:::CIVIC CLUB THAILAND:::

คุยคุ้ย Civic => Civic Club Discuss => ห้องคนขับ => ข้อความที่เริ่มโดย: taxman : ปทุมธานี ที่ 19 ธันวาคม 2007, 16:28:42



หัวข้อ: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: taxman : ปทุมธานี ที่ 19 ธันวาคม 2007, 16:28:42
ตอนนี้ผมใช้ ของยี่ห้อนึง เกรด  10W-40  อยู่ แบบกึ่งสังเคราะห์  ถ้าในระดับกึ่งสังเคราะห์ด้วยกัน ผมสามารถใช้เกรด10W-30 จะได้มั๊ยครับ  ข้อดี/เสียอย่างไร  ถามเป็นข้อมูลนะครับ หรือจะไปใช้แบบสังเคราะห์แท้ไปเลย นอกจากราคาที่เราต้องจ่ายแพงขึ้นแล้ว EK 96 เครื่องเดิมๆ มันเอาอยู่มั๊ยครับ หุหุ



ขอบคุณทุกความเห็น :-[


หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: joe2522 ที่ 19 ธันวาคม 2007, 16:35:08
ยี่ห้อ"นึง" ซื้อที่ไหนหรอพี่โอม...  ;)

ตอบไม่ได้ เลยเข้ามาดู...อิอิ


หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Octillion ที่ 19 ธันวาคม 2007, 16:45:00
ผมว่า 40 ดีอยู่แล้วนะ หนืดกำลังดีสำหรับเครื่องเก่า    :-[

รอคำตอบเหมือนกัลลลล    :-[

 


หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Bezy ที่ 19 ธันวาคม 2007, 20:34:51
มันอยู่ที่ความหนืดของน้ำมันอะพี่
เอาง่ายแบบชาวบ้านก้อ ถ้าความร้อนในเครื่องสูงขึ้นความหนืดของน้ำมันก้อจะน้อยลงด้วยทำให้หล่อลื่นไม่ค่อยดีเท่าไร(แบบง่ายๆอะ)


หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: taxman : ปทุมธานี ที่ 19 ธันวาคม 2007, 21:21:06
มันอยู่ที่ความหนืดของน้ำมันอะพี่
เอาง่ายแบบชาวบ้านก้อ ถ้าความร้อนในเครื่องสูงขึ้นความหนืดของน้ำมันก้อจะน้อยลงด้วยทำให้หล่อลื่นไม่ค่อยดีเท่าไร(แบบง่ายๆอะ)

 :o  อันไหนหนึดกว่ากันครับระหว่าง 10W-30 กับ 10W-40 แล้วรถเก่าๆ แบบนี้อันไหนเหมาะสมที่สุดครับ ในระดับน้ำมันแบบกึ่งสังเคราะห์เหมือนกัน


หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Octillion ที่ 19 ธันวาคม 2007, 21:24:01
40 ก็หนืดกว่าดิ    :-[


หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: joe2522 ที่ 19 ธันวาคม 2007, 21:29:36
ใช่ๆๆๆ เอาหนืดๆแบบพี่โอม  :P


หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Aod61 : มิสซิสซิปปี้ ที่ 19 ธันวาคม 2007, 21:47:24
จากที่เคยอ่านเจอ 
รถเก่า  เค้าแนะนำให้เติมน้ำมันเครื่องที่มี ความหนืดมากๆนะครับ
ประมาณว่า ชิ้นส่วนมันถูกใช้งานมานานแล้ว 
การใช้น้ำมันเครื่องที่หนืดมากๆ  มันจะช่วยลดการสึกหรอ ได้ดีกว่าน้ำมันที่ใสๆอ่ะ


หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: taxman : ปทุมธานี ที่ 19 ธันวาคม 2007, 21:56:24
จากที่เคยอ่านเจอ 
รถเก่า  เค้าแนะนำให้เติมน้ำมันเครื่องที่มี ความหนืดมากๆนะครับ
ประมาณว่า ชิ้นส่วนมันถูกใช้งานมานานแล้ว 
การใช้น้ำมันเครื่องที่หนืดมากๆ  มันจะช่วยลดการสึกหรอ ได้ดีกว่าน้ำมันที่ใสๆอ่ะ


