หัวข้อ: CIVIC EK ใช้น้ำมันเบรค DOT 4 ได้มั๊ยครับ เริ่มหัวข้อโดย: taxman : ปทุมธานี ที่ 07 กรกฎาคม 2008, 09:59:14 ตามชื่อกระทู้ครับ เลยไม่แน่ใจว่าสามารถใช้ได้หรือเปล่า
ขอบคุณล่วงหน้า หัวข้อ: Re: CIVIC EK ใช้น้ำมันเบรค DOT 4 ได้มั๊ยครับ เริ่มหัวข้อโดย: beer4353 ที่ 07 กรกฎาคม 2008, 10:12:08 ตามชื่อกระทู้ครับ เลยไม่แน่ใจว่าสามารถใช้ได้หรือเปล่า ขอบคุณล่วงหน้า อย่าเชียวนะพี่โอม.... เพราะว่ามันแพง :-[ น้ำมันเบรค ระบบเบรคที่รถในปัจจุบันใช้กันอยู่นี้ เป็นแบบเบรค ไฮดรอลิค โดยมีของเหลว หรือน้ำมันเบรคทำหน้าที่ไฮดรอลิคในระบบห้ามล้อ เมื่อเรากดคันเหยียบเบรคลงไป แรงดันที่เราเหยียบไปบนแป้นเบรคจะถุกถ่ายทอดผ่านของเหลวในระบบไปยังเบรค ซึ่งทำให้ความเร้วของรถลดลงหรือหยุดตามที่เราต้องการได้ ระบบไฮดรอลิคเบรคนี้เริ่มมีการใช้ครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1992 แล้วแพร่หลายออกไป จนกลายเป็นระบบมาตราฐานสำหรับรถทั่วไปในช่วงปลายปี ค.ศ. 1930 ซึ่งในตอนนั้นชิ้นส่วนที่เป็นยางของระบบเบรค อย่างเช่นลูกยาง ซีลยาง ตลอดจนท่อยางทำมาจากพวกยางธรรมชาติ ซึ่งจะทำปฎิกริยากับน้ำมันปิโตรเลี่ยม ( Petroleum Oil ) ทำให้ยางพองและเปื่อย ดังนั้นน้ำมันเบรคในสมัยก่อนจึงทำมาจากน้ำมัน ระหุ่ง ภายหลังจึงมีการพัฒนามาใช้พวกของเหลวสังเคราะห์ (Synthetic ) แทนซึ่งประกอบไปด้วย Polyglycol และ Glycol Ether รวมกับสารเคมีเพิ่มคุณภาพ คุณสมบัตของน้ำมันเบรคที่ดี น้ำมันเบรคที่ดีนั้นนอกจากทำหน้าที่ไฮดรอลิคแล้ว ยังจำเป็นต้องมีคุณสมบัติอื่นอีกคือ 1. หล่อลื่นส่วนต่างๆ ในระบบห้ามล้อ เช่น แม่ปั๊ม และ ลูกปั๊ม 2. มีความหนืดเหมาะสม ซึ่งหมายความว่าสามารถใช้ได้ในอุณภูมิต่างๆ ไม่ว่าร้อนหรือเย็น 3. ไม่เป็นอันตรายต่อลูกยาง และชิ้นส่วนที่เป็นโลหะในระบบห้ามล้อ 4. มีจุดเดือดสูง ไม่ระเหยง่าย 5. คงทน ไม่เสื่อมสภาพง่าย ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สมาคมวิศวกรยานยนต์แห่งสหรัฐอเมริกา ( Society Of Automotive Engineer หรือ SAE )ได้เริ่มกำหนดมาตราฐานน้ำมันเบรคขึ้นในปี ค.ศ. 1946 โดยเรียกชื่อมาตราฐานนี้ว่า SAE 70 R1 และกำหนดมาตราฐานน้ำมันเบรคไว้ว่าต้องมีจุดเดือดไม่ต่ำกว่า 302 องศาฟาเรนไฮต์ ในปี ค.ศ. 1964 ทางสมาคมวิศวกรยานยนต์แห่งสหรัฐอเมริกา ได้มีการปรับปรุงมาตราฐานน้ำมันเบรคขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เรียกชื่อว่า SAE 70 R 3 เพิ่มกำหนดจุดเดือดของน้ำมันเบรคให้สูงขึ้นไปกว่าเดิมอีก โดยกำหนดเอาไว้ว่าจุดเดือดขั้นต่ำจะต้องไม่ต่ำกว่า 374องศาฟาเรนไฮต์ ต่อมาช่วงปี ค.