:::CIVIC CLUB THAILAND:::

คุยคุ้ย Civic => Civic Club Discuss => ห้องคนขับ => ข้อความที่เริ่มโดย: Bluish Civic ที่ 08 กันยายน 2008, 23:31:56



หัวข้อ: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: Bluish Civic ที่ 08 กันยายน 2008, 23:31:56
รูสึกว่าเครื่องยนต์ร้อนเร็วมากๆ เหมือนจะเร็วกว่ารถรุ่นอื่นๆ วิ่งประมาณ 1-2 กม ก็ร้อนมากแล้ว อยากทราบว่าคันอื่นเป็นเหมือนกันมั้ยคะ???
อ้อ..ลืมบอกไว่เป็นป ***ซีวิค  เตารีด ปี 96  เครื่องหัวฉีดค่ะ*** ::)


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: Octillion ที่ 08 กันยายน 2008, 23:40:56
รูสึกว่าเครื่องยนต์ร้อนเร็วมากๆ เหมือนจะเร็วกว่ารถรุ่นอื่นๆ วิ่งประมาณ 1-2 กม ก็ร้อนมากแล้ว อยากทราบว่าคันอื่นเป็นเหมือนกันมั้ยคะ???
อ้อ..ลืมบอกไว่เป็นป ***ซีวิค  เตารีด ปี 96  เครื่องหัวฉีดค่ะ*** ::)


ที่ว่านี่ เกินครึ่งนึงของเกย์วัดความร้อนป่าวครับ    ::)

อ่อ ปี 96 นี่ตาโตนะครับ ไม่ใช่เตารีด    :-[


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: bobodada ที่ 08 กันยายน 2008, 23:56:13
ไม่เกินครึ่งก็ยังไม่น่าสงสัยครับ อาจจะเกิดจากการขับแบบเหยียบๆหน่อยอ่ะครับ

500 เมตรก็ร้อนมากได้ครับ ถ้าขับแบบเร่งรีบ


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: Bluish Civic ที่ 09 กันยายน 2008, 00:16:10
ที่ว่านี่ เกินครึ่งนึงของเกย์วัดความร้อนป่าวครับ    ::)

อ่อ ปี 96 นี่ตาโตนะครับ ไม่ใช่เตารีด    :-[

ขอบคุณนะคะ คุณ Octillion
เกย์ความร้อนยังปกตินะ แค่รู้สึกว่าเวลาจอดแล้วเปิดกระโปรงหน้าแล้วมันร้อนๆอ่ะ เฮ้อ!! ถ้าปกติก็ค่อยโล่งใจหน่อย ว่าแต่เราเป็น Civic เตารีดปี 96 รุ่นท้ายสุดอ่ะ มะช่ายตาโตนะ :) :-[


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: TaTumTaTee ที่ 09 กันยายน 2008, 00:38:48
รูสึกว่าเครื่องยนต์ร้อนเร็วมากๆ เหมือนจะเร็วกว่ารถรุ่นอื่นๆ วิ่งประมาณ 1-2 กม ก็ร้อนมากแล้ว อยากทราบว่าคันอื่นเป็นเหมือนกันมั้ยคะ???
อ้อ..ลืมบอกไว่เป็นป ***ซีวิค  เตารีด ปี 96  เครื่องหัวฉีดค่ะ*** ::)


ลองเช็คดูคับว่ามันขึ้นเกินครึ่งไมถ้าไม่ก็ไม่เป็นไรแต่ถ้าเกินต้องเช็ค


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: OFFSIDE ที่ 09 กันยายน 2008, 08:43:02
เป็นเหมือนกัน    ;) ;)


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: Aod61 : มิสซิสซิปปี้ ที่ 09 กันยายน 2008, 08:58:50
ถ้าเกย์ความร้อนปกติ ก็คงไม่มีปัญหาอะไร
ความร้อนสะสมในห้องเครื่อง  ถ้าใช้รถในแหล่งที่รถติดมากๆ มันก็คงต้องร้อนละครับ
เพราะมันไม่มีลม มาช่วยระบายความร้อน

ยิ่งใน FD  ห้องเคร่องยนต์  เล็กและแคบ
นี่ ยิ่งร้อนใหญ่เลย


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: Bluish Civic ที่ 09 กันยายน 2008, 12:28:05
ดีใจจังที่ปกติ นึกว่ารถคนอื่นจะไม่เป็นซะอีก :-[ :-[


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: Playboy_palm ที่ 09 กันยายน 2008, 14:15:14
ดีใจด้วยที่ปกติครับ


รถผม ร้อนฉ่าเลย พองมาหลายรอบแระด้วย อิอิ


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: sudlor_k007 ที่ 09 กันยายน 2008, 17:42:43
ร้อน ต้องทาแป้งตรางู ปิ๊กลี่ฮีท ;D ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: My_Mint ที่ 09 กันยายน 2008, 19:07:07
เครื่องร้อนเร็วอ่ะ ดีครับ   แต่ถ้าร้อนเกินสิแย่


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: Bluish Civic ที่ 09 กันยายน 2008, 21:43:39
ร้อน ต้องทาแป้งตรางู ปิ๊กลี่ฮีท ;D ;D ;D ;D

โบราณจัง!!!  ....ที่บ้านใช้แต่ Shower to Shower กับ มองเล่ยะ อ่ะ ;) ;) ;)


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: OFFSIDE ที่ 10 กันยายน 2008, 08:19:45
โบราณจัง!!!  ....ที่บ้านใช้แต่ Shower to Shower กับ มองเล่ยะ อ่ะ ;) ;) ;)



กำ.... มองเล่ยะ   ยังเกิดทันอีกหรือนี่   ;D ;D


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: jam-maew ที่ 10 กันยายน 2008, 09:54:42
 :o สงสัยจะเป็นกระทู้ผู้สุงอายุ..อิอิ


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: beer4353 ที่ 10 กันยายน 2008, 10:28:02
เราใช้ขมิ้น  รอดตัวไป                 :-[


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: TK ที่ 10 กันยายน 2008, 10:33:31
ของผมก็ร้อนเหมือนกัน ยิ่งตอนรถวิ่งช้าๆด้วยนะ
แต่ยังไงก็ตรวจพวกท่อน้ำหล่อเย็น น้ำยาหม้อน้ำดูด้วยนะครับ
จะได้ไม่มีปัญหาในอนาคต


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: beer4353 ที่ 10 กันยายน 2008, 11:02:35
จิงๆ การที่เครื่องยนต์ ร้อนเร็วนั้นดีแล้วนะครับ  (หมายถึงร้อนจนได้ที่มาตรฐานนะ) ดังบทความข้างล่างนี้เลยครับ ผมเคยอ่านเจอมาแล้วเห็นว่ามีประโยชน์จึงคัดเก็บไว้

การอุ่นเครื่องยนต์สำคัญแค่ไหน?

