:::CIVIC CLUB THAILAND:::

คุยคุ้ย Civic => Civic Club Discuss => ห้องคนขับ => ข้อความที่เริ่มโดย: jack_Civic ที่ 09 ตุลาคม 2008, 10:24:38



หัวข้อ: Civic FD จังหวะแซงเราจะ Over Drive ยังไงครับ(อิอิ ไม่รู้จริง ๆครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: jack_Civic ที่ 09 ตุลาคม 2008, 10:24:38
ช่วยตอบด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับผม


หัวข้อ: Re: Civic FD จังหวะแซงเราจะ Over Drive ยังไงครับ(อิอิ ไม่รู้จริง ๆครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: jack_Civic ที่ 09 ตุลาคม 2008, 10:25:14
ต่อนิสนึงครับ..คือว่า เกียร์ออโต้อ่ะครับ


หัวข้อ: Re: Civic FD จังหวะแซงเราจะ Over Drive ยังไงครับ(อิอิ ไม่รู้จริง ๆครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: berserk55 ที่ 09 ตุลาคม 2008, 10:26:19
ตบเข้าD3 เลยครับ

แต่ผมใช้ES นะ

 ;) ;)


หัวข้อ: Re: Civic FD จังหวะแซงเราจะ Over Drive ยังไงครับ(อิอิ ไม่รู้จริง ๆครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: jack_Civic ที่ 09 ตุลาคม 2008, 10:35:13
ตั้งแต่ขับรถมา ผมใช้แค่เกียร์ D ครับ ไม่เคยใช้ D3 เลยอ่ะ ...(ขอบคุณครับ)


หัวข้อ: Re: Civic FD จังหวะแซงเราจะ Over Drive ยังไงครับ(อิอิ ไม่รู้จริง ๆครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: jack_Civic ที่ 09 ตุลาคม 2008, 10:38:28
สับเกียร์จาก D เป็น D3 ความเร็วรถต้องอยู่ที่เท่าไหร่ครับ แล้วสับได้เลยป่าวครับ... ขอบคุงครับ


หัวข้อ: Re: Civic FD จังหวะแซงเราจะ Over Drive ยังไงครับ(อิอิ ไม่รู้จริง ๆครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: sha_do ที่ 09 ตุลาคม 2008, 12:23:43
OVERDRIVE ของเกียร์อัตโนมัติ

+++++++++++++++

แม้เกียร์อัตโนมัติจะแพร่หลายในไทยมามากกว่า 20 ปีแล้ว แต่ยังมีคนสับสนกับปุ่ม OVERDRIVE หรือ OD กันมาตลอด ทั้งงงว่าคืออะไร มีไว้ทำไม ทำไมรถยนต์บางุร่นไม่มี ควรเปิด-ON หรือปิด-OFF ในสภาพการขับแบบใด ?

+++++++++++

++ OVERDRIVE คือ อะไร ?

การใช้คำนี้นั่นเองที่ทำให้เกิดความสับสน เพราะอ่านแล้วแปลออก แต่ไม่เข้าใจว่า จริงๆ แล้วมีผลอย่างไรในรถยนต์

ไม่ว่าจะมีเกียร์ทั้งหมดกี่จังหวะ ถ้ามีปุ่มเปิด-ปิด OVERDRIVE ก็คือ การเปิด-ปิดเกียร์สูงที่สุด ว่าจะให้มีใช้หรือไม่

ถ้ามีเกียร์ทั้งหมด 4 จังหวะ หากปิด ก็เท่ากับมีแค่เกียร์ 1-2-3 เปลี่ยนขึ้นลงเท่านั้น ไม่ว่าความเร็วจะขึ้นไปสูงเพียงไร ก็ไม่มีการเข้าเกียร์ 4 ให้ ในรถยนต์บางรุ่นมีปุ่ม OVERDRIVE บางรุ่นไม่มี แต่ก็สามารถเลือกจะไม่ใช้เกียร์นั้นได้ โดยดูที่ฐานคันเกียร์ว่ามีตำแหน่งรองจาก D ลงไปเป็นอะไร ถ้าปกติเป็น D4 รองลงไปเป็น D3 ดังนั้นหากเลื่อนคันเกียร์ไปที่ D3 ก็คือ ปิด OVERDRIVE หรือมีใช้แค่ 3 เกียร์นั่นเอง