อ่ะ ถามต่ออีกนิด  นั่นหมายความว่า การใช้น้ำมันเครื่องที่หนืดมากๆ มีส่วนทำให้การเร่งแซง หรือออกตัวรถค่อนข้างอืดกว่าปกติหรือเปล่าครับ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็มีผลถึงการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื่อเพลิงด้วยหรือไม่  ถ้าพูดถึงกรณีเครื่องยนต์อย่างเดียว ไม่พิจารณาถึงปัจจัยอื่น


ขอบคุณล่วงหน้าครับ  จะได้เป็นข้อมูล  :-[


หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Aod61 : มิสซิสซิปปี้ ที่ 19 ธันวาคม 2007, 22:04:33

อ่ะ ถามต่ออีกนิด  นั่นหมายความว่า การใช้น้ำมันเครื่องที่หนืดมากๆ มีส่วนทำให้การเร่งแซง หรือออกตัวรถค่อนข้างอืดกว่าปกติหรือเปล่าครับ ถ้าพูดถึงกรณีเครื่องยนต์อย่างเดียว ไม่พิจารณาถึงปัจจัยอื่น





ยึดทางสายกลางครับเจ้โอม
อย่าให้มันหนืดมากจนแตกต่างไปจากเดิม

เปลี่ยนแปลงแค่ 1 สเตป  ก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ


จะเอาให้แจ่มเลยนะ
สังเคราห์ 100 % ไปเลย
ให้ลูกรักของคุณ ได้กินของบำรุงดีๆบ้าง  เค้ารับใช้คุณมานานแล้วนะ


หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: SOHC Guru ที่ 20 ธันวาคม 2007, 01:27:45
เชื่อดิ เปลี่ยนน้ำมันหนืดขึ้นแค่ 1 เบอร์ ไม่รู้สึก
ถึงความแตกต่างหรอก ไม่เชื่อก็ลองดู


หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Ray ที่ 20 ธันวาคม 2007, 03:41:31
เชื่อดิ เปลี่ยนน้ำมันหนืดขึ้นแค่ 1 เบอร์ ไม่รู้สึก
ถึงความแตกต่างหรอก ไม่เชื่อก็ลองดู

เห็นด้วยครับ ยังไง รถเก่าแล้ว ก็ เปลี่ยนเป้น Super Syn 100 %  เลยครับ
แน่นอน แต่ของเรย์ 5w 50 ,มั่ง ไม่แน่ใจ แต่เติมหัวเชื่อเข้าไปครับ


หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chang@es ที่ 20 ธันวาคม 2007, 07:56:44
ตอนนี้ผมใช้ ของยี่ห้อนึง เกรด  10W-40  อยู่ แบบกึ่งสังเคราะห์  ถ้าในระดับกึ่งสังเคราะห์ด้วยกัน ผมสามารถใช้เกรด10W-30 จะได้มั๊ยครับ  ข้อดี/เสียอย่างไร  ถามเป็นข้อมูลนะครับ หรือจะไปใช้แบบสังเคราะห์แท้ไปเลย นอกจากราคาที่เราต้องจ่ายแพงขึ้นแล้ว EK 96 เครื่องเดิมๆ มันเอาอยู่มั๊ยครับ หุหุ



ขอบคุณทุกความเห็น :-[
แนะนำเบอร์40 ครับ ตัวเลข 10W ไม่ต้องไปสนใจมันนะครับเขาใช้สำหรับเมืองหนาว
ปล.
   1. เบอร์ 30 เหมาะสำหรับรถใหม่ๆนะครับ (ยังไม่เกินแสนโลนะครับ)
   2. เบอร์ 40 1 แสนขึ้นไปเพราะชิ้นส่วนภายในเริ่มมีระยะห่างมากขึ้นแล้วครับ.
   3. เบอร์ 50  ตัวน้ำมันจะมีความหนืดมาก.
ส่วนจะเลือก แบบกึ่งสังเคราะห์ หรือ แบบสังเคราะห์ 100% เลือกตามใจชอบเลยครับ.




หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pappo ที่ 20 ธันวาคม 2007, 18:59:12
ที่มาจาก http://www.blogth.com/blog/Colorliving/Love_Car/5720.html


เรื่องของเกรดน้ำมันเครื่อง
    ความหมายของเกรดน้ำมันเครื่องที่อยู่ข้างกระป๋องนั้นมีความสำคัญต่อการใช้งานของเครื่องยนต์เราสามารถแบ่งเกรดน้ำมันเครื่องออกได้สองประเภทด้วยกันดังนี้
       -แบ่งตามความหนืด
       -แบ่งตามสภาพการใช้งาน
    การแบ่งเกรดน้ำมันเครื่องตามความหนืด แบบนี้จะเป็นที่คุ้นเคยและใช้กันมานานแล้ว และเป็นมาตรฐานที่ใช้อ้างอิงของอีกหลายสถาบันที่ตั้งขึ้นมาทีหลังอีกด้วย พูดถึง
มาตรฐาน "SAE" คงจะรู้จักกันมาตรฐานนี้ก่อตั่งโดย "สมาคมวิศวกรยานยนต์" ของอเมริกา (Society of Automotive Engineers) การแบ่งเกรดของน้ำมันเครื่อง
แบบนี้จะแบ่งเป็นเบอร์ เช่น 30,40,50 ซึ่งตัวเลขแต่ละชุดนั้นจะหมายถึงค่าความข้นใสหรือค่าความหนืดของน้ำมันหล่อลื่น โดยน้ำมันที่มีเบอร์ต่ำจะใสกว่าเบอร์สูง ตัวเลขที่
แสดงอยู่นั้นจะมาจากการทดสอบที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส หมายความว่าที่อุณหภูมิทำการทดสอบ น้ำมันเบอร์ 50 จะมีความหนืดมากกว่าน้ำมันเบอร์ 30 เป็นต้น
น้ำมันที่มีตัว "W" ต่อท้ายนั้นย่อมาจากคำว่า Winter เป็นน้ำมันเครื่องที่เหมาะสำหรับใช้ในอุณหภูมิต่ำ ยิ่งตัวเลขน้อยยิ่งมีความข้นใสน้อย จะวัดกันที่อุณหภูมิต่ำ -18
องศาเซลเซียสน้ำมันเบอร์ 5W จะมีความข้นใสน้อยกว่าเบอร์ 15W นั่นหมายความว่าตัวเลขสำหรับเกรดที่มี "W" ต่อท้ายเลขยิ่งน้อย ยิ่งคงความข้นใสในอุณหภูมิที่ติดลบ
มาก ๆ ได้เหมาะสำหรับใช้งานในประเทศที่มีภูมิอากาศหนาวเย็นมาก อย่างเกรด 0W นั้นสามารถคงความข้นใสได้ถึงประมาณ -30 องศาเซลเซียส เกรด 20 W สามารถ
คงความข้นใสได้ถึงอุณหภูมิประมาณ -10 องศาเซลเซียส น้ำมันเครื่องทั้งสองเกรดนี้เรียกว่า "น้ำมันเครื่องชนิดเกรดเดียว" (Single Viscosity หรือ Single Grade)
    ส่วนน้ำมันเครื่องชนิดเกรดรวม (Multi Viscosity หรือ Multi Grade) นั้นทาง SAE ไม่ได้เป็นผู้กำหนดมาตรฐานของน้ำมันเกรดรวม แต่เกิดจากการที่ผู้ผลิต
สามารถปรับปรุงโดยใช้สารเคมีเข้ามาผสมจนสามารถทำให้น้ำมันเครื่องนั้น ๆ มีมาตรฐานเทียบเท่ากับมาตรฐานของ SAE ทั้งสองแบบได้เพื่อให้เกิดความหลากหลายใน
การใช้งานตามสภาพภูมิประเทศที่มีอุณหภูมิต่างกันมาก การผสมสารปรับปรุงคุณภาพนั้นแตกต่างกันมากน้อยตามความต้องการในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเกรด 5W-40
หรือ 15W-50 แต่การแบ่งเกรดของน้ำมันเครื่องตามความหนืดที่เราเรียกกันเป็นเบอร์นี้สามารถบอกได้แค่ช่วงความหนืดเท่านั้นแต่ไม่ได้บ่งบอกถึงระดับในการใช้งานของ
เครื่องยนต์แต่ละประเภท ต่อมาในประมาณปี 1970 SAE,API และ ASTM (American Society for Testing and Masterials) ได้ร่วมมือกันกำหนดการแยก
น้ำมันเครื่องตามสภาพการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี่เครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้น เราจึงเห็นได้เห็นจากข้างกระป๋องบรรจุ ตัวอย่างเช่น การบอก
มาตรฐานในการใช้งานไว้ API SJ/CF และมีค่าความหนืดของ SAE 20W-50 ควบคู่กันไปด้วยแสดงว่าน้ำมันเครื่องชนิดนี้สามารถใช้กับเครื่องยนต์เบ็นซินได้เทียบเท่า
เกรด SJ ถ้าใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลจะเทียบเท่าเกรด CF ที่ค่าความหนืด SAE 20W-50