การสึกหรอที่รุนแรง ในการเริ่มเดินเครื่องยนต์ขณะเย็น มีคนเพียงไม่กี่คนจะทราบว่าในการใช้รถแต่ละเที่ยว การสึกหรอเกิดขึ้นสูงมากถึง 95 % ใน ตอนเริ่มเดินเครื่องขณะเครื่องเย็น หลังจากอุณหภูมิของเครื่องยนต์ร้อนถึงเกณฑ์ปกติแล้วการ สึกหรอมีน้อยมาก จนอาจกล่าวได้ว่าลืมไปได้เลย ด้วยเหตุนี้วิศวกรจึงพยายามหาทางหลีกเลี่ยง การเริ่มเดินเครื่องยนต์ขณะเย็น หรือเดินเครื่องยนต์ขณะเย็นให้สั้นที่สุด โดยออกแบบให้มี กลไกในการอุ่นเครื่องให้ร้อนได้เร็ว แนะนำผู้ขับขี่ควรจะปฏิบัติอย่างไรให้เครื่องร้อนเร็วและสึก หรอน้อยที่สุด
การสึกหรอของเครื่องยนต์ขณะเย็นเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
...แทบทุกคนจะตอบว่า เพราะน้ำมันหล่อลื่นขึ้นมาหล่อเลี้ยงไม่ทันตอบอย่างนี้ ถูกแผ่ว ๆ ได้ 5 คะแนน ใน 100 คะแนน ลองมาดูสูตรทางเคมีข้างล่างนี้
...C8 H 18 + 12.5 O 2 8 CO 2 9 H 2O
เชื้อเพลิง (ออกเทน) +ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ
....น้ำมันเชื้อเพลิง 1 ลิตร เมื่อติดไฟแล้วจะได้น้ำ 1 ลิตร (หรือใกล้เคียง) หลายท่านคงเคยเห็นน้ำไหลออกมาจากท่อไอเสียตอนติดเครื่องใหม่ ๆ ขณะที่เครื่องยังเย็นอยู่หลังจากเครื่องร้อนแล้วน้ำจะหายไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในห้อง เผาไหม้ ภายใต้กำลังอัด และขณะที่ผนังสูบ (Cylinder Wall) ยังเย็นอยู่ ทำให้น้ำที่เกิดจาก ปฏิกิริยาทางเคมีนี้กลั่นตัวจับที่ผนังสูบ และไปทำลายฟิล์ม น้ำมันหล่อลื่น ทำให้เกิดการเสียดสี ของโลหะกับโลหะ ระหว่างผนังสูบกับลูกสูบ และแหวนลูกลูบเกิดความฝืดและการสึกหรอสูง ทำให้ เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพทางกลไก (Mechanical efficiency) ต่ำมากในช่วงนี้ เมื่ออุณหภูมิของผนังสูบสูงขึ้น 130 องศาฟาเรนไฮต์ หรือสูงกว่า น้ำที่เกิดขึ้นจะไม่กลั่นตัว คงเป็นไอน้ำออกไปกับไอเสีย ฟิล์มน้ำมันหล่อลื่นจะกลับคืนมา ความฝืดลดลงการสึกหรอลดลง ประสิทธิภาพทางกลไกดีขึ้น จนเมื่อผนังสูบมีอุณหภูมิถึงระดับปกติที่เรียกว่า Operating Temperature ของเครื่องยนต์ การสึกหรอจะมีน้อยมากจนเรียกได้ว่าตัดทิ้งได้ ตอบอย่างนี้ได้ 100 คะแนนเต็ม....
....การสึกหรอของเครื่องยนต์ในลักษณะนี้ เป็นได้กับเครื่องยนต์เผาไหม้ภายใน (Internal Combustion Engine) ทุกชนิด ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล....
.....ส่วนอื่น ๆ ของเครื่องยนต์ที่เป็นเพลา เช่นเพลาข้อเสือ เพลาก้านต่อ ไม่มีการสึกหรอ และไม่เกี่ยวข้องกับการสึกหรอตอนเริ่มเดินเครื่องยนต์ ขณะเย็นเครื่องยนต์จึงมีจุดอ่อน อยู่ที่ การสึกหรอตอนเริ่มเดินเครื่องยนต์ขณะเย็นเครื่องยนต์จึงมีจุดอ่อนอยู่ที่ การสึกหรอของผนังสูบ ลูกสูบ แหวนลูกสูบ สามารถตรวจสอบได้โดยวิธีวัดกำลังอัดในสูบเมื่อมีการสึกหรอมาก ๆ กำลัง อัดในสูบจะต่ำลงสูบที่ 1 เป็นบริเวณที่น้ำเย็นจากหม้อน้ำไหลเข้ากำลังอัดจะต่ำที่สุด และค่อย เพิ่มมากขึ้นในสูบที่ 2 - 3 - 4 สูบสุดท้ายจะเป็นบริเวณที่น้ำร้อนไหลออกไปเข้าหม้อน้ำ กำลังอัดจะสูงกว่าสูบอื่น ๆ

