี่จ่าเขาโบกบ้างไหม ผมเคยขับไป-กลับมีอยู่ทริปนึง ตอนขาลงโดนโบกให้จอดไป 2 ครั้ง ขากลับกทม.โดนโบกไป 4 ครั้ง ทริปนั้นจอดคุยกับพี่จ่า 6 ครั้งแน่ะ  สวัสดีค่ะคุณ "coupe4wd"เส้นทางระหว่างกรุงเทพ-ภูเก็ต และ ภูเก็ต-กรุงเทพ เราโดนตำรวจเรียกตรวจรถหลายๆ ครั้ง แต่ไม่ได้โดนเรียกทุกทริป บางทริปก็โดนเรียกบ่อย บางทริปก็ไม่โดนเลย ขอเสริมนิดหนึ่ง...การตั้งด่านและเรียกตรวจรถของตำรวจ เราขอจำแนกออกเป็น 3 ข้อ ดังนี้ค่ะ 1. เทศกาลและวันหยุดนักขัตฤกษ์ เราไม่แน่ใจว่าช่วงที่คุณเดินทางตรงกับช่วงวันหยุดเทศกาลหรือเปล่า ถ้าตรงกับเทศกาลก็ไม่ต้องแปลกใจที่โดนเรียกตรวจบ่อยค่ะ เพราะคุณตำรวจเค้าต้องทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับผู้ที่เดินทางบนท้องถนนมากเป็นพิเศษ ซึ่งในช่วงวันปกติก็จะมีด่านตรวจตั้งรออยู่บริเวณรอยต่อของแต่ละจังหวัดงอยู่แล้ว แต่จะมีตำรวจมายืนเรียกให้รถหยุดตรวจหรือไม่นั้นขึ้นอยู่ว่าคุณตำรวจเค้าจะสะดวกตอนไหน 2. เจอแจ็กพ็อต ...รถ (ยี่ห้อ สี ทะเบียนจังหวัด)ไปตรงกลับรถของคนร้าย มีอยู่ครั้งหนึ่งเราเดินทางช่วงกลางคืน ออกจากภูเก็ต 6 โมงเย็น ตั้งใจจะให้ถึงกรุงเทพตี 2 ของอีกวัน ตอนนั้นเป็นช่วงวันธรรมดาและรถของเราก็ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง แต่โดนตำรวจเรียกตรวจหลายครั้งจนรู้สึกเป็นงงมาก ก็เลยโทรไปถามเพื่อนที่เป็นตำรวจว่าทำไมถึงถูกเรียกตรวจบ่อยจัง คำตอบที่ได้คือ...ลักษณะรถของเราไปตรงกลับรถของคนร้าย (พวกขนยาเสพติด หรือขนคนต่างด้าวเข้าเมือง ฯลฯ) ถึงได้โดนเรียกตรวจบ่อยๆ แต่เพื่อนตำรวจถามเราว่า "พอตำรวจเห็นหน้าเธอแล้วเค้าไม่ได้ให้เธอลงจากรถ แล้วค้นรถเธอใช่ไหม" เราตอบว่า "ใช่ๆ เค้าแค่ให้เปิดกระจกลง เอาไฟฉายมาส่องๆ ดูในรถ แล้วก็ถามว่าเรามาจากไหน กำลังจะไปไหน แล้วก็บอกให้เราขับรถดีๆ บางคนอวยพรให้ปลอดภัยในการเดินทางด้วยน๊ะ" เราถามกลับว่าทำไมเหรอ เพื่อนตำรวจบอกว่า "เพราะตำรวจเค้ารู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย คนร้ายส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย หรือถ้าเป็นผู้หญิงก็จะไม่ได้มาคนเดียว แต่ในเมื่อเค้าเรียกตรวจแล้วเค้าก็ต้องตรวจให้พอเป็นพิธีเท่านั้นแหละ" 3. อยู่ๆ ก็โผล่มา... เจอทีไรเสียตังค์ทุกที ด่านตรวจพวกนี้จะเกิดขึ้นตามสถานที่ที่เราไม่คิดว่าจะตั้งได้ เช่น เลยทางโค้งมาหน่อยหนึ่ง หรือไม่ก็เส้นทางระหว่างตัวจังหวัด ที่เราเคยเจอจะมี 2 ที่ คือ เส้นประจวบและสุราษฎร์ธานี ด่านพวกนี้มีขนาดกระทัดรัด องค์ประกอบไม่มาก แค่มีกรวยจราจรสีส้มสลับขาววางปิดถนนไปครึ่งค่อนเลนส์ มีตำรวจยืนกลางถนนคอยเรียกรถ 2 คน (หน่วยกล้าตาย) มีรถกระบะมีโล่ตำรวจแปะอยู่จอดเลยด่านขึ้นไปหนึ่งคัน มีมอร์ไซต์ตำรวจ 2 คัน มีโต๊ะพับกับเก้าอี้ 2 ชุด และมีตำรวจนั่งรอเขียนใบสั่งอยู่ 2 คน ข้อสังเกตุของเราคือก่อนจะถึงด่านตรวจพวกนี้เราจะเห็นรถตำรวจทางหลวงจอดอยู่ริมถนนหรือช่องวางกลางถนนสำหรับให้กลับรถ เราคิดว่าคุณตำรวจเค้าน่าจะทำงานเป็นทีม คือทีมตรวจวัดความเร็วโดยใช้ปืนจับความเร็ว (Radar Gun) อีกทีมก็คอยเก็บค่าปรับ ตอนที่ยังใช้วีออสเจอด่านแบบนี้เรียก 4 ครั้ง และต้องเสียค่าปรับทุกครั้ง คุณตำรวจเค้าจะให้เราดูกระดาษ (แผ่นเรียวยาวเหมือนใบเสร็จตามห้างสรรพสินค้า) ที่แสดงข้อมูลความเร็วของรถเราเรียบร้อย ...จำนนด้วยหลักฐาน (อิอิ) ตั้งแต่ใช้ซีวิค (เจ้าไวท์กี้) เจอตำรวจเรียกแต่ไม่ได้เรียกเพราะขับรถเร็ว เค้าแค่เรียกตรวจทั่วไปค่ะ ส่วนใบสั่งสำหรับขับรถเร็วจะถูกส่งมาที่บ้าน (ตามภาพประกอบ) ปีที่แล้วเค้าส่งมาให้ 5 ใบ (เห่อๆ ) รายละเอียดแม่นยำ ชัดเจนมั๊กมาก แม่เห็นทีไรก็จะโดนท่านบ่นว่าไปหลายวันค่ะ 555
|

Ticket.jpg (108.22 KB, 750x1000 - ดู 363 ครั้ง.)
|
|
บันทึกการเข้า
|
ออกไปมองฟ้า ออกไปมองน้ำ ให้ได้กลิ่นดินที่ลมนั้นพัดเข้ามาจากสุดปลายฟ้า...โลกนั้นกว้างใหญ่ รอเราก้าวออกไป
|
|
|
|
golf4338
เจ้ายุทธภพ
     
ออฟไลน์
เพศ: 
กระทู้: 1,428

ถึงตัวจะอยู่TOYOTA..แต่ใจยังรักHONDA
|
 |
« ตอบ #115 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2012, 13:04:41 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
|
|