หัวข้อ: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ เริ่มหัวข้อโดย: taxman : ปทุมธานี ที่ 19 ธันวาคม 2007, 16:28:42 ตอนนี้ผมใช้ ของยี่ห้อนึง เกรด 10W-40 อยู่ แบบกึ่งสังเคราะห์ ถ้าในระดับกึ่งสังเคราะห์ด้วยกัน ผมสามารถใช้เกรด10W-30 จะได้มั๊ยครับ ข้อดี/เสียอย่างไร ถามเป็นข้อมูลนะครับ หรือจะไปใช้แบบสังเคราะห์แท้ไปเลย นอกจากราคาที่เราต้องจ่ายแพงขึ้นแล้ว EK 96 เครื่องเดิมๆ มันเอาอยู่มั๊ยครับ หุหุ
ขอบคุณทุกความเห็น :-[ หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ เริ่มหัวข้อโดย: joe2522 ที่ 19 ธันวาคม 2007, 16:35:08 ยี่ห้อ"นึง" ซื้อที่ไหนหรอพี่โอม... ;)
ตอบไม่ได้ เลยเข้ามาดู...อิอิ หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ เริ่มหัวข้อโดย: Octillion ที่ 19 ธันวาคม 2007, 16:45:00 ผมว่า 40 ดีอยู่แล้วนะ หนืดกำลังดีสำหรับเครื่องเก่า :-[
รอคำตอบเหมือนกัลลลล :-[ หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ เริ่มหัวข้อโดย: Bezy ที่ 19 ธันวาคม 2007, 20:34:51 มันอยู่ที่ความหนืดของน้ำมันอะพี่
เอาง่ายแบบชาวบ้านก้อ ถ้าความร้อนในเครื่องสูงขึ้นความหนืดของน้ำมันก้อจะน้อยลงด้วยทำให้หล่อลื่นไม่ค่อยดีเท่าไร(แบบง่ายๆอะ) หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ เริ่มหัวข้อโดย: taxman : ปทุมธานี ที่ 19 ธันวาคม 2007, 21:21:06 มันอยู่ที่ความหนืดของน้ำมันอะพี่ เอาง่ายแบบชาวบ้านก้อ ถ้าความร้อนในเครื่องสูงขึ้นความหนืดของน้ำมันก้อจะน้อยลงด้วยทำให้หล่อลื่นไม่ค่อยดีเท่าไร(แบบง่ายๆอะ) :o อันไหนหนึดกว่ากันครับระหว่าง 10W-30 กับ 10W-40 แล้วรถเก่าๆ แบบนี้อันไหนเหมาะสมที่สุดครับ ในระดับน้ำมันแบบกึ่งสังเคราะห์เหมือนกัน หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ เริ่มหัวข้อโดย: Octillion ที่ 19 ธันวาคม 2007, 21:24:01 40 ก็หนืดกว่าดิ :-[
หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ เริ่มหัวข้อโดย: joe2522 ที่ 19 ธันวาคม 2007, 21:29:36 ใช่ๆๆๆ เอาหนืดๆแบบพี่โอม :P
หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ เริ่มหัวข้อโดย: Aod61 : มิสซิสซิปปี้ ที่ 19 ธันวาคม 2007, 21:47:24 จากที่เคยอ่านเจอ
รถเก่า เค้าแนะนำให้เติมน้ำมันเครื่องที่มี ความหนืดมากๆนะครับ ประมาณว่า ชิ้นส่วนมันถูกใช้งานมานานแล้ว การใช้น้ำมันเครื่องที่หนืดมากๆ มันจะช่วยลดการสึกหรอ ได้ดีกว่าน้ำมันที่ใสๆอ่ะ หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ เริ่มหัวข้อโดย: taxman : ปทุมธานี ที่ 19 ธันวาคม 2007, 21:56:24 จากที่เคยอ่านเจอ รถเก่า เค้าแนะนำให้เติมน้ำมันเครื่องที่มี ความหนืดมากๆนะครับ ประมาณว่า ชิ้นส่วนมันถูกใช้งานมานานแล้ว การใช้น้ำมันเครื่องที่หนืดมากๆ มันจะช่วยลดการสึกหรอ ได้ดีกว่าน้ำมันที่ใสๆอ่ะ อ่ะ ถามต่ออีกนิด นั่นหมายความว่า การใช้น้ำมันเครื่องที่หนืดมากๆ มีส่วนทำให้การเร่งแซง