หัวข้อ: "No pain No gain" เริ่มหัวข้อโดย: ITc@t ที่ 19 พฤศจิกายน 2009, 11:00:02 The good inspiring story based on lessons learned as 'No Pain No Gain'... or the Power of Failure...
ในระหว่างทานข้าวกลางวัน วนิดาซึ่งเป็นซีอีโอ ถามกิตติผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งที่รายงานตรงต่อเธอว่า ? กิตติ พี่สังเกตว่าคุณไม่เคยปิดมือถือเลย แม้กระทั่งเวลาประชุม แล้วพี่ก็เห็นคุณขอตัวออกไปจากที่ประชุมกลางคันเพื่อรับโทรศัพท์ พี่อยากรู้ว่าเป็นโทรศัพท์ของใครหรือ ทำไมมันสำคัญขนาดรอจนจบประชุมไม่ได้ พี่เห็นเป็นประจำเลยนะ ? กิตติมีท่าทีอึดอัด เขาตอบว่า ? ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องส่วนตัวนะครับ ผมขอโทษ ? วนิดายิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดี เธอเงียบไปสักครู่จึงพูดต่อ ? กิตติ เราสองคนทำงานด้วยกันมาพอสมควร คิดว่าพี่เป็นพี่สาวของคุณก็ละกัน เพราะพี่อายุมากกว่าคุณสองสามปี มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังซิคะ เผื่อว่าพี่อาจจะแนะนำอะไรให้ได้บ้าง ? วนิดาเลือกใช้แนวทางพี่น้อง แทนที่เธอจะตำหนิเขาโดยตรง ในเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในที่ประชุมแบบเจ้านายกับลูกน้อง วิธีนี้ได้ผล! กิตติสารภาพออกมาแบบกระอักกระอ่วน ? ก็...คือว่า...พี่อย่าโกรธผมนะครับ มันเป็นโทรศัพท์มาจากลูกสาวผมเอง เธอเพิ่งไปเรียนไฮสคูลที่ออสเตรเลียเมื่อไม่กี่เดือน โรงเรียนที่ลูกสาวผมเรียนนี้ค่อนข้างจะเข้มงวด แถมมีการบ้านจมเลย ตอนลูกสาวผมเรียนที่นี่ ผมช่วยติวและทำการบ้านร่วมกับเธอบ่อยๆ ลูกคนเดียวเธอคือดวงใจของผมเลยครับ ผมบอกเธอว่าไปอยู่นั่น ติดขัดเรื่องการบ้านละก็โทรมาหาผมได้ทุกเมื่อไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ผมจะคอยช่วยเหลือเธอผมไม่ต้องการเห็นเธอล้มเหลว ตอนค่ำเมื่อกลับบ้านผมก็แทบจะไม่ได้พักผ่อน แต่จะไปช่วยเธอทำการบ้านแล้วก็แฟ็กซ์ส่งไปเรื่องคณิตศาสตร์บ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง ผมอยากให้เธอประสบความสำเร็จ ผมต้องขอโทษที่บริหารเวลาไม่ค่อยได้เรื่อง ? กิตติจบเรื่องลงด้วยท่าทีละอายใจ วนิดาแสดงความเห็นใจ ? เรื่องของคุณมันฟังแล้วคุ้นๆมากเลย พี่พอจะจินตนาการออก ถึงความลำบากใจของเธอ พี่เองก็มีลูกสาวเรียนปริญญาโทอยู่ที่อเมริกา พี่เคยทำแบบคุณเหมือนกัน เพราะลูกสาวพี่จบตรี แล้วไปต่อโทเลย จึงไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน ดังนั้นพอทำกรณีศึกษาก็มักจะ ไม่ทันเพื่อนเขา หรือไม่เข้าใจ แถมยังไม่กล้าถามอาจารย์อีก พี่เลยต้องช่วยทำเคส แล้วก็อีเมล์ไปให้เธอ แต่ว่าตอนนี้พี่หยุดช่วยเธอแบบนั้นแล้วล่ะค่ะ ? กิตติถามด้วยความประหลาดใจ ? ทำไมล่ะครับ พี่ไม่รักเธอแล้วหรือ หรือว่าพี่เห็นว่างานมีความสำคัญกว่าครอบครัวครับ ? วนิดาตอบพร้อมกับยิ้มอย่างอารมณ์ดีว่า ? พี่ยังรักลูก และเห็นคุณค่าของครอบครัวและงานเหมือนเดิม พี่โชคดีที่มีเพื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่ง เขาสังเกตเห็นวิธีที่พี่ช่วยลูกสาว แล้ววันหนึ่งเขาก็ให้หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The Power of Failure โดย Charles C. Manz และมีการแปลเป็นไทยในชื่อ วิกฤติคือโอกาส โดยพสุมดี กุลมา เรียบเรียงโดย นราทิป นัยนา เพื่อนอเมริกันเขาคั่นเรื่องๆหนึ่งให้พี่อ่านโดยเฉพาะเลย พี่จะเล่าให้เธอฟัง ? .......... มีชายคนหนึ่งนั่งมองผีเสื้อที่กำลังดิ้นรนจะออกจากรังไหม เจ้าผีเสื้อดิ้นรนไปซักพัก จนกระทั่งใยรังไหมเริ่มขาดเป็นรูเล็กๆ ชายคนนั้นมองด้วยความสนใจ เจ้าผีเสื้อดูเหมือนจะหยุดไป ที่จริงผีเสื้อมันพักเพื่อที่จะดิ้นรนต่อไป แต่ว่าชายคนนั้นคิดไปเองว่าผีเสื้อคงติดใยรังไหม ไม่สามารถจะออกมาได้ด้วยตนเอง ด้วยความหวังดี เขาจึงนำกรรไกรขนาดเล็กมาตัดใยรังไหมนั้น ทำให้รูมันขยายใหญ่ขึ้น เจ้าผีเสื้อเห็นรูขยายใหญ่ขึ้นมันก็คลานต้วมเตี้ยมออกมา แต่เขาสังเกตว่าตัวมันมีขนาดเล็กกว่าปกติ ปีกเหี่ยวย่น แถมลำตัวของเจ้าผีเสื้อก็มีลักษณะบวมผิดปกติ กลายเป็นว่าในขณะที่ผีเสื้อต้องดิ้นรนออกแรงตะเกียกตะกาย เพื่อพยายามจะดันตัวมันออกจากรังไหมนั้น เป็นกระบวนการธรรมชาติที่จะกระตุ้นให้ของเหลวชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในลำตัวผีเสื้อเคลื่อนที่มาสู่ปีก เพื่อทำให้ปีกแข็งแรงเพียงพอจะบินได้ ด้วยความปรารถนาดีของชายคนนั้น ผีเสื้อตัวนี้ปีกจึงเหี่ยวย่นไม่แข็งแรงเพียงพอจะบินได้ แถมยังมีรูปร่างพิกลพิการ เพราะของเหลวที่ควรจะอยู่ที่ปีก ดันไปติดคั่งค้างอยู่ที่ลำตัว เจ้าผีเสื้อตัวนี้ออกจากใยมาได้ด้วยความสบาย แต่ต้องพิกลพิการ และบินไม่ได้ไปชั่วชีวิตของมัน ..... อุปสรรคและความล้มเหลวในชีวิตของคน ก็คล้ายๆกันกับสิ่งที่เจ้าผีเสื้อเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ ความก้าวหน้าในชีวิต การพัฒนาทักษะ ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น ล้วนแล้วแต่น่าสงสารและน่าเห็นใจ แต่จะได้คุณค่ามาก็ด้วยการล้มเหลวอย่างถูกวิธี เราจะคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต โดยไม่มีความล้มเหลวนั้นเป็นไปไม่ได้ เมื่อเราเผชิญอุปสรรค แล้วเราหลีกเลี่ยงที่จะแก้ไขหรือต่อสู้กับมัน เท่ากับว่าเรากำลังเสียโอกาสสำคัญในการเรียนรู้บทเรียนที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในชีวิตของคน กิตติฟังด้วยความสนใจ ? โอ้โฮ เรื่องนี้จุดประกายน่าดูครับ แต่ผมกลัวว่าลูกผมจะเกลียดผมนะซีครับ ? วนิดาเสริมต่อ ? มีคำพูดที่ว่า 'No pain No gain' "ไม่เจ็บ ไม่ได้เรียนรู้" ที่จริงพวกเรานะผิดเองที่ป้อนลูกๆ เรามากไป สำหรับกรณีของพี่ พี่อธิบายให้ลูกเขาเข้าใจด้วยการเล่าเรื่องนี้แหละ หลังจากนั้น พี่ก็ขอโทษสำหรับการให้ความช่วยเหลือลูกแบบผิดๆในอดีต ลูกๆ ของเราเขาฉลาดพอจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้นะ ... กิตติ คุณลองมองไปรอบๆตัวเราสิ เรามีพนักงานที่มีความรู้ มาจากครอบครัวที่มีฐานะ หลายคนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ พวกเขาไม่อดทนต่อปัญหาและอุปสรรค คนที่ควรถูกตำหนิคือ พ่อแม่ของเขา คุณอยากถูกคนอื่นเขาต่อว่าแบบนี้ในอนาคตไหมล่ะ แถมลูกๆ ของเรายังอ่อนแอไม่สามารถจะฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคได้ .. ... คุณมีสิทธิ์เลือกนะ ? ? หัวข้อ: Re: "No pain No gain" เริ่มหัวข้อโดย: love ek ที่ 19 พฤศจิกายน 2009, 11:08:13 ยาวไปหน่อย :-[ :-[
แต่อ่านแล้วเยี่ยมครับ :-* :-* หัวข้อ: Re: "No pain No gain" เริ่มหัวข้อโดย: Tingly ที่ 19 พฤศจิกายน 2009, 11:16:18 เคยได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกันค่ะ เป็น เรื่องที่ดีมากเลย
หัวข้อ: Re: "No pain No gain" เริ่มหัวข้อโดย: fomote ที่ 19 พฤศจิกายน 2009, 11:28:26 :'( I want to process problems.
:( I would like to advice from you. :( For you butterfly the disabled. หัวข้อ: Re: "No pain No gain" เริ่มหัวข้อโดย: อี๊ดซ่าส์ ที่ 19 พฤศจิกายน 2009, 12:20:41 ไม่เจ็บ ไม่ได้เรียนรู้ 8) 8) 8)
ขอบคุนนะค่ะพี่โอ๊ต น่ารักจัง :-* หัวข้อ: Re: "No pain No gain" เริ่มหัวข้อโดย: KobAngel ที่ 19 พฤศจิกายน 2009, 13:02:16 ไม่เจ็บ ไม่ได้เรียนรู้ 8) 8) 8) ขอบคุนนะค่ะพี่โอ๊ต น่ารักจัง :-* :) :) :) หัวข้อ: Re: "No pain No gain" เริ่มหัวข้อโดย: kookuky ที่ 19 พฤศจิกายน 2009, 22:13:37 8)
หัวข้อ: Re: "No pain No gain" เริ่มหัวข้อโดย: Tikkz ที่ 19 พฤศจิกายน 2009, 22:29:25 :-*
เจ็บแล้วจำ คือคน เจ็บแล้วทน................. :'( หัวข้อ: Re: "No pain No gain" เริ่มหัวข้อโดย: s_kungten ที่ 19 พฤศจิกายน 2009, 22:41:44 8) 8)
หัวข้อ: Re: "No pain No gain" เริ่มหัวข้อโดย: นายต้นตระกูล ที่ 20 พฤศจิกายน 2009, 08:23:02 ชอบ :-*
หัวข้อ: Re: "No pain No gain" เริ่มหัวข้อโดย: ZODA ที่ 20 พฤศจิกายน 2009, 12:46:41 :-\ 8) :) เยี่ยมครับ...
หัวข้อ: Re: "No pain No gain" เริ่มหัวข้อโดย: BEbenjamin ที่ 20 พฤศจิกายน 2009, 12:55:41 อ่านแล้ว...ok เลย
หัวข้อ: Re: "No pain No gain" เริ่มหัวข้อโดย: Lamillabo ที่ 20 พฤศจิกายน 2009, 20:11:28 เยี่ยม! มีลูกก็จะสอนแบบนี้แหละ หุหุ หัวข้อ: Re: "No pain No gain" เริ่มหัวข้อโดย: Casnova_Natt ที่ 21 พฤศจิกายน 2009, 13:38:56 จริงๆ ตั้งใจจะสอนลูกแบบฝรั่ง คือปล่อยๆให้เค้าทำอะไรด้วยตัวเอง
ถ้าล้มก็ปล่อยให้ลุกขึ้นมาเอง ถ้าอยากได้อะไร ก็เก็บเงินซื้อเอาเอง แต่ไม่รู้ว่า ถ้าถึงเวลาจริงๆ จะทำได้อย่างที่คิดหรือเปล่านี่สิ :-\ |