สงกรานต์ หลวงพระบาง 52 (day 2 ปากแบง-หลวงพระบาง 10 เมสา 2009)

[Uncle_T]

(เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับนักเดินทาง)
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราจากทะนาคานกานค้าต่างปะเทดลาว ประจำวันที่ 9 มีนา 2010  ซื้อ 257.67กีบ/บาท  ขาย 258.97 กีบ/บาท  

เราเริ่มต้นเดินทางเมื่อวันที่ 9 เมสา 2009 ที่ http://www.welovecivic.com/forum/index.php/topic,55189.0.html

[Uncle_T]

วันที่ 10 เมษายน 2552 วันที่ 2 ของการเดินทางครั้งนี้ จากปากแบง สู่หลวงพระบาง วันนี้เราคงยังอยู่ในเรือทั้งวัน

เมื่อคืนฝนตกเกือบค่อนรุ่งแล้ว ทำให้อากาศยิ่งเย็นสบาย 7 โมงเช้าอาบน้ำเสร็จเตรียมตัวไปเดินตลาด สภาพทั่วไปของเรือนพัก ตรงบันไดทางขึ้น ผมเห็นภาพน่ารัก ของลูกสุนัขหลายตัวนอนรวมกันอยู่บนพรมเช็ดเท้า เข้าใจว่าพื้นกระเบื้องคงจะเย็น

[Uncle_T]

เกือบ 8 โมงเช้าเดินไปถึงเขตตลาดปากแบง ควันไฟจากเตา บ่งบอกถึงความมีชีวิต ที่ยังดำรงอยู่

[Uncle_T]

เดินลึกเข้ามาในตลาด สภาพบ้านเรือน ร้านค้า ที่พักแรม สองข้างทางดูใหม่ตา

[Uncle_T]

ในที่สุด ก็เดินมาจนสุดตลาด ที่ตรงนั้นเป็นตลาดสดของปากแบง เราเดินเข้าไปดูพักหนึ่ง ก็กลับออกมาหาร้านอาหารเช้า

[Uncle_T]

เลือกร้าน "ภักดี" ที่เมื่อคืนตาไก่ ซื้อช๊อคมัฟฟินไปจากร้านนี้ มี breakfast บริการในราคา @ 30,000 กีบ แต่ดูวิวซะก่อน มองจากโต๊ะนั่งทานอาหารกันเลย

[Uncle_T]

30,000กีบ กับครัวซองต์ ขนมปัง น้ำส้มสด และผลไม้รวม 1 ชาม มีสาลี่ แพร์ กล้วยหอมและสัปปะรด ท่าทางตาไก่จะยังไม่อิ่ม

[Uncle_T]

บรรจุอาหารเช้าลงกระเพาะเสร็จเกือบ 9 โมง รีบกลับที่พักเก็บของเดินลงมาที่ท่าเรือ มีเด็กมารับจ้างแบกกระเป๋าถึงที่

บนฝั่งผมซื้อน้ำทิพย์ขนาด 1.5 ลิตร ติดไปดื่มระหว่างเดินทางในราคาขวดละ 28 บาท

[Uncle_T]

วันนี้เปลี่ยนเรือดูสภาพดีกว่าและใหม่กว่าเมื่อวาน แต่ที่นั่งยังเหมือนเดิม เรือลำนี้เบอร์ 053

[Uncle_T]

หวัดดีครับ nay ตามดูแล้วจะรู้ว่าได้อะไรบ้าง

ตัวเรือช้าทั่ว ๆ ไป ส่วนหัวเรือจะเป็นที่นั่งผู้โดยสารได้ประมาณ 80 คน ถัดมาเป็น เคาน์เตอร์บาร์ ตรงนี้จะขายของกิน เครื่องดื่ม เบียร์ลาว และข้าวจี่ ในราคาพอสมควร^2  ถัดไปเป็นห้องน้ำ แล้วถึงห้องเครื่องยนต์เรือ สุดท้ายจะมีห้องท้ายเรือยาวประมาณ 10 กว่าเมตร ซึ่งตรงนี้ยังบรรทุกผู้โดยสารได้อีกไม่ต่ำกว่า 20 คน แต่เมื่อปี 51 มาแบบทัวร์เหมาลำ ห้องโดยสารท้ายเรือถูกปรับสภาพเป็นห้องครัว มีแม่ครัวและอุปกรณ์ทำอาหารเลี้ยงคน 80 กว่าคน คราวที่แล้วเราใช้เวลาขาไปเพียงวันเดียวเพราะออกเช้า แต่ขากลับต้องวิ่งทวนน้ำ เลยต้องจอดนอนปากแบง 1 คืน รวมอยู่บนเรือถึง 3 วัน