    การกำหนดมาตราฐานของน้ำมันเครื่องตามสภาพการใช้งานนั้น สามารถแบ่งมาตรฐานของน้ำมันเครื่องโดยอ้างอิงสถาบันใหญ่ได้หลายสถาบันเช่น
       -สถาบัน "API" หรือสถาบันปิโตรเลียมแห่งสหรัฐอเมริกา
       -สถาบัน "ACEA" (เดิมเรียก CCMC) เกิดจากการรวมตัวของสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ในตลาดร่วมยุโรป
       -สถาบัน "JASO" เกิดจากการรวมตัวของสถาบันกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่น จะเห็นได้ว่าแต่เดิมสถาบัน API ซึ่งเคยมีบทบาทมากในอดีต และเป็นสถาบันที่
กลุมผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกยอมรับ ปัจจุบันในกลุ่มประเทศยุโรปและญี่ปุ่นก็ได้มีการออกมาตรฐานขึ้นมาเป็นของตนเองเช่นกัน
    คำว่า "API" ย่อมาจาก "American Petroleum Institute" หรือสถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกาซึ่งจะแบ่งเกรดน้ำมันหล่อลื่นตามสภาพการใช้งานเป็นสองประเภท
ใหญ่ ๆ ตามชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ก็คือ
       -"API"ของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเบ็นซินเป็นเชื้อเพลิงใช้สัญลักษณ์ "S" (Service Stations Classifications) นำหน้า เช่น SA, SB, SC, SD, SE, SF, SG, SH, และ SJ
       -"API"ของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง ใช้สัญลักษณ์ "C" (Commercial Classifi-cations) นำหน้าเช่น CA, CB, CC, CD, CD-II, CF, CF-2, CF-4, และ CG-4
    เรามาดูน้ำมันเครื่งที่ใช้น้ำมันเบ็นซินเป็นเชื้อเพลิงกันก่อนจะใช้สัญลักษณ์ "S" และตามด้วยสัญลักษณ์แทนน้ำมันเกรดต่าง ๆ ที่แบ่งได้ตามเกรดดังต่อไปนี้
       -SA สำหรับเครื่องยนต์เบ็นซินใช้งานเบาไม่มีสารเพิ่มคุณภาพ
       -SB สำหรับเครื่องยนต์เบ็นซินใช้งานเบามีสารเพิ่มคุณภาพเล็กน้อย และสารป้องกันการกัดกร่อนไม่แนะนำให้ใช้ในเครื่องยนต์รุ่นใหม่
       -SC สำหรับเครื่องยนต์เบ็นซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1964-1967 โดยมีคุณภาพสูงกว่ามาตรฐาน SB เล็กน้อย เช่น มีสารควบคุมการเกิดคราบเขม่า
       -SD สำหรับเครื่องยนต์เบ็นซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1968-1971 โดยมีสารคุณภาพสูงกว่า SC และมีสารเพิ่มคุณภาพมากกว่า SC
       -SE สำหรับเครื่องยนต์เบ็นซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1971-1979 มีสารเพิ่มคุณภาพเพื่อเพิ่มสมรรถนะให้สูงกว่า SD และ SC และยังสามารถใช้แทน SD และ SC
ได้ดีกว่าอีกด้วย
       -SF สำหรับเครื่องยนต์เบ็นซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1980-1988 มีคุณสมบัติป้องกันการเสื่อมสภาพสามารถจะทนความร้อนสูงกว่า SE และยังมีสารชำระล้างคราบ
เขม่าได้ดีขึ้น
       -SG เริ่มประกาศใช้เมื่อเดือนมีนาคม คศ.1988 มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นกว่ามาตรฐาน SF โดยเฉพาะมีสารป้องกันการสึกหรอ สารป้องกันการกัดกร่อน สารป้องกันสนิม
สารป้องกันการเสื่อมสภาพเนื่องจากความร้อน และสารชะล้าง-ละลาย และย่อยเขม่าที่ดีขึ้น
       -SH เริ่มประกาศใช้เมื่อปี คศ.1994 เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์ได้มีการพัฒนาเครื่องยนต์อย่างรวดเร็วมีระบบใหม่ ๆ ในเครื่องยนต์ที่ถูกคิดค้นนำเข้ามาใช้ เช่น