หรือออกตัวรถค่อนข้างอืดกว่าปกติหรือเปล่าครับ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็มีผลถึงการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื่อเพลิงด้วยหรือไม่ ถ้าพูดถึงกรณีเครื่องยนต์อย่างเดียว ไม่พิจารณาถึงปัจจัยอื่น ขอบคุณล่วงหน้าครับ จะได้เป็นข้อมูล :-[ หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ เริ่มหัวข้อโดย: Aod61 : มิสซิสซิปปี้ ที่ 19 ธันวาคม 2007, 22:04:33 อ่ะ ถามต่ออีกนิด นั่นหมายความว่า การใช้น้ำมันเครื่องที่หนืดมากๆ มีส่วนทำให้การเร่งแซง หรือออกตัวรถค่อนข้างอืดกว่าปกติหรือเปล่าครับ ถ้าพูดถึงกรณีเครื่องยนต์อย่างเดียว ไม่พิจารณาถึงปัจจัยอื่น ยึดทางสายกลางครับเจ้โอม อย่าให้มันหนืดมากจนแตกต่างไปจากเดิม เปลี่ยนแปลงแค่ 1 สเตป ก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ จะเอาให้แจ่มเลยนะ สังเคราห์ 100 % ไปเลย ให้ลูกรักของคุณ ได้กินของบำรุงดีๆบ้าง เค้ารับใช้คุณมานานแล้วนะ หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ เริ่มหัวข้อโดย: SOHC Guru ที่ 20 ธันวาคม 2007, 01:27:45 เชื่อดิ เปลี่ยนน้ำมันหนืดขึ้นแค่ 1 เบอร์ ไม่รู้สึก
ถึงความแตกต่างหรอก ไม่เชื่อก็ลองดู หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ เริ่มหัวข้อโดย: Ray ที่ 20 ธันวาคม 2007, 03:41:31 เชื่อดิ เปลี่ยนน้ำมันหนืดขึ้นแค่ 1 เบอร์ ไม่รู้สึก ถึงความแตกต่างหรอก ไม่เชื่อก็ลองดู เห็นด้วยครับ ยังไง รถเก่าแล้ว ก็ เปลี่ยนเป้น Super Syn 100 % เลยครับ แน่นอน แต่ของเรย์ 5w 50 ,มั่ง ไม่แน่ใจ แต่เติมหัวเชื่อเข้าไปครับ หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ เริ่มหัวข้อโดย: chang@es ที่ 20 ธันวาคม 2007, 07:56:44 ตอนนี้ผมใช้ ของยี่ห้อนึง เกรด 10W-40 อยู่ แบบกึ่งสังเคราะห์ ถ้าในระดับกึ่งสังเคราะห์ด้วยกัน ผมสามารถใช้เกรด10W-30 จะได้มั๊ยครับ ข้อดี/เสียอย่างไร ถามเป็นข้อมูลนะครับ หรือจะไปใช้แบบสังเคราะห์แท้ไปเลย นอกจากราคาที่เราต้องจ่ายแพงขึ้นแล้ว EK 96 เครื่องเดิมๆ มันเอาอยู่มั๊ยครับ หุหุ แนะนำเบอร์40 ครับ ตัวเลข 10W ไม่ต้องไปสนใจมันนะครับเขาใช้สำหรับเมืองหนาวขอบคุณทุกความเห็น :-[ ปล. 1. เบอร์ 30 เหมาะสำหรับรถใหม่ๆนะครับ (ยังไม่เกินแสนโลนะครับ) 2. เบอร์ 40 1 แสนขึ้นไปเพราะชิ้นส่วนภายในเริ่มมีระยะห่างมากขึ้นแล้วครับ. 3. เบอร์ 50 ตัวน้ำมันจะมีความหนืดมาก. ส่วนจะเลือก แบบกึ่งสังเคราะห์ หรือ แบบสังเคราะห์ 100% เลือกตามใจชอบเลยครับ. หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ เริ่มหัวข้อโดย: pappo ที่ 20 ธันวาคม 2007, 18:59:12 ที่มาจาก http://www.blogth.com/blog/Colorliving/Love_Car/5720.html