....อันตรายจากการกลั่นตัวของน้ำมีอย่างไรบ้าง....
....1. เกิดการสึกหรอที่ผนังสูบ ลูกสูบและแหวนลูกสูบ ตามที่กล่าวแล้ว
....2. น้ำจะไหลลงไปในห้องข้อเสื้อปนกับน้ำมันหล่อลื่น ทำให้เป็นเมือกเหนียวและทำลาย สารเพิ่มคุณภาพ (Additive) ในน้ำมันหล่อลื่น แต่น้ำนี้จะระเหยออกไปได้เมื่อเครื่องยนต์ร้อน นานเพียงพอ(คนที่ใช้รถในระยะทางสั้นๆทุกวัน...ก็ถือว่าเป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์)
....3. กำมะถันในน้ำมันเชื้อเพลิงจะเป็นออกไซด์เมื่อเผาไหม้ และเมื่อรวมตัวกับน้ำจะเป็น กรดกำมะถัน (ซัลฟูริก)
......SO2 + 2H2 O = 2H 2SO4

....ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ + น้ำ = กรดกำมะถัน

...ทำให้น้ำมันหล่อลื่นเป็นกรด ดังนั้นน้ำมันหล่อลื่นทุกชนิดจะเป็นด่างไว้ก่อน โดยใส่สาร เพิ่มคุณภาพที่เป็นด่างเข้าไป เพื่อสู้กับกรดที่จะตามมา...
....4. กรดกำมะถัน จะไปกัดท่อไอเสียทำให้ผุกร่อน เมื่อน้ำไปกลั่นตัวที่ท่อไอเสีย

ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาจะเกิดขึ้นในช่วงเริ่มเดินเครื่องยนต์ขณะเย็นแต่ละครั้งนานเพียง 5-10 นาทีเท่านั้นสำหรับบ้านเราที่เป็นเมืองร้อน ในเมืองหนาวจะใช้เวลามากกว่า..... เมื่อ 4-5 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ ได้กำหนดค่ากำมะถันในน้ำมันเชื้อเพลิงให้ลดลงมาเป็น 10 เท่าของค่ากำมะถันในน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นตัวกำหนดราคาน้ำมันด้วย ทำให้น้ำมันแพงขึ้น มีการพูดกันว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้สูงเกินไปหรือเปล่า ? แต่การผุกร่อนของท่อไอเสียลดลงอย่างเห็นได้ชัด

....มีกลไกอะไรในเครื่องยนต์ที่ช่วยในการอุ่นเครื่อง (Warm up)....
เครื่องของรถยนต์ไม่มีอุปกรณ์ในการอุ่นน้ำก่อนเดินเครื่อง แต่มีกลไกที่เมื่อเดินเครื่อง แล้วช่วยให้ร้อนได้เร็ว เครื่องยนต์สมัยใหม่ที่ใช้หัวฉีดควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์จะมีลิ้น Air Valve เปิด - ปิด ด้วยอุณหภูมิแบบ Thermowax เริ่มเปิดเมื่อ 140 องศาฟาเรนไฮต์ยิ่งเย็น มากก็จะเปิดกว้างมาก เพื่อให้อากาศเข้าเครื่องยนต์มาก ดังนั้นการเริ่มเดินเครื่องยนต์ขณะที่ อากาศเย็น เช่น ในตอนเช้าจะหมุนเร็วกว่าในตอนบ่ายที่อากาศอุ่นกว่าเครื่องยนต์เดิน เบาใน ตอนนี้เรียก Fast Idle คอมพิวเตอร์จะจ่ายน้ำมันมาก อัตราส่วนผสมแก่ (Rich Mixture) เพื่อช่วยเผาเครื่องยนต์ให้ร้อนเร็วนั่นเอง หลังจากเครื่องยนต์อุ่นขึ้น Air Valve จะเริ่มหรี่ลง คอมพิวเตอร์จะลดอัตราส่วนผสมให้จางลง (Lean Mixture) รอบเครื่องยนต์ค่อย ๆ ลดลงจน อุณหภูมิถึง 140 องศาฟาเรนไฮต์ลิ้น Air Valve จะปิด รอบเครื่องยนต์จะลดลงมาเป็นปกติ ประมาณ 800 รอบ / นาทีเรียกว่า Normal Idle กรรมวิธีในการอุ่นเครื่องจบลงตรงนี้ แต่ อุณหภูมิของเครื่องยนต์ยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป จนถึงอุณหภูมิทำงานตามปกติ Thermostat เป็น กลไกอีกอันหนึ่งที่ช่วยในการ Warm Up เครื่องยนต์และรักษาอุณหภูมิทำงานของเครื่องยนต์ โดยการควบคุมการไหลวนเวียนของน้ำหล่อเย็น

.....ขับขี่อย่างไรให้ร้อนได้เร็วและสึกหรอน้อยที่สุด......
Do not try to warm up the engine by letting the vehicle stationary, drive off straight away, do not race the engine....เป็นคำแนะนำที่จำมาจากหนังสือคู่มือการใช้รถ จำไม่ได้ว่ายี่ห้ออะไรการจอดอุ่นเครื่องอยู่กับที่เป็นวิธีการที่ล้าสมัย เพราะทำให้เครื่องร้อนช้าจึง แนะนำว่า ท่านควรเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม เมื่อติดเครื่องแล้วจะต้องขับออกไปภายใน 10 วินาทีเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงาน แต่การขับในช่วงนี้เป็นวิธีการที่ละเอียดอ่อน เครื่องยนต์ควร ทำงานเบา รอบเครื่องยนต์ไม่ควรเกิน 2000 รอบ / นาที ใช้ความเร็วสม่ำเสมอรถเกียร์ อัตโนมัติ จะไม่เข้าเกียร์ 4 หรือเกียร์ Overdrive จนกว่าอุณหภูมิของเครื่องยนต์เลย 130 องศาฟาเรนไฮต์ ไปแล้ว ซึ่งได้โปรแกรมไว้ในคอมพิวเตอร์ และเมื่อใดที่อุณหภูมิของเครื่อง ยนต์ถึงเกณฑ์ปกติ ท่านจะขับอย่างไรก็ได้ตามนิสัยการขับ (Driving Habit) ที่ท่านชอบ เพราะ ในช่วงนี้การสึกหรอจะมีน้อยมาก