[BEbenjamin]

ได้บรรยากาศดีจัง 

[@GuY]

ภาพนี้ขนลุกนะลุง

[Uncle_T]

ตาไก่ขนลุกง่ายจัง ภาพบนเป็น Pano จาก 3 รูปเดิม ครับ

เรืออกจากท่าประมาณ 10 โมง คนแน่นกว่าเมื่อวานมาก ระหว่างทางก็จอดรับผู้โดยสารตลอดทาง

ลาก่อนปากแบง เมืองน้อย ๆ แห่งแขวงอุดมไชย หากมีโอกาสอยากจะมาใช้เวลาอยู่ที่นี่ให้มากกว่านี้

[Uncle_T]

ออกจากท่ามาไม่นานก็พบตัวการทำลายป่า อยู่ตรงนี้เอง เพิ่งนึกขึ้นได้ที่เห็นท่อนไม้ไม่ถึงขนาดที่เรียกว่าซุง ใช้ช้างลาก มาลงเรือจนตลิ่ง ราบไปเลย

วันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นภาพเกี่ยวกับน้ำเกือบทั้งหมดนะครับ เพราะทั้งวันอยู่แต่ในเรือ

[Uncle_T]

ชั่วโมงเศษ ๆ ก็จอดรับผู้โดยสารแห่งแรก เพิ่งสังเกตุเห็นตอนเขาเข็นมอเตอร์"ซค์ ลงจากหัวเรือตรงที่ธงปักไว้นะแหละ ที่หัวเรือมีอยู่นิดเดียวไม่กลัวมันตกน้ำเลย ขวามือจะเห็นตัวจริงของ Speed Boat หรือเรือเร็ว ตัวนี้แหละใช้เวลาวิ่งจากห้วยซาย ถึงหลวงพระบางเพียง 6 ชั่วโมงกว่า ๆ ในขณะที่เรือช้าที่เรานั่งมาใช้เวลา 2 วัน

[Uncle_T]

ธรรมชาติสองฝั่งโขง ผมว่ามันสงบดีอ่ะ ยังเป็นอะไรที่เดิม ๆ ไร้การปรุงแต่ง น่าค้นหา

[Uncle_T]

ประมาณเที่ยงกว่า เรือจอดรับส่งผู้โดยสารอีกหมู่บ้านหนึ่ง ที่นี่คึกคักไปด้วยแม่ค้านำอาหารสดและย่างสำเร็จมาขาย

[bangsaen6]

น่าไปจัง :-*แบบนี้แหละธรรมชาติ

[Uncle_T]

เรือผ่านแก่งอีกแห่ง ทุกครั้งที่ผ่าน ความเร็วของเรือจะเพิ่มขึ้น น้ำต่างระดับ เป็นคลื่นดูเชี่ยวกรากน่ากลัว

[Uncle_T]

เมื่อเรือพ้นแก่ง ทางน้ำก็กว้างขึ้น ดูสายน้ำเงียบสงบ อาหารกลางวันวันนี้เหมือนเดิม มาม่าที่ติดตัวมาจากเมืองไทย หลังอิ่มจากบะหมี่สำเร็จรูป ผมคว้ากล้องเดินไปที่หัวเรือ

[Uncle_T]

เรือช้าที่วิ่งระหว่างห้วยซาย-หลวงพระบาง เจ้าของเรือลงทุนเองลำละประมาณ 8-9 แสนบาท แล้วมาเข้าวินเรือกับรัฐบาลลาว เสียค่าวินเดือนละ 85,000 กีบ + รายได้จากการวิ่งเรือ 5% ส่วนค่าใช้จ่ายหลักก็จะเป็นค่าน้ำมันเที่ยวละประมาณหมื่นกว่าบาท

[Uncle_T]

ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ก็จะเป็นลูกเรือ 2-3 คน เพื่อคัดท้าย - หัวเรือเวลาเข้าจอดเทียบท่า หรือขนของ  นอกจากนั้นยังมีค่าจ้างคนคอยโบกสัญญาณบนโขดหินช่วงทางน้ำแคบ ๆ ครั้งละ 1 หมื่นกีบ คนโบกจะทำงาน 6 โมงเช้า - 6 โมงเย็น

[Uncle_T]

ภาพข้างล่างจะเห็นหลักคอนกรีตรูปร่างแบบนี้ ทาหัวเสาสีเขียวอยู่บนโขดหินในลำน้ำเป็นระยะ  คนเรือบอกว่าช่วงน้ำขึ้น น้ำท่วมมองไม่เห็นโขดหิน แต่จะมองเห็นเสานี้ เรือก็จะรู้ว่ามีหินใต้น้ำ จะได้ไม่เข้าใกล้

[Uncle_T]

สี่โมงเย็นแล้ว เรือผ่านบ้านลาดหาน ยังอยู่ในแขวงอุดมไชย แสดงว่าเข้าใกล้แขวงหลวงพระบางอีกไม่นาน ภูเขาข้างทางเริ่มเปลี่ยนเป็นภูเขาหินปูน

[Uncle_T]

บ่ายสี่โมงครึ่ง ซ้ายมือของเรือจะเห็นภูเขาหินปูนรูปร่างสวยงาม ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของจุดบรรจบของ "แมน้ำโขง" กับ "แม่น้ำอู"

แม่น้ำนี้มีต้นกำเนิดจากลำห้วยเล็กๆในมลฑลยูนนาน ของจีน ไหลเข้าเขตลาว ผ่านแขวงพงสาลี แขวงอุดมไซและไหลผ่านเมืองงอย แขวงหลวงพระบาง มาบรรจบกับแม่น้ำโขงบ้านปากอู ความยาวรวม 448 กิโลเมตร นับว่าเป็นแขนงใหญ่ของแม่น้ำโขงแห่งหนึ่งในเขตลาวเหนือ

[Uncle_T]

ตรงข้ามกับ "ปากอู" เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่ง ถูกจัดเข้ามาในลิสต์ท่องเที่ยวของหลวงพระบาง คือ "ถ้ำติ่ง"

เรือผ่านไปโดยไม่จอดเพราะไม่ใช่เรือท่องเที่ยว หากจะเที่ยวก็เช่าเรือจากหลวงพระบางกลับมา ใช้เวลาชั่วโมงครึ่ง หรือเช่ารถมาทางปากอู (ปากแม่น้ำอู) แล้วมาข้ามเรือตรงนี้ สภาพเป็นถ้ำอยู่บนเขาริมน้ำ มี 2 ตอน ภายในถ้ำจะมีพระพุทธรูปเก่า ๆ ผุพังก็มีมากมาย สามารภเปิดเว็ปดูได้หากสนใจ

อีกไม่เกินชั่วโมงครึ่งเราก็จะถึงหลวงพระบางแล้วซิ

[@GuY]

ตามลุง มาดูตลอด

ลุง ขยายฟ้อนหน่อยครับ ตัวเล็กปวดตาอะ   

[Uncle_T]

เรือผ่านถ้ำติ่งแค่โค้งน้ำ ซ้ายมือเราจะเป็น "บ้านซ่างไห่" หมู่บ้านนี้ถนัดต้ม สรถ. ปีก่อนขึ้นไปเห็นเตาต้มอยู่ 4 เตา ของลาวเขาไม่ผิดกฏหมายครับ อย่างอื่นก็เป็นพวกผ้าทอสวย ๆ และเหล้าที่มีงูหรือแมงป่องดองอยู่ในขวด ส่วนของอื่น ๆ น่าจะมาจากจีนหรือเวียด

รูปถัดไปถ่ายเมื่อ มีนาคม 2007 จะเห็นปีก่อนยังมีหาดทราย แต่ปีนี้หาดทรายหายไปกลายเป็นตลิ่ง เพราะทางน้ำเปลี่ยน "อะไร ๆ มันไม่แน่นอนนะครับ"

[Uncle_T]

แสงแดดอ่อนแรงลงมากแล้ว วิถีชิวิตผู้คนริมโขง อีกแบบก็เริ่มขึ้น มีทั้งหาขุมทรัพย์จากแม่น้ำ

