ซ้ำป่าวไม่รู้นะ รู้แต่ว่ามีประโยชน์ เลยเอามาฝาก
ขอได้รับความขอบคุณ JOBBY แห่ง EK CM Clubเบาะ รถยนต์ นอกจากทำให้เรานั่งขับรถอย่างสบายแล้ว มันยังแฝง "ตัวร้าย" ที่เป็นบ่อเกิดเชื้อโรค จากการสะสมของฝุ่นละอองอีกด้วย ยิ่งเป็นเบาะกำมะหยี่ยิ่งแล้วใหญ่ ถ้าปล่อยให้สะสมไปเรื่อยๆ หลายปี ทั้งคนขับ และคนที่โดยสารนี่แหละ ที่จะรับเชื้อโรคเหล่านั้นเข้าไปเต็มๆ
คนที่รักรถ และรักความสะอาด คงไม่อยากให้ใครนำอาหาร หรือเครื่องดื่ม มารับประทานภายในรถ เพราะเมื่อหกเลอะเทอะ จะพานให้หงุดหงิด เสียอารมณ์เปล่าๆ ครั้นจะไปล้างที่ศูนย์บริการก็แพงเป็นพันๆ บาท diy ฉบับนี้ขอเสนอวิธีการซักเบาะง่ายๆ ด้วยงบประมาณแค่ร้อยกว่าบาท ที่เกิดจากคราบอาหาร หรือจากฝุ่นที่สะสมกันเป็นเวลานานมาให้ลองทำกันเองดู
ทำไมต้องซักเบาะ ?
ชีวิตคนเมืองสมัยนี้ มีแต่ความเร่งรีบ เวลาก็มีน้อย เลยทำให้น้อยคนนักที่จะสนใจดูแลความสะอาดภายในรถ ยิ่งถ้ามีลูกเล็กๆ ไหนจะนม น้ำ ขนม ข้าว ฉี่ อ๊วก หรือแม้กระทั่งฝุ่น โอกาสที่จะรักษาความสะอาดภายในรถแทบไม่มีเสียหรอก ซ้ำร้ายอากาศภายในรถยังหมุนวนอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเครื่องปรับอากาศเป็นระบบปิด เลยทำให้บริเวณเบาะ และพรมของรถเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค และเชื้อราได้ง่ายที่สุด แถมยังมีกลิ่นไม่พึงประสงค์อีกด้วย ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจต่างๆ วิธีง่ายที่สุดในการหลีกเลี่ยงเชื้อโรคเหล่านี้ คือ การรักษาความสะอาดภายในรถอยู่เสมอ
เชื้อโรคจากเบาะรถยนต์
มีการวิจัยเกี่ยวกับเชื้อโรคที่มาจากฝุ่นละออง ในรถยนต์ที่ไม่ได้รับการทำความสะอาดภายในเลยเป็นเวลา นานหลายปี พบว่า ฝุ่นละอองเหล่านี้ จะแฝงตัวตามเบาะนั่ง พนักพิง และพรมตามพื้น โดยการสำรวจเชื้อโรค ที่พบจากการนำเอาจุลินทรีย์ ไปเพาะเชื้อในห้องปฏิบัติการ เป็นเชื้อแบคทีเรีย 18 ชนิด เชื้อรา และอื่นๆ อีก 20 ชนิด ทั้งนี้ เชื้อแบคทีเรีย ที่ก่อให้เกิดอันตราย ทำให้มีอาการของโรคต่างๆ เช่น เชื้อคริพทอคโคซิส นีโอฟอร์แมนส์ (cryptococcosis neoformans) เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะค่อยๆ สะสม ก่อให้เกิดโรคปอด หากเข้าสู่กระแสโลหิต จะมีผลต่ออวัยวะในส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย เช่น ที่ระบบประสาท กระดูก และข้อ รวมถึงบริเวณผิวหนังและเยื่อบุด้วย นอกจากนั้น ยังมีแบคทีเรีย อัลคาลีจีนส์ เอสพี (alcaligenes sp) เป็นสาเหตุของโรคติดเชื้อในเลือด ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ และระบบทางเดินปัสสาวะ ส่วนเชื้อ อี โคไล ( e coli ) ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วง ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ไส้ติ่งอักเสบ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ แผลติดเชื้อ และโลหิตติดเชื้อ หากเป็นเชื้อ ซูโดโมเนส เออรูจิโนซา (pseudomonas aeruginosa) เป็นเชื้อประเภทฉวยโอกาสที่จะทำให้เกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะเช่นกัน โลหิตเป็นพิษ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปอดอักเสบ หนองฝีต่างๆ และโรคตาอักเสบ เป็นต้น
เบาะหนัง vs เบาะผ้า
เบาะหนังสามารถทำความสะอาดได้ง่ายกว่าเบาะผ้า หรือกำมะหยี่ เพราะไม่ดูดน้ำ ไม่ค่อยสะสมฝุ่นเหมือนเบาะผ้า แต่ก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคได้ไม่ต่างกัน ส่วนเบาะผ้านั้นเหมาะกับอากาศร้อนอย่างบ้านเรามากกว่ าเบาะหนัง แต่ก็มีข้อเสียเรื่องความชื้น สกปรกง่าย และเก็บฝุ่น หากสกปรกแล้วก็ทำความสะอาดยาก การดูดฝุ่น หรือใช้ผ้าชุบน้ำเช็ด ถือเป็นวิธีทำความสะอาดเบาะหนัง และเบาะผ้าที่ง่ายที่สุด ถ้ารักษาความสะอาดได้อย่างสม่ำเสมอ เชื้อโรคต่างๆ ก็จะไม่มารบกวนอย่างแน่นอน
เคล็ดลับขจัดคราบ
การดูดกลิ่น ให้ใช้ผงฟู หรือแป้งข้าวโพดโรยบนเบาะหรือพรม ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดออก แต่ถ้ากลิ่นติดแน่นให้โรยทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วจึงดูดออ ก
การขจัดคราบเลือด ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นเช็ดเบาๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมด
คราบเหนียวเหนอะหนะ ใช้ผงฟูทาทับรอยเปื้อน ใช้มือถูเบาๆ ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง จึงเช็ดออก ทาซ้ำอีกถ้ารอยเปื้อนยังไม่หมด
คราบไขมัน ใช้แป้งข้าวโพดทาทับรอยเปื้อน ทิ้งไว้สัก 1 ชั่วโมง จากนั้นเช็ดออก
คราบเขม่าหรือเถ้าถ่าน ให้ใช้เกลือทาทับบางๆ แล้วเช็ดออก
คราบปัสสาวะของเด็ก หรือสัตว์เลี้ยง เช็ดด้วยน้ำธรรมดา 1 ครั้ง จากนั้นใช้น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับสบู่เหลว 1 ช้อนชา เช็ดถูบริเวณรอยเปื้อน ทิ้งไว้ 15 นาที จึงเช็ดออก
อุปกรณ์
1. น้ำยาซักเบาะพรม
2. กระบอกฉีดน้ำ
3. กระป๋องใส่น้ำ
4. ฟองน้ำอย่างดี (แบบไม่เป็นขุย)
5. แปรงขนอ่อน
6. ดไรเป่าผม
7. ผ้าสะอาด
ขั้นตอนการซักเบาะซักพรม
1. ทำความสะอาดเบาะเบื้องต้นก่อน
2. ผสมน้ำยากับน้ำสะอาดในสัดส่วนที่กำหนด
3. ฉีดน้ำยาที่ผสมแล้วลงบนเบาะให้ทั่ว (ฉีดบางๆ)
4. ใช้ฟองน้ำเช็ดเบาๆ ให้ทั่ว
5. ถ้าเห็นว่าสกปรกมากให้ฉีดน้ำยาเพิ่มเข้าไปอีก
6. ใช้แปรงขนอ่อน ขัดเบาๆ ในบริเวณที่สกปรกมาก
7. เมื่อขัดทั่วแล้ว นำน้ำใส่กระป๋องที่เตรียมไว้
8. นำฟองน้ำมาล้างให้สะอาด แล้วบิดน้ำออกพอหมาดๆ
9. ล้างน้ำยาที่อยู่บนเบาะโดยใช้ฟองน้ำค่อยๆ ลูบบนเบาะเบาๆ
10.นำฟองน้ำไปล้างในกระป๋องที่เตรียมไว้ ทำซ้ำหลายครั้งจนฟองบนเบาะน้อยลง
11. ใช้ผ้าสะอาดเช็ดบริเวณเบาะอีกครั้ง โดยทำซ้ำไปซ้ำมาเช่นเดียวกัน จนหมดฟอง
12. นำดไรเป่าผม เป่าบริเวณเบาะให้แห้งพอประมาณ ควรหยุดพักดไรบ้างสลับกันไป
13. นำเบาะไปตากแดด โดยขับรถไปจอดบริเวณกลางแจ้ง ต้องเปิดประตูหน้าต่างออกให้หมด
14. เมื่อเบาะแห้งสนิทแล้ว ต้องตรวจเชคความเรียบร้อยอีกทีเป็นอันเสร็จ
การซักเบาะให้ได้ผลดีนั้น ควรทำในวันที่แดดจัดเนื่องจากความชื้นจะระเหยในอากาศ ได้ง่าย แต่ต้องอาศัยเวลาและความอดทนกันสักหน่อย เพียงเท่านี่รถของคุณจะสะอาด หอมสดชื่น น่านั่งขึ้นอีกเยอะ