เรื่องของเกรดน้ำมันเครื่อง ความหมายของเกรดน้ำมันเครื่องที่อยู่ข้างกระป๋องนั้นมีความสำคัญต่อการใช้งานของเครื่องยนต์เราสามารถแบ่งเกรดน้ำมันเครื่องออกได้สองประเภทด้วยกันดังนี้ -แบ่งตามความหนืด -แบ่งตามสภาพการใช้งาน การแบ่งเกรดน้ำมันเครื่องตามความหนืด แบบนี้จะเป็นที่คุ้นเคยและใช้กันมานานแล้ว และเป็นมาตรฐานที่ใช้อ้างอิงของอีกหลายสถาบันที่ตั้งขึ้นมาทีหลังอีกด้วย พูดถึง มาตรฐาน "SAE" คงจะรู้จักกันมาตรฐานนี้ก่อตั่งโดย "สมาคมวิศวกรยานยนต์" ของอเมริกา (Society of Automotive Engineers) การแบ่งเกรดของน้ำมันเครื่อง แบบนี้จะแบ่งเป็นเบอร์ เช่น 30,40,50 ซึ่งตัวเลขแต่ละชุดนั้นจะหมายถึงค่าความข้นใสหรือค่าความหนืดของน้ำมันหล่อลื่น โดยน้ำมันที่มีเบอร์ต่ำจะใสกว่าเบอร์สูง ตัวเลขที่ แสดงอยู่นั้นจะมาจากการทดสอบที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส หมายความว่าที่อุณหภูมิทำการทดสอบ น้ำมันเบอร์ 50 จะมีความหนืดมากกว่าน้ำมันเบอร์ 30 เป็นต้น น้ำมันที่มีตัว "W" ต่อท้ายนั้นย่อมาจากคำว่า Winter เป็นน้ำมันเครื่องที่เหมาะสำหรับใช้ในอุณหภูมิต่ำ ยิ่งตัวเลขน้อยยิ่งมีความข้นใสน้อย จะวัดกันที่อุณหภูมิต่ำ -18 องศาเซลเซียสน้ำมันเบอร์ 5W จะมีความข้นใสน้อยกว่าเบอร์ 15W นั่นหมายความว่าตัวเลขสำหรับเกรดที่มี "W" ต่อท้ายเลขยิ่งน้อย ยิ่งคงความข้นใสในอุณหภูมิที่ติดลบ มาก ๆ ได้เหมาะสำหรับใช้งานในประเทศที่มีภูมิอากาศหนาวเย็นมาก อย่างเกรด 0W นั้นสามารถคงความข้นใสได้ถึงประมาณ -30 องศาเซลเซียส เกรด 20 W สามารถ คงความข้นใสได้ถึงอุณหภูมิประมาณ -10 องศาเซลเซียส น้ำมันเครื่องทั้งสองเกรดนี้เรียกว่า "น้ำมันเครื่องชนิดเกรดเดียว" (Single Viscosity หรือ Single Grade) ส่วนน้ำมันเครื่องชนิดเกรดรวม (Multi Viscosity หรือ Multi Grade) นั้นทาง SAE ไม่ได้เป็นผู้กำหนดมาตรฐานของน้ำมันเกรดรวม แต่เกิดจากการที่ผู้ผลิต สามารถปรับปรุงโดยใช้สารเคมีเข้ามาผสมจนสามารถทำให้น้ำมันเครื่องนั้น ๆ มีมาตรฐานเทียบเท่ากับมาตรฐานของ SAE ทั้งสองแบบได้เพื่อให้เกิดความหลากหลายใน การใช้งานตามสภาพภูมิประเทศที่มีอุณหภูมิต่างกันมาก การผสมสารปรับปรุงคุณภาพนั้นแตกต่างกันมากน้อยตามความต้องการในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นเกรด 5W-40 หรือ 15W-50 แต่การแบ่งเกรดของน้ำมันเครื่องตามความหนืดที่เราเรียกกันเป็นเบอร์นี้สามารถบอกได้แค่ช่วงความหนืดเท่านั้นแต่ไม่ได้บ่งบอกถึงระดับในการใช้งานของ เครื่องยนต์แต่ละประเภท ต่อมาในประมาณปี 1970 SAE,API และ ASTM (American Society for Testing and Masterials) ได้ร่วมมือกันกำหนดการแยก น้ำมันเครื่องตามสภาพการทำงานของเครื่องยนต์เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี่เครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้น เราจึงเห็นได้เห็นจากข้างกระป๋องบรรจุ ตัวอย่างเช่น การบอก มาตรฐานในการใช้งานไว้ API SJ/CF และมีค่าความหนืดของ SAE 20W-50 ควบคู่กันไปด้วยแสดงว่าน้ำมันเครื่องชนิดนี้สามารถใช้กับเครื่องยนต์เบ็นซินได้เทียบเท่า เกรด SJ ถ้าใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลจะเทียบเท่าเกรด CF ที่ค่าความหนืด SAE 20W-50 การกำหนดมาตราฐานของน้ำมันเครื่องตามสภาพการใช้งานนั้น