ก๊อปปี้เขามาเชื่อว่าน่าจะมีประโยชน์ครับ
ผมเชื่อว่าท้ายรถของหลายคนน่าจะมีสายพ่วงแบตเตอรี่ติดรถคู่ใจของคุณเป็น ประจำ ใช่ไหมครับ หากคุณยังไม่มีสายพ่วงแบตเตอรี่ติดรถ ผมแนะนำให้หาซื้อไว้เถอะครับ โดยเฉพาะคุณ ๆ ที่ใช้รถเกียร์ออโตเมติก เพราะวันดีคืนดีเกิดแบตเตอรี่ไฟอ่อน หรือไฟหมด ขึ้นมา คุณจะได้ใช้ประโยชน์จากสายพ่วงแบตเตอรี่แน่นอนครับ
การพ่วงสายแบตเตอรี่ไม่ยาก แต่ต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง เพราะแบตเตอรี่ ประกอบด้วย น้ำกรดที่มีคุณสมบัติในการกัดกร่อน ขณะที่ถูกใช้งานจะเกิดก๊าซไฮโดรเจน และถ้าถูกประกายไฟ จะเกิดการระเบิดได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ผมแนะนำให้คุณ ปฏิบัติดังนี้ครับ
1. นำรถมาจอดชิดกันเว้นระยะห่างเพื่อไม่ให้ส่วนที่เป็นโลหะ (กันชนเหล็ก) สัมผัสกัน
2. เปิดฝาช่องเติมน้ำกลั่นออกให้หมดทั้ง 2 คัน และใช้ผ้าคลุมแทน
3. ระหว่างสายแบตเตอรี่ต่อพ่วงอยู่ห้ามปลายสาย ทั้งสายบวกและสายลบสัมผัสกัน เพราะจะทำให้เกิดประกายไฟ
4. ห้ามสูบบุหรี่
ขั้นตอนการพ่วงสายแบตเตอรี่ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. ปิดสวิตช์กุญแจและอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดของรถคันที่ แบตเตอรี่ไม่มีไฟ
2. ใช้สายพ่วงสีแดงสายบวก (+) นำหัวต่อสายกับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่ ที่ไม่มีไฟ หัวสายที่เหลือต่อเข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่ที่มีไฟ
3. ใช้สายพ่วงสีเขียว (หรือสีดำ) สายลบ (-) นำหัวสายต่อกับขั้วลบ (-) ของแบตเตอรี่ ที่มีไฟ หัวสายที่เหลือต่อเข้ากับส่วนที่เป็นโลหะของเครื่องยนต์ หรือตัวถังรถคันที่ แบตเตอรี่มีไฟน้อย โดยห่างจากแบตเตอรี่มากที่สุด
4. สตาร์ตเครื่องยนต์ที่แบตเตอรี่มีไฟแล้วเร่งเครื่องเล็กน้อย
5. สตาร์ตเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่ไฟหมด ถ้ามอเตอร์สตาร์ตยัง หมุนช้า ตรวจเช็กสายพ่วงดูว่าคีบแน่นหรือไม่ จากนั้นเร่งเครื่องประมาณ 2,000 รอบ/นาที จนแน่ใจว่าเครื่องยนต์ไม่ดับจึงปล่อยคันแร่ง
6. เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้ว ถอดสายลบ (-) โดยถอดหัวสายออกจากตัวถังรถ แบตเตอรี่ไฟน้อย ถอดหัวสายลบที่เหลือออกจากขั้วลบของแบตเตอรี่ไฟดี ถอดสายบวก (+) โดยถอดหัวสายออกจากขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่ไฟน้อย ถอดหัวสาย (+) ที่เหลือออกจากขั้วบวก (+) รถแบตเตอรี่ไฟดี ตามลำดับ
7. ปิดฝาช่องเติมน้ำกลั่นให้ครบทุกช่อง นำผ้าคลุมที่ใช้แล้วไปทิ้ง
ขอย้ำนะครับว่าคุณควรปฏิบัติตามขั้นตอนทั้ง 7 ข้อตามลำดับ
เมื่อรถสตาร์ตติดแล้วควรรีบนำรถคู่ใจของคุณเข้าตรวจเช็กที่ศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็กสภาพ หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่ต่อไปครับ