สำหรับรถยนต์ที่มี 5 เกียร์ การปิด OVERDRIVE ก็จะเหลือ 4 เกียร์ 1-2-3-4 โดยไม่มีเกียร์ 5 ใช้นั่นเอง

สมมุติถ้าไม่ใช้คำว่าปุ่มหรือเกียร์ OVERDRIVE หากเรียกกันว่าปุ่มเปิด-ปิดเกียร์ 4 หรือเกียร์ 5 ก็น่าจะลดความสับสนลงได้ เพราะก็แค่ไปทำความเข้าใจว่า การเปิดหรือปิดเกียร์ 4 หรือ 5 นั้นจะมีผลเช่นไรในการขับ ไม่ต้องไปงงกับคำว่า OVERDRIVE

++ ทำไมต้องเปิด ทำไมต้องปิด ?

รถยนต์ที่ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ ส่วนใหญ่ยกเว้นรุ่นที่เป็นรถยนต์สมรรถนะสูงจริงๆ เกียร์สุดท้ายหรือเกียร์สูงที่สุด จะเป็นเกียร์ที่มีอัตราทดต่ำ ช่วยลดรอบเครื่องยนต์ และลดการสึกหรอ ลดความสิ้นเปลืองน้ำมันฯ มีอัตราเร่งในช่วงความเร็วสูงแค่พอประมาณ แต่ไม่ดีเท่ากับเกียร์รองลงไป และถ้าไม่ได้เน้นการเร่งแซงในช่วงนั้นแบบดุดัน ก็ไม่ต้องปิด OVERDRIVE เพราะไม่ถึงกับไม่มีอัตราเร่งเลย

การปิด OVERDRIVE จะไม่ได้ทำให้อัตราเร่งในช่วงออกตัวไปจนถึงสุดเกียร์ 3 แตกต่างจากการเปิดไว้ (กรณีมีทั้งหมด 4 เกียร์) การปิดไว้ เป็นเพียงการป้องกันไม่ให้ระบบควบคุมมีการเปลี่ยนเกียร์จาก 3 ไป 4 ในช่วงที่ผู้ขับลดการกดคันเร่ง

ในการขับปกติ ควรเปิด OVERDRIVE ไว้ ดังที่เห็นว่า ในรถยนต์ส่วนใหญ่หากปิดไว้ จะมีไฟเตือนสีส้มสว่างขึ้น ชื่อก็บอกว่าเป็นไฟเตือน และยังเป็นสีส้มอีก ไม่ใช่สีเขียว จึงหมายความว่าเป็นการเตือนแบบไม่ร้ายแรง หากเปิด OVERDRIVE ไว้ จะไม่มีการเตือน นั่นแสดงกว่าเป็นภาวะปกตินั่นเอง

++ OVERDRIVE อัตราทดต้องต่ำกว่า 0 ใช่ไหม ?

หลายคนเข้าใจว่าเกียร์ใดที่มีอัตราทดต่ำกว่า 1 ต้องเป็นเกียร์ OVERDRIVE ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ใช่ เพราะในรถยนต์แต่ละคัน อาจมีหลายเกียร์ที่มีอัตราทดต่ำกว่า 1 ไม่ใช่เฉพาะแค่เกียร์สูงสุดเท่านั้น

ในความเป็นจริง เกียร์จังหวะใดจะเป็นเกียร์ OVERDRIVE ก็ต่อเมื่อเกียร์นั้นไม่สามารถเร่งเครื่องยนต์ไปถึงรอบที่มีแรงม้าสูงสุดได้

หากมีถนนว่างและปลอดภัย ให้ลองทดสอบดูก็ได้ว่า ในเกียร์รองลงไปและ OVERDRIVE หรือการปิด-เปิด เกียร์ใดมีอัตราเร่งดีกว่า ลากรอบเครื่องยนต์ได้สูงสุด และทำความเร็วสูงสุดได้