ระบบ Twin Cam, Fuel Injector, Multi-Valve, Variable Valve Timing และยังมีการติดตั้งระบบแปรสภาพไอเสีย (Catalytic Convertor) เพิ่มขึ้น
       -SJ เป็นมาตรฐานสูงสุดในปัจจุบัน เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ.1997 มีคุณสมบัติทั่วไปคลายกับมาตรฐาน SH แต่จะช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ดีกว่ามีค่าการระเหย
ตัว (Lower Volatility) ต่ำกว่าทำให้ลดอัตราการกินน้ำมันเครื่องลงและมีค่าฟอสฟอรัส (Phosphorous) ที่ต่ำกว่าจะช่วยให้เครื่องกรองไอเสียใช้งานได้นานขึ้น
    สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลจะใช้สัญลักษณ์ "C" (Commercial Classifications) และตามสัด้วยสัญลักษณ์ที่แทนด้วยน้ำมันเกรดต่าง ๆ โดยจะแบ่งตามลักษณะเครื่อง
ยนต์ที่ใช้งานแตกต่างกัน
       -CA สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้งานเบา เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ผลิตขึ้นระหว่าง คศ. 1910-1950 มีสารเพิ่มคุณภาพเล็กน้อย เช่น สารป้องกันการกัดกร่อน
สารป้องกันคราบเขม่าไปเกาะติดบริเวณลูกสูบผนังลูกสูบและแหวนน้ำมัน
       -CB สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลธรรมดา งานเบาปานกลาง มาตรฐานนี้เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1949 มีคุณภาพสูงกว่า CA โดยสารคุณภาพดีกว่า CA
       -CC สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบ มาตรฐานนี้เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1961 ซึ่งมีคุณภาพสูงกว่า CB โดยเพิ่มคุณสมบัติในการป้องกันคราบเขม่า
มีสารป้องกันสนิมและกัดกร่อน ไม่ว่าเครื่องยนต์จะร้อนหรือเย็นจัดก็ตาม
       -CD สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนัก และรอบจัดเริ่มประกาศใช้ คศ.1955 มีคุณภาพสูงกว่า CC
       -CD-II สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล 2 จังหวะ เริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1988 ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์ดีทรอยด์ ซึ่งใช้ในกิจการทางทหาร
       -CE สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนัก และรอบจัดเริ่มประกาศใช้ คศ.1983 มีคุณภาพสูงกว่า CD ป้องกันการกินน้ำมันเครื่องได้อย่าง
ดีเยี่ยม
       -CF เป็นมาตรฐานสูงสุดในเครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบัน สำหรับเกรดธรรมดา (Mono Grade) เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1994 เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลทุกชนิด
ไม่ว่าจะใช้ งานหนักหรือเบา สามารถใช้แทนในมาตรฐานที่รอง ๆ ลงมา เช่น CE, CD, CC ได้ดีกว่าอีกด้วย
       -CF-2 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุนใหม่ 2 จังหวะเริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1994 ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์ดีทรอยด์ ซึ่งใช้ในกิจการทางทหาร
       -CF-4 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ 4จังหวะที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนักและรอบจัด เริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1990 เป็นน้ำมันเครื่องเกรดรวม