.....กรณีตัวอย่างที่น่ารู้.....
.....1. ตอนเย็นหลังจากเลิกงานแล้วท่านขับรถกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านจอดรถแล้วไปอาบน้ำพัก ผ่อน จนค่ำแล้วก่อนเข้านอนนึกขึ้นได้ว่าจอดรถไว้หน้าบ้าน จึงลงมาติดเครื่องยนต์ขับรถเข้าไป จอดในโรงรถ Robert Sikorsky เขียนไว้ในหนังสือของเขาว่าการสึกหรอในช่วงนี้เทียบเท่า กับการขับรถปกติเป็นระยะทางถึง 800 กิโลเมตร ตัวเลขนี้เชื่อได้ว่ามาจากผลการทดสอบจริง แต่ไม่มีรายละเอียดอื่น ๆ เช่น อุณหภูมิของอากาศขณะนั้น
.....2. ถ้าบ้านของท่านเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีรถหลายคันใช้ร่วมกัน ควรเลือกใช้รถคัน ที่เพิ่งผ่านการใช้งานมาใหม่ ๆ ที่เครื่องยังอุ่นอยู่
.....3. ถ้าท่านจะซื้อรถใช้แล้ว อย่าใช้เลขระยะทางเป็นตัวกำหนดสภาพรถแต่อย่างเดียวควร ตรวจสอบพฤติกรรมอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น บ้านอยู่ห้องแถวกลางคืนเอารถเข้าจอดในบ้าน เช้าเลื่อนออกไปจอดริมถนน ต้องเลื่อนรถไป-มา เพื่อหาที่จอด


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: NEO ที่ 10 กันยายน 2008, 11:35:54
จิงๆ การที่เครื่องยนต์ ร้อนเร็วนั้นดีแล้วนะครับ  (หมายถึงร้อนจนได้ที่มาตรฐานนะ) ดังบทความข้างล่างนี้เลยครับ ผมเคยอ่านเจอมาแล้วเห็นว่ามีประโยชน์จึงคัดเก็บไว้

การอุ่นเครื่องยนต์สำคัญแค่ไหน?

การสึกหรอที่รุนแรง ในการเริ่มเดินเครื่องยนต์ขณะเย็น มีคนเพียงไม่กี่คนจะทราบว่าในการใช้รถแต่ละเที่ยว การสึกหรอเกิดขึ้นสูงมากถึง 95 % ใน ตอนเริ่มเดินเครื่องขณะเครื่องเย็น หลังจากอุณหภูมิของเครื่องยนต์ร้อนถึงเกณฑ์ปกติแล้วการ สึกหรอมีน้อยมาก จนอาจกล่าวได้ว่าลืมไปได้เลย ด้วยเหตุนี้วิศวกรจึงพยายามหาทางหลีกเลี่ยง การเริ่มเดินเครื่องยนต์ขณะเย็น หรือเดินเครื่องยนต์ขณะเย็นให้สั้นที่สุด โดยออกแบบให้มี กลไกในการอุ่นเครื่องให้ร้อนได้เร็ว แนะนำผู้ขับขี่ควรจะปฏิบัติอย่างไรให้เครื่องร้อนเร็วและสึก หรอน้อยที่สุด
การสึกหรอของเครื่องยนต์ขณะเย็นเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
...แทบทุกคนจะตอบว่า เพราะน้ำมันหล่อลื่นขึ้นมาหล่อเลี้ยงไม่ทันตอบอย่างนี้ ถูกแผ่ว ๆ ได้ 5 คะแนน ใน 100 คะแนน ลองมาดูสูตรทางเคมีข้างล่างนี้
...C8 H 18 + 12.5 O 2 8 CO 2 9 H 2O
เชื้อเพลิง (ออกเทน) +ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ
....น้ำมันเชื้อเพลิง 1 ลิตร เมื่อติดไฟแล้วจะได้น้ำ 1 ลิตร (หรือใกล้เคียง) หลายท่านคงเคยเห็นน้ำไหลออกมาจากท่อไอเสียตอนติดเครื่องใหม่ ๆ ขณะที่เครื่องยังเย็นอยู่หลังจากเครื่องร้อนแล้วน้ำจะหายไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในห้อง เผาไหม้ ภายใต้กำลังอัด และขณะที่ผนังสูบ (Cylinder Wall) ยังเย็นอยู่ ทำให้น้ำที่เกิดจาก ปฏิกิริยาทางเคมีนี้กลั่นตัวจับที่ผนังสูบ และไปทำลายฟิล์ม น้ำมันหล่อลื่น ทำให้เกิดการเสียดสี ของโลหะกับโลหะ ระหว่างผนังสูบกับลูกสูบ และแหวนลูกลูบเกิดความฝืดและการสึกหรอสูง ทำให้ เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพทางกลไก (Mechanical efficiency) ต่ำมากในช่วงนี้ เมื่ออุณหภูมิของผนังสูบสูงขึ้น 130 องศาฟาเรนไฮต์ หรือสูงกว่า น้ำที่เกิดขึ้นจะไม่กลั่นตัว คงเป็นไอน้ำออกไปกับไอเสีย ฟิล์มน้ำมันหล่อลื่นจะกลับคืนมา ความฝืดลดลงการสึกหรอลดลง ประสิทธิภาพทางกลไกดีขึ้น จนเมื่อผนังสูบมีอุณหภูมิถึงระดับปกติที่เรียกว่า Operating Temperature ของเครื่องยนต์ การสึกหรอจะมีน้อยมากจนเรียกได้ว่าตัดทิ้งได้ ตอบอย่างนี้ได้ 100 คะแนนเต็ม....
....การสึกหรอของเครื่องยนต์ในลักษณะนี้ เป็นได้กับเครื่องยนต์เผาไหม้ภายใน (Internal Combustion Engine) ทุกชนิด ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล....
.....ส่วนอื่น ๆ ของเครื่องยนต์ที่เป็นเพลา เช่นเพลาข้อเสือ เพลาก้านต่อ ไม่มีการสึกหรอ และไม่เกี่ยวข้องกับการสึกหรอตอนเริ่มเดินเครื่องยนต์ ขณะเย็นเครื่องยนต์จึงมีจุดอ่อน อยู่ที่ การสึกหรอตอนเริ่มเดินเครื่องยนต์ขณะเย็นเครื่องยนต์จึงมีจุดอ่อนอยู่ที่ การสึกหรอของผนังสูบ ลูกสูบ แหวนลูกสูบ สามารถตรวจสอบได้โดยวิธีวัดกำลังอัดในสูบเมื่อมีการสึกหรอมาก ๆ กำลัง อัดในสูบจะต่ำลงสูบที่ 1 เป็นบริเวณที่น้ำเย็นจากหม้อน้ำไหลเข้ากำลังอัดจะต่ำที่สุด และค่อย เพิ่มมากขึ้นในสูบที่ 2 - 3 - 4 สูบสุดท้ายจะเป็นบริเวณที่น้ำร้อนไหลออกไปเข้าหม้อน้ำ กำลังอัดจะสูงกว่าสูบอื่น ๆ