[Uncle_T]

และใช้สายน้ำเป็นที่หล่อเลี้ยงชีวิต  ภาพที่เห็นเหมือนกับกรอภาพยนต์เก่าที่เมืองไทยกลับมาฉายใหม่

[Uncle_T]

17.45 น. ในที่สุดเรามองเห็นจุดบรรจบของ "ลำน้ำคาน" ที่ไหลสู่ลำโขง หลังปากน้ำคาน จะเป็นทางขึ้นของ "วัดเชียงทอง"  และตัวเมืองหลวงพระบาง

[Uncle_T]

ไม่เกิน 10 นาทีจากปากน้ำคาน เรือก็ชลอความเร็วลงและเทียบท่าเรือ "หลวงพระบาง"

ในที่สุดการเดินทาง 2 วันเต็ม ๆ ก็ถึงจุดหมายปลายทาง ราชธานีโบราณแห่งอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง

[Uncle_T]

ขึ้นจากเรือก็ลากกระเป๋า เดินหาที่พัก ผมได้ที่พักตามโซนที่อยากได้คือ ใจกลางเมือง ซึ่งสะดวกต่อการไปไหนมาไหนในเมืองแห่งนี้

"เรือนพักสักกะลิน" คืนละ 600 บาท มีห้องน้ำในตัว เตียงใหญ่ 1 เตียงเล็ก 1 แอร์พร้อมแต่ไม่มีอาหารเช้า ค่อนข้างแพงสำหรับเกสต์เฮาส์

[Uncle_T]

ได้ที่พักเสร็จ ก็ออกล่าเหยื่อ เอ๊ย หาอาหารเย็น ออกจากที่พัก 50 เมตรก็ถึงตลาดกลางคืน เดินผ่านตลาดไปก็จะเป็นโซนอาหาร

[Uncle_T]

แถบขายอาหารก็มีหวยขายด้วย จากการสืบหาข้อมูลล่วงหน้าในเน็ท จะมีอาหารบุฟเฟต์ราคาถูตรงนี้ ราคาแค่มื้อละ 5,000 กีบ (ประมาณ 20 บาท) 

พอเจอร้านก็รี่เข้าใส่จ่ายตังค์ก่อน แล้ว....เจ้าของก็ให้จานตื้นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางซัก 5 นิ้ว แถมบอกว่าตักได้ครั้งเดียว เห็นฝรั่งตักพูนไปหน่อย ชีก็บ่นใส่ อาหารทั้งหมดเป็นอาหารเจ จริง ๆ ไม่เป็นร้านหรอก แต่เป็นแผงลอยอยู่ริมถนนหน้าบริษัทลาวเทเลคอม

[Uncle_T]

เสร็จจากอาหารเย็นที่ no car no nation ก็เดินกลับมาผ่านตลาดกลางคืน ตาไก่ได้กระเป๋าย่ามสีเขียวมา 1 ใบ เดินไปเหล่ฝรั่งหน้าร้านเครป ก่อนเข้าที่พักแวะร้านเน็ทรายงานเข้า WLC ซะหน่อย ผมเข้าที่พักก่อนเพราะข้อเท้าเริ่มเจ็บ สงสัยนั่งเรือนานเกินไป เก๊าท์รัปประทาน ส่วนตาไก่แวะนวดแผนโบราณ กว่าจะกลับมาเกือบเที่ยงคืน

คืนนี้เราหลับไปพร้อมกับข่าวความไม่สงบจากกรุงเทพ ซึ่งทีวีที่ห้องพักรับได้

[Uncle_T]

ติดตามชมตอนต่อไปใน day 3 นะครับ ขอบคุณครับ

โทษทีครับน้าไก่ เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าให้ขยายฟ้อน เอาเป็นว่าคราวหน้าเป็น size 18 Angsana New พอมั๊ยครับ

[@GuY]

ติดตามชมตอนต่อไปใน day 3 นะครับ ขอบคุณครับ

โทษทีครับน้าไก่ เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าให้ขยายฟ้อน เอาเป็นว่าคราวหน้าเป็น size 18 Angsana New พอมั๊ยครับ

ได้ครับลุง

แต่ลุงบรรยายได้ซึ้งกว่าผมสะอีก

ผ่านไป 1 ปี ยังจำตราตรึง