++ ถ้าจะเน้นอัตราเร่งช่วงความเร็วสูง ควรปิด

ทำได้หลายวิธี คือ เปิด OVERDRIVE แล้วกดคันเร่งให้จมเพื่อให้มีการคิกดาวน์ลงมาที่เกียร์ต่ำเอง กดคันเร่งแช่ต่อเนื่องไป หากสุดเกียร์ 3 จริงๆ แล้วถึงจะถูกเปลี่ยนไปยังเกียร์ 4 หรือ OVERDRIVE เอง แต่ถ้ามีการลดการกดคันเร่งในช่วงใด และอยู่ในเกียร์ 3 ระบบจะเปลี่ยนไปที่เกียร์ 4 ให้เอง อัตราเร่งก็จะไม่ดี หากจะเร่งต่อ ก็ต้องเสียจังหวะการคิกดาวน์ลงมาที่เกียร์ 3 อีกครั้ง หรือถ้าความเร็วสูงแล้ว ระบบก็จะไม่ยอมคิกดาวน์มาที่เกียร์ 3 ดังนั้นถ้าจะให้ดี ก็ควรปิด OVERDRIVE ไว้ในช่วงที่ต้องการอัดตราเร่งที่ดุดันในช่วงความเร็วเกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

++ ในเมืองปิดหรือเปิด ?

บางคนเข้าใจว่า ในเมื่อการขับรถยนต์ในเมืองที่มีการจราจรติดขัด ไม่สามารถใช้ความเร็วสูงได้ ก็จะไม่มีความจำเป็นต้องเปิด OVERDRIVE ไว้ เพราะเกียร์จะต้องเปลี่ยนสลับไปมา และขึ้นไปสู่เกียร์ OVERDRIVE โดยไม่จำเป็น เพราะเดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำสลับไปสบับมาซ้ำกันบ่อยๆ คิดว่าจะทำให้เกิดทั้งการสึกหรอและการกระตุกขณะเปลี่ยนเกียร์สลับไปมา

ในความเป็นจริง แม้จะขับในเมือง ก็ควรเปิด OVERDRIVE ทิ้งไว้ตลอดหากตอนนั้นไม่ได้เน้นอัตราเร่งในช่วงความเร็วเกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือถึงจะเน้น แต่ใช้วิธีคิกดาวน์กดคันเร่งมิดเพื่อลดเกียร์ขณะเปิด OVERDRIVE ก็ยังได้

ถ้าใช้ความเร็วปานกลางขึ้นไป ไต่ไปอยู่เกียร์ 3 แล้ว หากจะมีการเปลี่ยนไปเข้าเกียร์ 4 (กรณีมี 4 เกียร์) แล้วมีการเปลี่ยนเกียร์ขึ้นลงบ่อยๆ ก็ไม่เป็นอะไร เพราะเมื่อไรที่อยู่ในเกียร์สูงสุด ก็จะลดทั้งรอบเครื่องยนต์ ลดการสึกหรอ และประหยัดน้ำมันขึ้น เมื่อไรที่ต้องการเพิ่มอัตราเร่งก็แค่คิกดาวน์ อย่างรถยนต์ที่ไม่มีปุ่ม OVERDRIVE เข้าอยู่ในเกียร์ D หรือ D4 ก็เท่ากับเป็นการเปิด OVERDRIVE อยู่ตลอดเวลา

++ ปิด OVERDRIVE ช่วยเบรก

เมื่อขับรถยนต์มาด้วยความเร็วแล้วต้องการเบรก นอกจากจะกดแป้นเบรกตามปกติแล้ว หลายคนได้ใช้วิธีปิด OVERDRIVE หรือเลื่อนคันเกียร์ลงมาที่ D3 เพื่อช่วยในการเบรก

หลายคนชอบปฎิบัติเช่นนี้ เพราะต้องการใช้เครื่องยนต์ช่วยในการเบรก (ENGINE BRAKE) เหมือนการลดเกียร์ต่ำในรถยนต์เกียร์ธรรมดา ซึ่งก็ได้ผลบ้าง เพราะรถยนต์มีอาการหน่วงความเร็วลงเล็กน้อยเมื่อเกียร์ลดลงต่ำ

ในความเป็นจริงแล้ว เครื่องยนต์สามารถช่วยหน่วงความเร็วในกรณีนี้ได้ก็จริง แต่ไม่มากเลย ไม่คุ้มกับการสึกหรอของชุดเกียร์และเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้นเลย ทดลองได้จาก ขับรถยนต์ด้วยความเร็วปานกลางบนเส้นทางที่ปลอดภัย แล้วปิด OVERDRIVE โดยไม่ต้องกดเบรก จะพบว่ารถยนต์ถูกหน่วงก็จริง แต่แค่นิดเดียว แล้วเริ่มใหม่ กดแป้นเบรกแรงๆ โดยไม่ต้องยุ่งกับเกียร์ดูสิ หัวทิ่มเลย