สามารถแบ่งมาตรฐานของน้ำมันเครื่องโดยอ้างอิงสถาบันใหญ่ได้หลายสถาบันเช่น -สถาบัน "API" หรือสถาบันปิโตรเลียมแห่งสหรัฐอเมริกา -สถาบัน "ACEA" (เดิมเรียก CCMC) เกิดจากการรวมตัวของสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ในตลาดร่วมยุโรป -สถาบัน "JASO" เกิดจากการรวมตัวของสถาบันกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่น จะเห็นได้ว่าแต่เดิมสถาบัน API ซึ่งเคยมีบทบาทมากในอดีต และเป็นสถาบันที่ กลุมผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกยอมรับ ปัจจุบันในกลุ่มประเทศยุโรปและญี่ปุ่นก็ได้มีการออกมาตรฐานขึ้นมาเป็นของตนเองเช่นกัน คำว่า "API" ย่อมาจาก "American Petroleum Institute" หรือสถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกาซึ่งจะแบ่งเกรดน้ำมันหล่อลื่นตามสภาพการใช้งานเป็นสองประเภท ใหญ่ ๆ ตามชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ก็คือ -"API"ของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเบ็นซินเป็นเชื้อเพลิงใช้สัญลักษณ์ "S" (Service Stations Classifications) นำหน้า เช่น SA, SB, SC, SD, SE, SF, SG, SH, และ SJ -"API"ของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง ใช้สัญลักษณ์ "C" (Commercial Classifi-cations) นำหน้าเช่น CA, CB, CC, CD, CD-II, CF, CF-2, CF-4, และ CG-4 เรามาดูน้ำมันเครื่งที่ใช้น้ำมันเบ็นซินเป็นเชื้อเพลิงกันก่อนจะใช้สัญลักษณ์ "S" และตามด้วยสัญลักษณ์แทนน้ำมันเกรดต่าง ๆ ที่แบ่งได้ตามเกรดดังต่อไปนี้ -SA สำหรับเครื่องยนต์เบ็นซินใช้งานเบาไม่มีสารเพิ่มคุณภาพ -SB สำหรับเครื่องยนต์เบ็นซินใช้งานเบามีสารเพิ่มคุณภาพเล็กน้อย และสารป้องกันการกัดกร่อนไม่แนะนำให้ใช้ในเครื่องยนต์รุ่นใหม่ -SC สำหรับเครื่องยนต์เบ็นซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1964-1967 โดยมีคุณภาพสูงกว่ามาตรฐาน SB เล็กน้อย เช่น มีสารควบคุมการเกิดคราบเขม่า -SD สำหรับเครื่องยนต์เบ็นซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1968-1971 โดยมีสารคุณภาพสูงกว่า SC และมีสารเพิ่มคุณภาพมากกว่า SC -SE สำหรับเครื่องยนต์เบ็นซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1971-1979 มีสารเพิ่มคุณภาพเพื่อเพิ่มสมรรถนะให้สูงกว่า SD และ SC และยังสามารถใช้แทน SD และ SC ได้ดีกว่าอีกด้วย -SF สำหรับเครื่องยนต์เบ็นซินที่ผลิตระหว่าง คศ. 1980-1988 มีคุณสมบัติป้องกันการเสื่อมสภาพสามารถจะทนความร้อนสูงกว่า SE และยังมีสารชำระล้างคราบ เขม่าได้ดีขึ้น -SG เริ่มประกาศใช้เมื่อเดือนมีนาคม คศ.1988 มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้นกว่ามาตรฐาน SF โดยเฉพาะมีสารป้องกันการสึกหรอ สารป้องกันการกัดกร่อน สารป้องกันสนิม สารป้องกันการเสื่อมสภาพเนื่องจากความร้อน และสารชะล้าง-ละลาย และย่อยเขม่าที่ดีขึ้น -SH เริ่มประกาศใช้เมื่อปี คศ.1994 เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์ได้มีการพัฒนาเครื่องยนต์อย่างรวดเร็วมีระบบใหม่ ๆ ในเครื่องยนต์ที่ถูกคิดค้นนำเข้ามาใช้ เช่น ระบบ Twin Cam, Fuel Injector, Multi-Valve, Variable Valve Timing และยังมีการติดตั้งระบบแปรสภาพไอเสีย (Catalytic Convertor) เพิ่มขึ้น -SJ เป็นมาตรฐานสูงสุดในปัจจุบัน เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ.1997 มีคุณสมบัติทั่วไปคลายกับมาตรฐาน SH แต่จะช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ดีกว่ามีค่าการระเหย ตัว (Lower Volatility) ต่ำกว่าทำให้ลดอัตราการกินน้ำมันเครื่องลงและมีค่าฟอสฟอรัส (Phosphorous) ที่ต่ำกว่าจะช่วยให้เครื่องกรองไอเสียใช้งานได้นานขึ้น สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลจะใช้สัญลักษณ์ "C" (Commercial Classifications) และตามสัด้วยสัญลักษณ์ที่แทนด้วยน้ำมันเกรดต่าง ๆ โดยจะแบ่งตามลักษณะเครื่อง ยนต์ที่ใช้งานแตกต่างกัน -CA สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้งานเบา เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ผลิตขึ้นระหว่าง คศ. 1910-1950 มีสารเพิ่มคุณภาพเล็กน้อย เช่น สารป้องกันการกัดกร่อน สารป้องกันคราบเขม่าไปเกาะติดบริเวณลูกสูบผนังลูกสูบและแหวนน้ำมัน -CB สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลธรรมดา งานเบาปานกลาง มาตรฐานนี้เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1949 มีคุณภาพสูงกว่า CA โดยสารคุณภาพดีกว่า CA -CC สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบ มาตรฐานนี้เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1961 ซึ่งมีคุณภาพสูงกว่า CB โดยเพิ่มคุณสมบัติในการป้องกันคราบเขม่า มีสารป้องกันสนิมและกัดกร่อน ไม่ว่าเครื่องยนต์จะร้อนหรือเย็นจัดก็ตาม -CD สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนัก และรอบจัดเริ่มประกาศใช้ คศ.1955 มีคุณภาพสูงกว่า CC -CD-II สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล 2 จังหวะ เริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1988 ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์ดีทรอยด์ ซึ่งใช้ในกิจการทางทหาร -CE สำหรับเครื่องยนต์ที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนัก และรอบจัดเริ่มประกาศใช้ คศ.1983 มีคุณภาพสูงกว่า CD ป้องกันการกินน้ำมันเครื่องได้อย่าง ดีเยี่ยม -CF เป็นมาตรฐานสูงสุดในเครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบัน สำหรับเกรดธรรมดา (Mono Grade) เริ่มประกาศใช้เมื่อ คศ. 1994 เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลทุกชนิด ไม่ว่าจะใช้ งานหนักหรือเบา สามารถใช้แทนในมาตรฐานที่รอง ๆ ลงมา เช่น CE, CD, CC ได้ดีกว่าอีกด้วย -CF-2 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุนใหม่ 2 จังหวะเริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1994 ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยนต์ดีทรอยด์ ซึ่งใช้ในกิจการทางทหาร -CF-4 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ 4จังหวะที่ติดซุปเปอร์ชาร์จหรือเทอร์โบที่ใช้งานหนักและรอบจัด เริ่มประกาศใช้เมื่อปี 1990 เป็นน้ำมันเครื่องเกรดรวม สามารถป้องกันการกินน้ำมันเครื่องได้ดีเยี่ยม -CG-4 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ 4จังหวะซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดในในปัจจุบัน เริ่มประกาศใชปี 1996 เป็นน้ำมัน เครื่องเกรดรวม มาตรฐานน้ำมันเครื่อง ACEA ย่อมาจาก The Association des Constructeurs Europeens d'Automobile หรือเป็นทางการว่า European Automobile Manufarturer' Association สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ในตลาดร่วมยุโรบซึ่งได้แก่ ALFA ROMEO, BRITISH LEYLAND, BMW, DAF, DAIMLER-BENZ, FIAT, MAN, PEUGEOT, PORSCHE, RENAULT, VOLKSWAGEN, ROLLS-ROYCE, และ VOLVO ได้มีการกำหนด มาตรฐานโดยเริ่มใช้อย่างเป็นทางการเมื่อ 1 มกราคม 1996 โดยยกเลิกมาตรฐาน CCMC ไปเนื่องจาก ACEA มีสถาบันเข้าร่วมโครงการมากกว่าและมีข้อกำหนดที่เด่นชัด -มาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน (Gasoline (Petron) Engines) A 1-96 มาตรฐานที่ใช้สำหรับเครื่องยนต์เบ็นซินทั่วไป A 2-96 มาตรฐานพิเศษสูงขึ้นไปอีก A 3-96 มาตรฐานสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์เบ็นซินในปัจจุบัน -มาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็ก (Light Duty Diesel Engines) B 1-96 มาตรฐานที่ใช้สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กทั่วไป B 2-96 มาตรฐานพิเศษสูงขึ้นไปอีก B 3-96 มาตรฐานสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กในปัจจุบัน -มาตรฐานสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ (Heavy Duty Diesel Engines) E 1-96 มาตรฐานที่ใช้สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ทั่วไป E 2-96 มาตรฐานพิเศษสูงขึ้นไปอีก E 3-96 มาตรฐานสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบัน มาตรฐานน้ำมันเครื่อง JASO ย่อมาจาก Japanese Automobile Standard Organization หรือกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเเป็นกลุ่มที่มีบทบาท มากขึ้นในปัจจุบัน ต่อมาเรียกรวมเป็นมาตรฐาน ISO โดยเเบ่งเป็น 2 ประเภท คือ -เครื่องยนต์เบนซิน JSE (ISO-L-EJGE) เทียบพอๆ กับมาตรฐาน API SE หรือ CCMC G1 โดยเน้นป้องกันการสึกหรอบริเวณวาล์วเพิ่มขึ้น JSG (ISO-L-EJDD) เทียบกับมาตรรฐานสูงกว่า API SG หรือ CCMC G4 โดยเน้นป้องกันการสึกหรอบริเวณวาล์วเพิ่มขึ้นไปอีก -เครื่องยนต์ดีเซล JASO CC (ISO -L-EJDC) โดยกำหนดว่าต้องผ่านการทดสอบโดยเครื่องยนต์นิสสัน SD 22 เป็นเวลา 50 ชั่วโมง เทียบได้กับ API CC เป็นอย่างต่ำ JASO CD (ISO -L-EJDD) โดยกำหนดว่าต้องผ่านการทดสอบโดยเครื่องยนต์นิสสัน SD 22 เป็นเวลา 100 