สามารถป้องกันการกินน้ำมันเครื่องได้ดีเยี่ยม -CG-4 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ 4จังหวะซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดในในปัจจุบัน เริ่มประกาศใชปี 1996 เป็นน้ำมัน
เครื่องเกรดรวม
    มาตรฐานน้ำมันเครื่อง ACEA ย่อมาจาก The Association des Constructeurs Europeens d'Automobile หรือเป็นทางการว่า European
Automobile Manufarturer' Association สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ในตลาดร่วมยุโรบซึ่งได้แก่ ALFA ROMEO, BRITISH LEYLAND, BMW, DAF,
DAIMLER-BENZ, FIAT, MAN, PEUGEOT, PORSCHE, RENAULT, VOLKSWAGEN, ROLLS-ROYCE, และ VOLVO ได้มีการกำหนด
มาตรฐานโดยเริ่มใช้อย่างเป็นทางการเมื่อ 1 มกราคม 1996 โดยยกเลิกมาตรฐาน CCMC ไปเนื่องจาก ACEA มีสถาบันเข้าร่วมโครงการมากกว่าและมีข้อกำหนดที่เด่นชัด
       -มาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน (Gasoline (Petron) Engines)
       A 1-96 มาตรฐานที่ใช้สำหรับเครื่องยนต์เบ็นซินทั่วไป
       A 2-96 มาตรฐานพิเศษสูงขึ้นไปอีก
       A 3-96 มาตรฐานสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์เบ็นซินในปัจจุบัน
       -มาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็ก (Light Duty Diesel Engines)
       B 1-96 มาตรฐานที่ใช้สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กทั่วไป
       B 2-96 มาตรฐานพิเศษสูงขึ้นไปอีก
       B 3-96 มาตรฐานสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กในปัจจุบัน
       -มาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ (Heavy Duty Diesel Engines)
       E 1-96 มาตรฐานที่ใช้สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ทั่วไป
       E 2-96 มาตรฐานพิเศษสูงขึ้นไปอีก
       E 3-96 มาตรฐานสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบัน
    มาตรฐานน้ำมันเครื่อง JASO ย่อมาจาก Japanese Automobile Standard Organization หรือกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเเป็นกลุ่มที่มีบทบาท
มากขึ้นในปัจจุบัน ต่อมาเรียกรวมเป็นมาตรฐาน ISO โดยเเบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
       -เครื่องยนต์เบนซิน
       JSE (ISO-L-EJGE) เทียบพอๆ กับมาตรฐาน API SE หรือ CCMC G1 โดยเน้นป้องกันการสึกหรอบริเวณวาล์วเพิ่มขึ้น
       JSG (ISO-L-EJDD) เทียบกับมาตรรฐานสูงกว่า API SG หรือ CCMC G4 โดยเน้นป้องกันการสึกหรอบริเวณวาล์วเพิ่มขึ้นไปอีก
       -เครื่องยนต์ดีเซล
       JASO CC (ISO -L-EJDC) โดยกำหนดว่าต้องผ่านการทดสอบโดยเครื่องยนต์นิสสัน SD 22 เป็นเวลา 50 ชั่วโมง เทียบได้กับ API CC เป็นอย่างต่ำ
       JASO CD (ISO -L-EJDD) โดยกำหนดว่าต้องผ่านการทดสอบโดยเครื่องยนต์นิสสัน SD 22 เป็นเวลา 100 ชั่วโมง เทียบได้กับ API CD เป็นอย่างต่ำ
    มาตรฐานน้ำมันเครื่องแห่งกองทัพสหรัฐ
       มาตรฐาน MIL-L-2104 เป็นมาตรฐานของน้ำมันหล่อลื่นที่กำหนดขึ้นสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลและเบ็นซิน มีรายละเอียดดังนี้
       MIL-L-2104 A ถูกกำหนดขึ้นเมื่อปี 1954 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่มีกำมะถันต่ำและเครื่องยนต์เบ็นซินทั่ว ๆ ไปเปรียบได้กับมาตรฐาน API CA/SB ปัจจุบัน