....อันตรายจากการกลั่นตัวของน้ำมีอย่างไรบ้าง....
....1. เกิดการสึกหรอที่ผนังสูบ ลูกสูบและแหวนลูกสูบ ตามที่กล่าวแล้ว
....2. น้ำจะไหลลงไปในห้องข้อเสื้อปนกับน้ำมันหล่อลื่น ทำให้เป็นเมือกเหนียวและทำลาย สารเพิ่มคุณภาพ (Additive) ในน้ำมันหล่อลื่น แต่น้ำนี้จะระเหยออกไปได้เมื่อเครื่องยนต์ร้อน นานเพียงพอ(คนที่ใช้รถในระยะทางสั้นๆทุกวัน...ก็ถือว่าเป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์)
....3. กำมะถันในน้ำมันเชื้อเพลิงจะเป็นออกไซด์เมื่อเผาไหม้ และเมื่อรวมตัวกับน้ำจะเป็น กรดกำมะถัน (ซัลฟูริก)
......SO2 + 2H2 O = 2H 2SO4

....ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ + น้ำ = กรดกำมะถัน

...ทำให้น้ำมันหล่อลื่นเป็นกรด ดังนั้นน้ำมันหล่อลื่นทุกชนิดจะเป็นด่างไว้ก่อน โดยใส่สาร เพิ่มคุณภาพที่เป็นด่างเข้าไป เพื่อสู้กับกรดที่จะตามมา...
....4. กรดกำมะถัน จะไปกัดท่อไอเสียทำให้ผุกร่อน เมื่อน้ำไปกลั่นตัวที่ท่อไอเสีย

ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาจะเกิดขึ้นในช่วงเริ่มเดินเครื่องยนต์ขณะเย็นแต่ละครั้งนานเพียง 5-10 นาทีเท่านั้นสำหรับบ้านเราที่เป็นเมืองร้อน ในเมืองหนาวจะใช้เวลามากกว่า..... เมื่อ 4-5 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ ได้กำหนดค่ากำมะถันในน้ำมันเชื้อเพลิงให้ลดลงมาเป็น 10 เท่าของค่ากำมะถันในน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นตัวกำหนดราคาน้ำมันด้วย ทำให้น้ำมันแพงขึ้น มีการพูดกันว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้สูงเกินไปหรือเปล่า ? แต่การผุกร่อนของท่อไอเสียลดลงอย่างเห็นได้ชัด

....มีกลไกอะไรในเครื่องยนต์ที่ช่วยในการอุ่นเครื่อง (Warm up)....
เครื่องของรถยนต์ไม่มีอุปกรณ์ในการอุ่นน้ำก่อนเดินเครื่อง แต่มีกลไกที่เมื่อเดินเครื่อง แล้วช่วยให้ร้อนได้เร็ว เครื่องยนต์สมัยใหม่ที่ใช้หัวฉีดควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์จะมีลิ้น Air Valve เปิด - ปิด ด้วยอุณหภูมิแบบ Thermowax เริ่มเปิดเมื่อ 140 องศาฟาเรนไฮต์ยิ่งเย็น มากก็จะเปิดกว้างมาก เพื่อให้อากาศเข้าเครื่องยนต์มาก ดังนั้นการเริ่มเดินเครื่องยนต์ขณะที่ อากาศเย็น เช่น ในตอนเช้าจะหมุนเร็วกว่าในตอนบ่ายที่อากาศอุ่นกว่าเครื่องยนต์เดิน เบาใน ตอนนี้เรียก Fast Idle คอมพิวเตอร์จะจ่ายน้ำมันมาก อัตราส่วนผสมแก่ (Rich Mixture) เพื่อช่วยเผาเครื่องยนต์ให้ร้อนเร็วนั่นเอง หลังจากเครื่องยนต์อุ่นขึ้น Air Valve จะเริ่มหรี่ลง คอมพิวเตอร์จะลดอัตราส่วนผสมให้จางลง (Lean Mixture) รอบเครื่องยนต์ค่อย ๆ ลดลงจน อุณหภูมิถึง 140 องศาฟาเรนไฮต์ลิ้น Air Valve จะปิด รอบเครื่องยนต์จะลดลงมาเป็นปกติ ประมาณ 800 รอบ / นาทีเรียกว่า Normal Idle กรรมวิธีในการอุ่นเครื่องจบลงตรงนี้ แต่ อุณหภูมิของเครื่องยนต์ยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป จนถึงอุณหภูมิทำงานตามปกติ Thermostat เป็น กลไกอีกอันหนึ่งที่ช่วยในการ Warm Up เครื่องยนต์และรักษาอุณหภูมิทำงานของเครื่องยนต์ โดยการควบคุมการไหลวนเวียนของน้ำหล่อเย็น