ควรใช้เบรกตามหน้าที่ ใช้การลดเกียร์ต่ำเมื่อต้องการเร่งความเร็ว หรือลงเขา

BRAKE TO SLOW / GEAR TO GO

++ บทสรุป

ถ้ายังงง ให้ลืมคำว่า OVERDRIVE ไป เปลี่ยนเป็นการเปิดใช้หรือไม่ใช้เกียร์ 4 (ในกรณีที่มีทั้งหมด 4 เกียร์) เมื่อไรที่อยู่ในเกียร์นั้น จะช่วยลดรอบเครื่องยนต์ ให้ความประหยัดน้ำมันฯ และลดการสึกหรอ แต่อัตราเร่งจะไม่ดีเท่าเกียร์รองลงไป

ปฏิบัติง่ายๆ เปิด OVERDRIVE ไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะขับในเมืองหรือต่างจังหวัด หากต้องการอัตราเร่งดีๆ เมื่อไร ให้กดคันเร่งจมมิดเพื่อคิกดาวน์แล้วแช่ไว้ หรือหากช่วงใดต้องการอัตราเร่งที่ดีในช่วงความเร็วสูงแล้วไม่อยากให้เกียร์เปลี่ยนไปๆ มาๆ ระหว่าง 3 กับ 4 ก็ให้ปิด OVERDRIVE ขับ เมื่อพ้นจากสถานะการณ์นั้นแล้ว ให้กลับมาเปิดใช้ตาม


หัวข้อ: Re: Civic FD จังหวะแซงเราจะ Over Drive ยังไงครับ(อิอิ ไม่รู้จริง ๆครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: sha_do ที่ 09 ตุลาคม 2008, 12:48:50
^
^
แต่ FD เรานั้น ไม่มี OVERDRIVE แต่มีวิธีที่คล้ายๆ กันคือการเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง จาก เกียร์ D มา D3

หากแซงเสร็จแล้วก้อเปลี่ยนกลับไปที่ เกียร์ D เหมือนเดิม แต่เรื่องการใช้ D3 ต้องมีวิธีที่ถูกต้อง เดี๋ยวใครไม่รู้ ได้ยินไปทำไม่ถูกเกียร์พังง่ายๆ

คือก่อนเปลี่ยน D3 ควรถอนคันเร่งเล็กน้อยซึ่งเหมาะ

อีกวิธีคือการคิกดาวน์ การกดคันเร่งให้ลึกลงกว่าเดิมเกียร์ก้อจะเปลี่ยนโดยอัตโนมัติ โดยการทดเกียร์ให้ต่ำลงไปเพื่อเพิ่มกำลัง

KICKDOWN มีสองระดับ อันแรกกดลงไปเพื่อให้เกียร์ลงไป1ระดับ กับสองเหยียบจมมันจะกระชาก2หน วิธีนี้จะรักษาและถนอมเกียร์มากกว่าวิธีแรกคับ



หัวข้อ: Re: Civic FD จังหวะแซงเราจะ Over Drive ยังไงครับ(อิอิ ไม่รู้จริง ๆครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: MIM_ING+1 ที่ 09 ตุลาคม 2008, 14:32:25
FD  ไม่มี โอเวอร์ได ครับ  จะใช้วิธี คลิกดาว แทนครับ  คือ ให้กดคันเร่งเข้าไปเพือให้เกียร์
ทำการเชน 1 เกียร์ครับ


หัวข้อ: Re: Civic FD จังหวะแซงเราจะ Over Drive ยังไงครับ(อิอิ ไม่รู้จริง ๆครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: Octillion ที่ 09 ตุลาคม 2008, 14:42:10
กระตื๊บคันเร่งครับ ถ้าความเร็วได้จากเกียร์ 4 มันจะทดมาเกียร์ 3 ครับ    ;)


หัวข้อ: Re: Civic FD จังหวะแซงเราจะ Over Drive ยังไงครับ(อิอิ ไม่รู้จริง ๆครับ)
เริ่มหัวข้อโดย: Aod61 : มิสซิสซิปปี้ ที่ 09 ตุลาคม 2008, 16:45:56
OVERDRIVE    เอาแต่พอจังหวะสำคัญนะครับ  เช่นเร่งแซง
เกียร์ ฮอนด้า ยิ่งเปราะๆอยู่