ยกเลิกไปแล้ว
       MIL-L-2104 B กำหนดใช้เมื่อปี 1964 สำหรับน้ำมันหล่อลื่นทีมีสารเพิ่มคุณภาพด้านการป้องกันการเกิดอ๊อกซิเดชั่นและป้องกันสนิม เทียบได้กับมาตรฐาน
API CC/SC
       MIL-L-2104 C กำหนดใช้เมื่อปี 1970 สำหรับน้ำมันหล่ดลื่นที่ใช้กับเครื่องยนต์ที่มีรอบสูงมาก ๆ และการใช้งานหนัก มีสารป้องกันคราบเขม่า ป้องกันการสึกหรอ
และป้องกันสนิม เทียบได้กับมาตรฐาน API CD/SC
       MIL-L-2104 D กำหนดใช้เมื่อปี 1983 เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลและเบ็นซิน 4 จังหวะ ที่มีประสิทธิภาพสูงใช้งานหนัก เทียบได้กับมาตรฐาน API CD/SC
       MIL-L-2104 E กำหนดใช้เมื่อปี 1988 เหมาะกับเครื่องยนต์ดีเซลและเบ็นซิน 4 จังหวะ รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงใช้งานหนัก เทียบได้กับมาตรฐาน API CF/SG
       มาตรฐาน MIL-L-46152 เริ่มกำหนดใช้เมื่อปี 1970 เป็นมาตรฐานน้ำมันเครื่องยนต์ดีเซลและเบ็นซิน
       MIL-L-46152 A เริ่มใช้เมื่อปี 1980 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลและเบ็นซินทั่วไป เทียบได้กับมาตรฐาน API SE/CC
       MIL-L-46152 B กำหนดใช้เมื่อปี1981เป็นการรวมมาตรฐาน MIL-L-2104 Bเทียบได้กับมาตรฐาน API SF/CC
       MIL-L-46152 C กำหนดใช้เมื่อปี 1987 โดยปรับปรุงจากมาตรฐาน MIL-L-46152 B เพราะมีการเปลียนแปลงวิธีการวัดจุดไหลเทใหม่
       MIL-L-46152 D เป็นมาตรฐานที่ปรับปรุงมาจาก MIL-L-46152 C เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการทดสอบเครื่องยนต์ และมีคุณสมบัติป้องกันการเกิด
อ๊อกซิเดนชั่นดีขึ้นกว่าเดิม เทียบได้กับมาตรฐาน API SE/CD
       MIL-L-46152 E มาตรฐานล่าสุด เทียบได้กับมาตรฐาน API SG/CE
    สำหรับมาตรฐานน้ำมันเครื่องที่รู้จัก ก็คือมาตรฐาน "API" และ "SAE" ซึ่งน้ำมันเครื่องจากผู้ผลิตส่วนใหญ่มักจะแจ้งมาคู่กันบางยี่ห้อจะบอกค่าดัชนีความหนืดของ
"SAE" อย่างเช่น 5W-30, 15W-40 เป็นต้นและจะมีค่ามาตรฐานที่บอกสมรรถนะของน้ำมันเครื่องกระป๋องนั้นเป็นมาตรฐาน "API" เช่น SE, SF, SG, CC, CD,
CE เป็นต้น
    ดังนั้นการเลือกใช้น้ำมันเครื่องก็ไม่ควรฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ เลือกใช้ให้เหมาะกับรถก็พอแต่ควรจะเลือกใช้ค่าความหนืดให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและอาศัยการเปลี่ยน
ถ่ายที่เหมาะสมแก่เวลา ส่วนการเลือกใช้น้ำมันสังเคราะห์นั้นมันก็ดีที่ช่วยยืดอายุเครื่องยนต์ได้อีกทางแต่มันไม่ค่อยเหมาะสมกับรถที่ใช้งานธรรมดาจะเหมาะกับพวกชอบใช้
รอบเครื่องยนต์สูง ๆ ขับซิ่ง ๆยิ่งในเศรษฐกิจแบบนี้ต้องไม่จ่ายแพงกว่า และการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้งก็ควรที่จะเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องควรคู่กันไปด้วย 


หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: taxman : ปทุมธานี ที่ 20 ธันวาคม 2007, 23:45:08
อ๊ะ ข้อมูลปึกดีครับ ขอบคุณมาก


งั้นผมก็คงเลือกใช้ 10W-40 ต่อไปดีกว่า เพราะมันเหมาะกับรถระดับนี้ดี ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ


หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Octillion ที่ 20 ธันวาคม 2007, 23:50:41
ผมใช้ 15W-50 ของ Helix plus ครับ รู้สึกหนืดไปนิด แต่โอเค    :-[