.....ขับขี่อย่างไรให้ร้อนได้เร็วและสึกหรอน้อยที่สุด......
Do not try to warm up the engine by letting the vehicle stationary, drive off straight away, do not race the engine....เป็นคำแนะนำที่จำมาจากหนังสือคู่มือการใช้รถ จำไม่ได้ว่ายี่ห้ออะไรการจอดอุ่นเครื่องอยู่กับที่เป็นวิธีการที่ล้าสมัย เพราะทำให้เครื่องร้อนช้าจึง แนะนำว่า ท่านควรเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม เมื่อติดเครื่องแล้วจะต้องขับออกไปภายใน 10 วินาทีเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงาน แต่การขับในช่วงนี้เป็นวิธีการที่ละเอียดอ่อน เครื่องยนต์ควร ทำงานเบา รอบเครื่องยนต์ไม่ควรเกิน 2000 รอบ / นาที ใช้ความเร็วสม่ำเสมอรถเกียร์ อัตโนมัติ จะไม่เข้าเกียร์ 4 หรือเกียร์ Overdrive จนกว่าอุณหภูมิของเครื่องยนต์เลย 130 องศาฟาเรนไฮต์ ไปแล้ว ซึ่งได้โปรแกรมไว้ในคอมพิวเตอร์ และเมื่อใดที่อุณหภูมิของเครื่อง ยนต์ถึงเกณฑ์ปกติ ท่านจะขับอย่างไรก็ได้ตามนิสัยการขับ (Driving Habit) ที่ท่านชอบ เพราะ ในช่วงนี้การสึกหรอจะมีน้อยมาก

.....กรณีตัวอย่างที่น่ารู้.....
.....1. ตอนเย็นหลังจากเลิกงานแล้วท่านขับรถกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านจอดรถแล้วไปอาบน้ำพัก ผ่อน จนค่ำแล้วก่อนเข้านอนนึกขึ้นได้ว่าจอดรถไว้หน้าบ้าน จึงลงมาติดเครื่องยนต์ขับรถเข้าไป จอดในโรงรถ Robert Sikorsky เขียนไว้ในหนังสือของเขาว่าการสึกหรอในช่วงนี้เทียบเท่า กับการขับรถปกติเป็นระยะทางถึง 800 กิโลเมตร ตัวเลขนี้เชื่อได้ว่ามาจากผลการทดสอบจริง แต่ไม่มีรายละเอียดอื่น ๆ เช่น อุณหภูมิของอากาศขณะนั้น
.....2. ถ้าบ้านของท่านเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีรถหลายคันใช้ร่วมกัน ควรเลือกใช้รถคัน ที่เพิ่งผ่านการใช้งานมาใหม่ ๆ ที่เครื่องยังอุ่นอยู่
.....3. ถ้าท่านจะซื้อรถใช้แล้ว อย่าใช้เลขระยะทางเป็นตัวกำหนดสภาพรถแต่อย่างเดียวควร ตรวจสอบพฤติกรรมอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น บ้านอยู่ห้องแถวกลางคืนเอารถเข้าจอดในบ้าน เช้าเลื่อนออกไปจอดริมถนน ต้องเลื่อนรถไป-มา เพื่อหาที่จอด


พิมพ์เองหรือ Copy มา  ทีกระทู้สาวๆ ถามเนี่ย คุณเบียร์ ขยันตอบซะยาวๆ จิงเลยนะคราบบบบ   ;)


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: Bluish Civic ที่ 10 กันยายน 2008, 13:06:59
ของผมก็ร้อนเหมือนกัน ยิ่งตอนรถวิ่งช้าๆด้วยนะ
แต่ยังไงก็ตรวจพวกท่อน้ำหล่อเย็น น้ำยาหม้อน้ำดูด้วยนะครับ
จะได้ไม่มีปัญหาในอนาคต

เพิ่งล้างหม้อน้ำไปล่ะ ใส่น้ำยาหล่อเย็นลงไปด้วย หวังว่าคงช่วยได้บ้างนะ สังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า พัดลมหม้อน้ำไม่ได้ทำงานตลอดเวลา จะทำเฉพาะเวลาที่เครื่องร้อนเด๋วเดียวก็ตัดแล้ว แต่ก็พอรู้ว่าเป็ยเรื่องปกติ 


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: Bluish Civic ที่ 10 กันยายน 2008, 13:10:29
จิงๆ การที่เครื่องยนต์ ร้อนเร็วนั้นดีแล้วนะครับ  (หมายถึงร้อนจนได้ที่มาตรฐานนะ) ดังบทความข้างล่างนี้เลยครับ ผมเคยอ่านเจอมาแล้วเห็นว่ามีประโยชน์จึงคัดเก็บไว้

การอุ่นเครื่องยนต์สำคัญแค่ไหน?

