ถามอีกนิดครับ เรื่องน้ำยาหล่อเย็นมีผลรึเปล่าครับ เพราะตอนที่ไปเปลี่ยนหม้อน้ำ ช่างบอกว่าอย่าใช้หล่อเย็นเลย ก็เลยเติมน้ำเปล่าให้
มีผลที่ว่าคืออะไรครับ

แต่ถ้าถามว่าควรใช้ไหม อันนี้ตอบว่าสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ เพราะอะไร
อันนี้ลอกมาให้อ่าน
เครดิต
http://www.autokoolant.com/index.php?mo=3&art=41984777
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับน้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำ
เรื่องของการเกิดโอเวอร์ฮีทในรถยนต์ซึ่งถ้าจะว่ากันตามจริงแล้วไม่ใช่แค่รถ ยนต์เท่านั้นที่จะโอเวอร์ฮีท รถปิคอัพและอื่น ๆ ที่ใช้ระบบการระบายร้อนด้วยน้ำ โดยมีหม้อน้ำและอาศัยลมเป็นตัวช่วยระบายความร้อน (เช่น พัดลมหม้อน้ำ) โอกาสที่จะเกิดโอเวอร์ฮีทมีเท่าเทียมกันหมด ดังนั้นผู้ใช้รถจำนวนมากในปัจจุบัน จึงให้ความสนใจกับการใช้น้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำกันมากขึ้น โดยน้ำยาในท้องตลาดมีจำหน่ายอยู่มากมายหลายยี่ห้อด้วยกัน มีทั้งนำเข้าจากต่างประเทศและผลิตในประเทศ โดยวัตถุประสงค์หลัก ๆ ของน้ำยานี้ใช้เติมลงในหม้อน้ำเพื่อป้องกันการแข็งตัวและช่วยระบายความร้อน ของน้ำในหม้อน้ำ (ANTIFREEZE & COOLANT) ส่วนใหญ่จะใช้สารเคมีที่ชื่อว่า ETHYLENE GLYCOL เป็นส่วนประกอบ
ETHYLENE GLYCOL นั้นมีจุดเดือดสูงกว่าน้ำถึงสองเท่าตัว(197.3 °C) ไม่มีสี มีรสหวาน แต่เป็นพิษ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ใช้ระบายความร้อนของเครื่องบิน ปัจจุบัน ETHYLENE GLYCOL ถูกทำให้จือจางลงใน ANTIFREEZE & COOLANT เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้ในรถยนต์ โดยเฉพาะในรถยนต์ใหม่ ๆ ที่ออกมาจากโรงงานนั้น จะมีส่วนผสมของน้ำยานี้อยู่ถึง 50% นั่นหมายถึงถ้าหากว่าหม้อน้ำมีขนาดความจุประมาณ 5 ลิตรก็จะมีน้ำยาผสมมา 2.5 ลิตร โดยเจ้าน้ำยานี้หากผสมกับน้ำในอัตราส่วน 30:70 (ANTIFREEZE & COOLANT 30 %น้ำ 70%) จุดเดือดของน้ำจะเพิ่มขึ้นเป็น 120 องศาเลยทีเดียว
เมื่อ รถยนต์ผ่านการใช้งานไปผู้ใช้มักไม่คำนึงอัตราส่วนเหล่านี้นัก บางคนไม่ทราบเลยด้วยซ้ำ รู้แต่เติมน้ำยา 1 กระป๋อง หรือ 1 ขวด (แล้วแต่การบรรจุของแต่ละยี่ห้อ) ลงในหม้อน้ำเวลามีการเปลี่ยนหม้อน้ำ หรือ เวลามีการเปลี่ยนถ่ายน้ำในหม้อน้ำแค่นั้นก็เพียงพอแล้วในความเป็นจริงนั้น น้ำยาเหล่านี้ไม่ได้ช่วยในการระบายความร้อนเท่าไร แต่ทำให้จุดเดือดของน้ำที่มีน้ำยานี้ผสมอยู่สูงขึ้น น้ำก็เลยเดือดช้าลง ทว่าคุณสมบัติด้านอื่นของน้ำยานี้ที่ต้องยอมรับว่ามีความจำเป็นสำหรับหม้อ น้ำนั้นคือการป้องกันสนิมและ การกัดกร่อน เพราะหม้อน้ำของรถยนต์โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ นิยมทำจากอะลูมิเนียม ซึ่งสามารถเกิดตะกรันและเกิดการกัดกร่อนได้ง่าย สังเกตได้จากการลองถอดท่อยางที่ต่อจากหม้อพักน้ำดูก็ได้ จะพบว่ามีคราบและร่องรอยของการเกิดตะกรัน ในบางคันอาจถูกกัดกร่อนจนผุแหว่ง ซึ่งจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดการอุดตันของหม้อน้ำและทางเดินน้ำ อันจะนำสู่ปัญหาของการระบายความร้อน ทำให้เกิดการโอเวอร์ฮีทได้
ETHYLENE GLYCOL เป็นสารที่มีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต หากเกิดการดื่มกินเข้าไปแม้ปริมาณเพียงเล็กน้อยจะไปออกฤทธิ์ต่อไตทำให้เกิด อาการไตวายและอาจเสียชีวิตได้ แต่เพราะคุณสมบัติหลัก ๆ ที่สำคัญมีความจำเป็นต่อเครื่องยนต์ทำให้มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยที่คุณสมบัติในการป้องกันการเกิดสนิมและการกัดกร่อนนั้นสามารถครอบคลุม ได้หมด แม้ว่าชุดระบายความร้อนจะประกอบไปด้วยอะลูมิเนียม ทองแดง เหล็กเหนียว เหล็กหล่อ หรือแม้แต่ตะกั่วบัดกรีก็ตาม
เมื่อมีทั้ง ประโยชน์และอันตรายควบคู่กัน การเก็บรักษาจึงควรระมัดระวัง โดยจัดเก็บให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง เพราะอุปกรณ์บำรุงรักษารถยนต์นั้นมักถูกมองว่าไม่มีอันตรายซึ่งยังไม่ถูก ต้องนัก
ยังมีสารอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ ETHYLENE GLYCOL และกำลังถูกพัฒนาเพื่อที่จะนำมาใช้ทดแทน ETHYLENE GLYCOL นั่นคือ PROPYLENE GLYCOL เพราะเหตุว่ามีอันตรายน้อยกว่านั่นเอง ในอนาคตเราคงมีทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับน้ำยาระบายความร้อนหม้อน้ำ
น้ำยา ระบายความร้อนหม้อน้ำ (ANTIFREEZE & COOLANT) ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเครื่องยนต์อยู่ดี และเมื่อรับรู้ถึงอันตรายอันอาจเกิดขึ้นได้ ในการใช้ครั้งต่อไปก็เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าเดิมนะครับ
หน้าที่หลักๆขอน้ำยาหม้อน้ำคือ
1ป้องกันน้ำในระบบแข็งตัวเป็นน้ำแข็งในจังหวะสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ๆ (เมืองนอกที่อากาศติดลบทั้งหลาย)
2เพิ่มจุดเดือนน้ำ คือชลอการละเหยของน้ำในระบบหล่อเย็นเวลาเครื่องยนต์ร้อนจัด (ข้อนี้สำหรับเมืองร้อนด้วย)
เพราะเวลาน้ำเดือดน้ำจะระเหยกลายเป็นไอ ลองต้มน้ำในหม้อดูสิครับ น้ำเปล่าเริ่มระเหยเป็นไอที่ 100C ํ
ถ้าผสมน้ำยาก็จะระเหยที่ 105 / 110 / 115 องศาเซลเซียส ....ตามสัดส่วนการผสม...
3ป้องกันการเกิดสนิม ตะกอน พอมีสนิมก็ผุ กร่อน.มีตะกอน.(ลดความเสี่ยงในการอุดตันในหลอดน้ำที่รังผึ้งหม้อน้ำ)
4หล่อลื่นปั๊มน้ำและซีลปั๊มน้ำ และวาล์วน้ำ (อันนี้เกี่ยวเนี่องจากข้อ3 เพราะไม่มีตะกรัน ตะกอน)