ศ. 1968 ได้มีการเปลี่ยนชื่อมาตราฐานน้ำมันเบรคกันใหม่ โดยใช้ชื่อว่า SAE J 1703 ส่วนจุดเดือดนั้นยังคงไว้ที่ 374 องศาฟาเรนไฮต์ เท่ากับมาตราฐาน SAE 70 R 3 ปี ค.ศ. 1972 กระทรวงคมนาคมแห่งสหรัฐอเมริกา ( Department of Transportation หรือ DOT )ได้มีออกประกาศปรับปรุงมาตราฐานความปลอดภัยของยานพาหนะใหม่โดยกำหนดชื่อมาตราฐานสำหรับน้ำมันเบรคว่า DOT และได้กำหนดจุดเดือดของน้ำมันเบรคสำหรับมาตราฐาน DOT 3 ไม่ต่ำกว่า 401 องศาฟาเรนไฮต์ มาตรฐาน DOT 4 กำหนดเอาไว้ที่ 446 องศาฟาเรนไฮต์ พร้อมทั้งมีคุณสมบัติดูดซึมความชื้นต่ำกว่าน้ำมันเบรคมาตราฐาน DOT 3 และในการกำหนดมาตราฐานของน้ำมันเบรคนั้น ไม่ว่าจะเป็นระบบ SAE หรือ DOTก็ตามจะกำหนดตรงจุดเดือดเป็นหลัก ทั้งนี้เพราะในการเหยียบห้ามล้อยิ่งเป็นรถที่วิ่งด้วยความเร็วสูง หรืบรรทุกของหนัก อุณหภูมิที่ผ้าเบรคและจานเบรคจะสูงมาก ถ้าน้ำมันเบรคมีจุดเดือดต่ำก็จะระเหยเป็นไอได้ น้ำมันเบรคก็จะไม่ทำหน้าที่ของเหลวไฮดรอลิค ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า ? เบรคแตก ? ไม่สามารถหยุดรถได้ สาเหตุที่ต้องกำหนดจุดเดือดของน้ำมันเบรคไว้สูง เนื่องจากสารเคมี Polyglycol นั้นมีคุณสมบัติในการดูดซึมความชื้นสูง โดยเฉพาะบ้านเราที่เป็นเขตร้อนชื้นมีความชื้นสูง โอกาสที่ความชื้นในอากาศจะแทรกตัวเข้าไปปนในน้ำมันเบรคจึงมีมากความชื้นจะทำให้จุดเดือดของน้ำมันเบรคลดลงมา ดังนั้นน้ำมันเบรคที่ดีจึงต้องมีจุดเดือดสูงตั้งแต่แรก แม้จะมีความชื้นเข้าไปปนขณะใช้งาน จุดเดือดก็ไม่ต่ำมากจนถึงกับระเหยกลายเป็นไอเมื่อเหยียบห้ามล้อ สีตามธรรมชาติของน้ำมันเบรคคือ ขาวใสจนถึงเหลืองอ่อน ที่เราพบเห็นเป็นสีต่างๆไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีฟ้า หรือสีอื่นๆนั้นเป็นสีที่เติมเข้าไป เรื่องของสีจึงไม่เป็นผลต่อคุณภาพของน้ำมันเบรคแต่ประการใด คุณสมบัติที่ดีของน้ำมันเบรคคือจุดเดือดของน้ำมันเบรค อย่างน้ำมันเบรค DOT3 เค้ากำหนดให้ค่าความหนืดที่ 100 องศาเซลเซียส ไม่ต่ำกว่า 1.5 cSt และที่ ?40 องศาเซลเซียส ไม่สูงกว่า 1,500cSt เทียบกับน้ำมันเบรค DOT 5 ก็มีกำหนดให้ค่าความหนืดที่ 100 องศาเซลเซียส ไใต่ำกว่า 1.5 cSt และที่ ?40 องศาเซลเซียส ไมีสูงกว่า 900 cSt น้ำมันเบรคที่ซื้อจะต้องบรรจุอยู่ในภาชนะที่มีความจุมิดชิด ยิ่งปากภาชนะมีซีลปิดอีกชั้นเพื่อป้องกันความชื้นยิ่งดีใหญ่เลย