การสึกหรอที่รุนแรง ในการเริ่มเดินเครื่องยนต์ขณะเย็น มีคนเพียงไม่กี่คนจะทราบว่าในการใช้รถแต่ละเที่ยว การสึกหรอเกิดขึ้นสูงมากถึง 95 % ใน ตอนเริ่มเดินเครื่องขณะเครื่องเย็น หลังจากอุณหภูมิของเครื่องยนต์ร้อนถึงเกณฑ์ปกติแล้วการ สึกหรอมีน้อยมาก จนอาจกล่าวได้ว่าลืมไปได้เลย ด้วยเหตุนี้วิศวกรจึงพยายามหาทางหลีกเลี่ยง การเริ่มเดินเครื่องยนต์ขณะเย็น หรือเดินเครื่องยนต์ขณะเย็นให้สั้นที่สุด โดยออกแบบให้มี กลไกในการอุ่นเครื่องให้ร้อนได้เร็ว แนะนำผู้ขับขี่ควรจะปฏิบัติอย่างไรให้เครื่องร้อนเร็วและสึก หรอน้อยที่สุด
การสึกหรอของเครื่องยนต์ขณะเย็นเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
...แทบทุกคนจะตอบว่า เพราะน้ำมันหล่อลื่นขึ้นมาหล่อเลี้ยงไม่ทันตอบอย่างนี้ ถูกแผ่ว ๆ ได้ 5 คะแนน ใน 100 คะแนน ลองมาดูสูตรทางเคมีข้างล่างนี้
...C8 H 18 + 12.5 O 2 8 CO 2 9 H 2O
เชื้อเพลิง (ออกเทน) +ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ
....น้ำมันเชื้อเพลิง 1 ลิตร เมื่อติดไฟแล้วจะได้น้ำ 1 ลิตร (หรือใกล้เคียง) หลายท่านคงเคยเห็นน้ำไหลออกมาจากท่อไอเสียตอนติดเครื่องใหม่ ๆ ขณะที่เครื่องยังเย็นอยู่หลังจากเครื่องร้อนแล้วน้ำจะหายไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในห้อง เผาไหม้ ภายใต้กำลังอัด และขณะที่ผนังสูบ (Cylinder Wall) ยังเย็นอยู่ ทำให้น้ำที่เกิดจาก ปฏิกิริยาทางเคมีนี้กลั่นตัวจับที่ผนังสูบ และไปทำลายฟิล์ม น้ำมันหล่อลื่น ทำให้เกิดการเสียดสี ของโลหะกับโลหะ ระหว่างผนังสูบกับลูกสูบ และแหวนลูกลูบเกิดความฝืดและการสึกหรอสูง ทำให้ เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพทางกลไก (Mechanical efficiency) ต่ำมากในช่วงนี้ เมื่ออุณหภูมิของผนังสูบสูงขึ้น 130 องศาฟาเรนไฮต์ หรือสูงกว่า น้ำที่เกิดขึ้นจะไม่กลั่นตัว คงเป็นไอน้ำออกไปกับไอเสีย ฟิล์มน้ำมันหล่อลื่นจะกลับคืนมา ความฝืดลดลงการสึกหรอลดลง ประสิทธิภาพทางกลไกดีขึ้น จนเมื่อผนังสูบมีอุณหภูมิถึงระดับปกติที่เรียกว่า Operating Temperature ของเครื่องยนต์ การสึกหรอจะมีน้อยมากจนเรียกได้ว่าตัดทิ้งได้ ตอบอย่างนี้ได้ 100 คะแนนเต็ม....
....การสึกหรอของเครื่องยนต์ในลักษณะนี้ เป็นได้กับเครื่องยนต์เผาไหม้ภายใน (Internal Combustion Engine) ทุกชนิด ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล....
.....ส่วนอื่น ๆ ของเครื่องยนต์ที่เป็นเพลา เช่นเพลาข้อเสือ เพลาก้านต่อ ไม่มีการสึกหรอ และไม่เกี่ยวข้องกับการสึกหรอตอนเริ่มเดินเครื่องยนต์ ขณะเย็นเครื่องยนต์จึงมีจุดอ่อน อยู่ที่ การสึกหรอตอนเริ่มเดินเครื่องยนต์ขณะเย็นเครื่องยนต์จึงมีจุดอ่อนอยู่ที่ การสึกหรอของผนังสูบ ลูกสูบ แหวนลูกสูบ สามารถตรวจสอบได้โดยวิธีวัดกำลังอัดในสูบเมื่อมีการสึกหรอมาก ๆ กำลัง อัดในสูบจะต่ำลงสูบที่ 1 เป็นบริเวณที่น้ำเย็นจากหม้อน้ำไหลเข้ากำลังอัดจะต่ำที่สุด และค่อย เพิ่มมากขึ้นในสูบที่ 2 - 3 - 4 สูบสุดท้ายจะเป็นบริเวณที่น้ำร้อนไหลออกไปเข้าหม้อน้ำ กำลังอัดจะสูงกว่าสูบอื่น ๆ

....อันตรายจากการกลั่นตัวของน้ำมีอย่างไรบ้าง....
....1. เกิดการสึกหรอที่ผนังสูบ ลูกสูบและแหวนลูกสูบ ตามที่กล่าวแล้ว
....2. น้ำจะไหลลงไปในห้องข้อเสื้อปนกับน้ำมันหล่อลื่น ทำให้เป็นเมือกเหนียวและทำลาย สารเพิ่มคุณภาพ (Additive) ในน้ำมันหล่อลื่น แต่น้ำนี้จะระเหยออกไปได้เมื่อเครื่องยนต์ร้อน นานเพียงพอ(คนที่ใช้รถในระยะทางสั้นๆทุกวัน...ก็ถือว่าเป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์)
....3. กำมะถันในน้ำมันเชื้อเพลิงจะเป็นออกไซด์เมื่อเผาไหม้ และเมื่อรวมตัวกับน้ำจะเป็น กรดกำมะถัน (ซัลฟูริก)
......SO2 + 2H2 O = 2H 2SO4

....ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ + น้ำ = กรดกำมะถัน

...ทำให้น้ำมันหล่อลื่นเป็นกรด ดังนั้นน้ำมันหล่อลื่นทุกชนิดจะเป็นด่างไว้ก่อน โดยใส่สาร เพิ่มคุณภาพที่เป็นด่างเข้าไป เพื่อสู้กับกรดที่จะตามมา...
....4. กรดกำมะถัน จะไปกัดท่อไอเสียทำให้ผุกร่อน เมื่อน้ำไปกลั่นตัวที่ท่อไอเสีย

ทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาจะเกิดขึ้นในช่วงเริ่มเดินเครื่องยนต์ขณะเย็นแต่ละครั้งนานเพียง 5-10 นาทีเท่านั้นสำหรับบ้านเราที่เป็นเมืองร้อน ในเมืองหนาวจะใช้เวลามากกว่า..... เมื่อ 4-5 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ ได้กำหนดค่ากำมะถันในน้ำมันเชื้อเพลิงให้ลดลงมาเป็น 10 เท่าของค่ากำมะถันในน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นตัวกำหนดราคาน้ำมันด้วย ทำให้น้ำมันแพงขึ้น มีการพูดกันว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้สูงเกินไปหรือเปล่า ? แต่การผุกร่อนของท่อไอเสียลดลงอย่างเห็นได้ชัด

....มีกลไกอะไรในเครื่องยนต์ที่ช่วยในการอุ่นเครื่อง (Warm up)....
เครื่องของรถยนต์ไม่มีอุปกรณ์ในการอุ่นน้ำก่อนเดินเครื่อง แต่มีกลไกที่เมื่อเดินเครื่อง แล้วช่วยให้ร้อนได้เร็ว เครื่องยนต์สมัยใหม่ที่ใช้หัวฉีดควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์จะมีลิ้น Air Valve เปิด - ปิด ด้วยอุณหภูมิแบบ Thermowax เริ่มเปิดเมื่อ 140 องศาฟาเรนไฮต์ยิ่งเย็น มากก็จะเปิดกว้างมาก เพื่อให้อากาศเข้าเครื่องยนต์มาก ดังนั้นการเริ่มเดินเครื่องยนต์ขณะที่ อากาศเย็น เช่น ในตอนเช้าจะหมุนเร็วกว่าในตอนบ่ายที่อากาศอุ่นกว่าเครื่องยนต์เดิน เบาใน ตอนนี้เรียก Fast Idle คอมพิวเตอร์จะจ่ายน้ำมันมาก อัตราส่วนผสมแก่ (Rich Mixture) เพื่อช่วยเผาเครื่องยนต์ให้ร้อนเร็วนั่นเอง หลังจากเครื่องยนต์อุ่นขึ้น Air Valve จะเริ่มหรี่ลง คอมพิวเตอร์จะลดอัตราส่วนผสมให้จางลง (Lean Mixture) รอบเครื่องยนต์ค่อย ๆ ลดลงจน อุณหภูมิถึง 140 องศาฟาเรนไฮต์ลิ้น Air Valve จะปิด รอบเครื่องยนต์จะลดลงมาเป็นปกติ ประมาณ 800 รอบ / นาทีเรียกว่า Normal Idle กรรมวิธีในการอุ่นเครื่องจบลงตรงนี้ แต่ อุณหภูมิของเครื่องยนต์ยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป จนถึงอุณหภูมิทำงานตามปกติ Thermostat เป็น กลไกอีกอันหนึ่งที่ช่วยในการ Warm Up เครื่องยนต์และรักษาอุณหภูมิทำงานของเครื่องยนต์ โดยการควบคุมการไหลวนเวียนของน้ำหล่อเย็น

.....ขับขี่อย่างไรให้ร้อนได้เร็วและสึกหรอน้อยที่สุด......
Do not try to warm up the engine by letting the vehicle stationary, drive off straight away, do not race the engine....เป็นคำแนะนำที่จำมาจากหนังสือคู่มือการใช้รถ จำไม่ได้ว่ายี่ห้ออะไรการจอดอุ่นเครื่องอยู่กับที่เป็นวิธีการที่ล้าสมัย เพราะทำให้เครื่องร้อนช้าจึง แนะนำว่า ท่านควรเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม เมื่อติดเครื่องแล้วจะต้องขับออกไปภายใน 10 วินาทีเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงาน แต่การขับในช่วงนี้เป็นวิธีการที่ละเอียดอ่อน เครื่องยนต์ควร ทำงานเบา รอบเครื่องยนต์ไม่ควรเกิน 2000 รอบ / นาที ใช้ความเร็วสม่ำเสมอรถเกียร์ อัตโนมัติ จะไม่เข้าเกียร์ 4 หรือเกียร์ Overdrive จนกว่าอุณหภูมิของเครื่องยนต์เลย 130 องศาฟาเรนไฮต์ ไปแล้ว ซึ่งได้โปรแกรมไว้ในคอมพิวเตอร์ และเมื่อใดที่อุณหภูมิของเครื่อง ยนต์ถึงเกณฑ์ปกติ ท่านจะขับอย่างไรก็ได้ตามนิสัยการขับ (Driving Habit) ที่ท่านชอบ เพราะ ในช่วงนี้การสึกหรอจะมีน้อยมาก

.....กรณีตัวอย่างที่น่ารู้.....
.....1. ตอนเย็นหลังจากเลิกงานแล้วท่านขับรถกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านจอดรถแล้วไปอาบน้ำพัก ผ่อน จนค่ำแล้วก่อนเข้านอนนึกขึ้นได้ว่าจอดรถไว้หน้าบ้าน จึงลงมาติดเครื่องยนต์ขับรถเข้าไป จอดในโรงรถ Robert Sikorsky เขียนไว้ในหนังสือของเขาว่าการสึกหรอในช่วงนี้เทียบเท่า กับการขับรถปกติเป็นระยะทางถึง 800 กิโลเมตร ตัวเลขนี้เชื่อได้ว่ามาจากผลการทดสอบจริง แต่ไม่มีรายละเอียดอื่น ๆ เช่น อุณหภูมิของอากาศขณะนั้น
.....2. ถ้าบ้านของท่านเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีรถหลายคันใช้ร่วมกัน ควรเลือกใช้รถคัน ที่เพิ่งผ่านการใช้งานมาใหม่ ๆ ที่เครื่องยังอุ่นอยู่
.....3. ถ้าท่านจะซื้อรถใช้แล้ว อย่าใช้เลขระยะทางเป็นตัวกำหนดสภาพรถแต่อย่างเดียวควร ตรวจสอบพฤติกรรมอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น บ้านอยู่ห้องแถวกลางคืนเอารถเข้าจอดในบ้าน เช้าเลื่อนออกไปจอดริมถนน ต้องเลื่อนรถไป-มา เพื่อหาที่จอด


ขอบคุณมากนะคับ ได้ความรู้เพิ่มอีกแล้ว...เย้ๆ


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: Bluish Civic ที่ 10 กันยายน 2008, 13:14:45
:o สงสัยจะเป็นกระทู้ผู้สุงอายุ..อิอิ

ระวังจะเข้าตัวนะตัวเอง.


กำ.... มองเล่ยะ   ยังเกิดทันอีกหรือนี่   ;D ;D
..อิอิ
ของเค้าดีเป็นอมตะ ที่บ้านยังมีอยู่เลย

เราใช้ขมิ้น  รอดตัวไป                :-[

สูตรไหนเนี่ย???   ::)   สงสัยเป็นสูตรตั้งแต่ยังไม่มีแป้งเย็นแน่ๆ


หัวข้อ: Re: เครื่องยนต์ร้อนเร็ว
เริ่มหัวข้อโดย: Nixynat ที่ 11 กันยายน 2008, 12:27:49
 ;) ;)