และน้ำมันเบรคต้องมีคุณสมบัติเทียบเท่าหรือเหนือกว่ามาตรฐานสากล คือ มาตรฐาน SAE J 1703 หรือมาตราฐาน DOT 3,DOT 4 หรือ DOT5 โดยสังเกตได้จากที่พิมพ์ติดเอาไว้ข้างภาชนะบรรจุ ไม่ควรซื้อน้ำมันเบรคที่ไม่ได้ระบุมาตราฐานเอาไว้ที่ภาชนะบรรจุอย่างเด็ดขาด และเมื่อมีการเปิดกระป๋องหรือภาชนะบรรจุน้ำมันเบรคออกมาใช้งานแล้วใช้ไม่หมดมีน้ำมันเบรคส่วนหนึ่งเหลืออยู่ ต้องปิดฝาให้สนิทและเก็บไว้ในที่แห้ง หากมีความต้องการเอาไว้ใช้งานในคราวต่อไป ไม่ควรเปิดฝาน้ำมันเบรคทิ้งไว้ ตลอดจนไม่ควรใช้น้ำมันเบรคที่เปิดใช้แล้ทิ้งไว้นานเพื่อให้ระบบห้ามล้ออยู่ในสภาพสมบูรณ์ ให้ความมั่นใจและปลอดภัยทุกครั้งที่มีการใช้เบรค น้ำมันเบรคเป็นตัวละลายที่ดีโดยเฉพราะสีรถหากถูกน้ำมันเบรคจะย่น หรือละลายหลุดล่อนออกมา จึงไม่ควรถูกผิวสีรถหรือผิวหนัง และควรเก็บไว่ให้ห่างมือเด็กด้วยเพื่อความปลอดภัยหากมีการเติมหรือใช้น้ำมันเบรคให้เตรียมภาชนะบรรจุน้ำเอาไว้ใกล้มือก่อน เพราะน้ำมันเบรคถูกน้ำจะหมดฤทธิ์ทันที ดังนั้นในการเติมน้ำมันเบรคหลังจากเติมและปิดฝาเรียบร้อยแล้ว ช่างบางคนนิยมเทน้ำราดลงไปที่กระปุกเติมน้ำมันเบรค และบริเวณใกล้เคียง เพื่อจัดการกับน้ำมันเบรคที่หยดและตกค้างเอาไว้โดยไม่ได้ตั่งใจ มิฉะนั่นกว่าจะรู้ตัวสีรถก็จะหลุดออกมาเป็นรอย ตามที่น้ำมันเบรคตกค้างอยู่ ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคทุก 1-2 ปี หรือประมาณ 20,000-30,000 กม. โดยดูจากคู่มือประจำรถเป็นหลัก หรือมีรายการขับรถลุยน้ำลุยฝนก็ควรเปลี่ยนน้ำมันเบรคกันปีละครั้ง เนื่องจากน้ำมันเบรคก็มีลักษณะเดียวกันกับผลิตภัณฑ์หล่อลืนอื่นๆซึ่ใช้ในรถยนต์ที่ต้องมีการเปลี่ยนถ่าย ทั้งนี้เป็นคุณสมบัติของน้ำมันเบรคจะเริ่มเสื่อมลง หลังจากการใช้งานไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง สาเหตุที่สำคัญที่สุดเกิดจากความชื้นที่เข้าไปปนในเนื้อน้ำมันเบรคทำให้จุดเดือดของน้ำมันเบรคลดต่ำลง ผลจาการทดลองพบว่าภายในระยะเวลา 12-15 เดือน น้ำมันเบรคสามารถดูดซึมความชื้น ทำให้จุดเดือดของน้ำมันเบรคลดลงเหลือประมาณ 300 องศาฟาเรนไฮต์ หรือต่ำกว่านี้ซะอีก ซึ่งถ้ามีการใช้น้ำมันเบรคเหล่านี้ต่อไปอาจเกิดความไม่ปลอดภัยได้ นอกจกนี้ผลจากการดูดความชื้นเข้าไปปะปนในเนื้อน้ำมันเบรค จะทำให้เกิดการกัดกร่อนและเกิดสนิมจากความชื้นหรือน้ำ กับท่อทางเดินน้ำมันเบรคที่เป็นเป็บเหล็ก และเกิดเป็นสนิมขุมในในชุดกระบอกแม่ปั๊ม ทำให้เกิดการชำรุดสึกหลอ อายุการใช้งานสั้นลง และอาจเกิดมีผลต่อการทำงานเกิดเป็นอันตรายได้ จึงควรมีการตรวจสอบระบบห้ามล้อ และเปลี่ยนถ่านน้ำมันเบรคตามกำหนดหากเป็นน้ำมันเบรคในกระปุดเดิมพร่องไป มักมีสาเหตุจากผ้าเบรคบางลงจากการใช้งาน หรือลูกยางเบรคเสื่อมสภาพ น้ำมันเบรคมีการรั่วไหลจากระบบ ควรนำรถไปให้ช่างตรวจสอบโดยเร็ว และควรเติมน้ำมันเบรคให้เต็มไว้เสมอ น้ำมันเบรคต่างยี่ห้อกัน แต่ได้มาตรฐานเดียวกันเสมอใช้ปนกันได้ มาจาก www.cm-motorsports.com :) หัวข้อ: Re: CIVIC EK ใช้น้ำมันเบรค DOT 4 ได้มั๊ยครับ เริ่มหัวข้อโดย: taxman : ปทุมธานี ที่ 07 กรกฎาคม 2008, 10:29:29 :'( ปกติผมก็ใช้ DOT 3 อยู่น่ะ
หัวข้อ: Re: CIVIC EK ใช้น้ำมันเบรค DOT 4 ได้มั๊ยครับ เริ่มหัวข้อโดย: pop96 ที่ 07 กรกฎาคม 2008, 12:51:26 ข้อมูล สุดยอดเลยเบียร์
หัวข้อ: Re: CIVIC EK ใช้น้ำมันเบรค DOT 4 ได้มั๊ยครับ เริ่มหัวข้อโดย: dear3231 ที่ 07 กรกฎาคม 2008, 21:16:04 ถ้าจำไม่ผิด คู่มืออ่านว่าให้ใช้น้ำมันเบรคของ Honda ไม่ต่ำกว่าเกรด DOT3 ครับ
หัวข้อ: Re: CIVIC EK ใช้น้ำมันเบรค DOT 4 ได้มั๊ยครับ เริ่มหัวข้อโดย: My_Mint ที่ 07 กรกฎาคม 2008, 21:37:01 น้ำมันเบรคศูนย์ก็หัวทิ่มแล้วพี่เอ้ย :-X
หัวข้อ: Re: CIVIC EK ใช้น้ำมันเบรค DOT 4 ได้มั๊ยครับ เริ่มหัวข้อโดย: NEO ที่ 07 กรกฎาคม 2008, 21:40:07 แล้วเราใช้อะไรไปหว่า หัวทิ่มเหมือนกัน ::)
หัวข้อ: Re: CIVIC EK ใช้น้ำมันเบรค DOT 4 ได้มั๊ยครับ เริ่มหัวข้อโดย: Vitty ที่ 07 กรกฎาคม 2008, 22:24:44 แล้วเราใช้อะไรไปหว่า หัวทิ่มเหมือนกัน ::) คาดว่า BLACK LABEL ป่าวครับ หัวข้อ: Re: CIVIC EK ใช้น้ำมันเบรค DOT 4 ได้มั๊ยครับ เริ่มหัวข้อโดย: NEO ที่ 07 กรกฎาคม 2008, 23:05:01 หัวข้อ: Re: CIVIC EK ใช้น้ำมันเบรค DOT 4 ได้มั๊ยครับ เริ่มหัวข้อโดย: taxman : ปทุมธานี ที่ 08 กรกฎาคม 2008, 09:57:34 คาดว่า BLACK LABEL ป่าวครับ แบบนี้เรียก มาวหัวทิ่มแล้ว ;D หัวข้อ: Re: CIVIC EK ใช้น้ำมันเบรค DOT 4 ได้มั๊ยครับ เริ่มหัวข้อโดย: best ที่ 08 กรกฎาคม 2008, 13:26:52 :) น้ำมันเบรคตามสเปคแต่ผ้าซิ่งก็โอเคแร้วครับ
หัวข้อ: Re: CIVIC EK ใช้น้ำมันเบรค DOT 4 ได้มั๊ยครับ เริ่มหัวข้อโดย: beer4353 ที่ 08 กรกฎาคม 2008, 19:31:08 ข้อมูล สุดยอดเลยเบียร์ ขอบคุณครับ ป๊อบ :) (ก๊อปเขามาอีกที ) จุ๊ๆ :-[ หัวข้อ: Re: CIVIC EK ใช้น้ำมันเบรค DOT 4 ได้มั๊ยครับ เริ่มหัวข้อโดย: Regis100 ที่ 20 กรกฎาคม 2010, 12:47:37 ขุดมาดัน สรุปว่า รถเรา ใช้น้ำมันเบรค Dot 3 4 5 ได้หมดนะครับ แล้วแต่กำลังเพราะอันสุดท้ายนี่แพงกว่าอันแรกหลายเท่าเลย
|