ชั่วโมง เทียบได้กับ API CD เป็นอย่างต่ำ มาตรฐานน้ำมันเครื่องแห่งกองทัพสหรัฐ มาตรฐาน MIL-L-2104 เป็นมาตรฐานของน้ำมันหล่อลื่นที่กำหนดขึ้นสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลและเบ็นซิน มีรายละเอียดดังนี้ MIL-L-2104 A ถูกกำหนดขึ้นเมื่อปี 1954 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่มีกำมะถันต่ำและเครื่องยนต์เบ็นซินทั่ว ๆ ไปเปรียบได้กับมาตรฐาน API CA/SB ปัจจุบัน ยกเลิกไปแล้ว MIL-L-2104 B กำหนดใช้เมื่อปี 1964 สำหรับน้ำมันหล่อลื่นทีมีสารเพิ่มคุณภาพด้านการป้องกันการเกิดอ๊อกซิเดชั่นและป้องกันสนิม เทียบได้กับมาตรฐาน API CC/SC MIL-L-2104 C กำหนดใช้เมื่อปี 1970 สำหรับน้ำมันหล่ดลื่นที่ใช้กับเครื่องยนต์ที่มีรอบสูงมาก ๆ และการใช้งานหนัก มีสารป้องกันคราบเขม่า ป้องกันการสึกหรอ และป้องกันสนิม เทียบได้กับมาตรฐาน API CD/SC MIL-L-2104 D กำหนดใช้เมื่อปี 1983 เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลและเบ็นซิน 4 จังหวะ ที่มีประสิทธิภาพสูงใช้งานหนัก เทียบได้กับมาตรฐาน API CD/SC MIL-L-2104 E กำหนดใช้เมื่อปี 1988 เหมาะกับเครื่องยนต์ดีเซลและเบ็นซิน 4 จังหวะ รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงใช้งานหนัก เทียบได้กับมาตรฐาน API CF/SG มาตรฐาน MIL-L-46152 เริ่มกำหนดใช้เมื่อปี 1970 เป็นมาตรฐานน้ำมันเครื่องยนต์ดีเซลและเบ็นซิน MIL-L-46152 A เริ่มใช้เมื่อปี 1980 สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลและเบ็นซินทั่วไป เทียบได้กับมาตรฐาน API SE/CC MIL-L-46152 B กำหนดใช้เมื่อปี1981เป็นการรวมมาตรฐาน MIL-L-2104 Bเทียบได้กับมาตรฐาน API SF/CC MIL-L-46152 C กำหนดใช้เมื่อปี 1987 โดยปรับปรุงจากมาตรฐาน MIL-L-46152 B เพราะมีการเปลียนแปลงวิธีการวัดจุดไหลเทใหม่ MIL-L-46152 D เป็นมาตรฐานที่ปรับปรุงมาจาก MIL-L-46152 C เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการทดสอบเครื่องยนต์ และมีคุณสมบัติป้องกันการเกิด อ๊อกซิเดนชั่นดีขึ้นกว่าเดิม เทียบได้กับมาตรฐาน API SE/CD MIL-L-46152 E มาตรฐานล่าสุด เทียบได้กับมาตรฐาน API SG/CE สำหรับมาตรฐานน้ำมันเครื่องที่รู้จัก ก็คือมาตรฐาน "API" และ "SAE" ซึ่งน้ำมันเครื่องจากผู้ผลิตส่วนใหญ่มักจะแจ้งมาคู่กันบางยี่ห้อจะบอกค่าดัชนีความหนืดของ "SAE" อย่างเช่น 5W-30, 15W-40 เป็นต้นและจะมีค่ามาตรฐานที่บอกสมรรถนะของน้ำมันเครื่องกระป๋องนั้นเป็นมาตรฐาน "API" เช่น SE, SF, SG, CC, CD, CE เป็นต้น ดังนั้นการเลือกใช้น้ำมันเครื่องก็ไม่ควรฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ เลือกใช้ให้เหมาะกับรถก็พอแต่ควรจะเลือกใช้ค่าความหนืดให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและอาศัยการเปลี่ยน ถ่ายที่เหมาะสมแก่เวลา ส่วนการเลือกใช้น้ำมันสังเคราะห์นั้นมันก็ดีที่ช่วยยืดอายุเครื่องยนต์ได้อีกทางแต่มันไม่ค่อยเหมาะสมกับรถที่ใช้งานธรรมดาจะเหมาะกับพวกชอบใช้ รอบเครื่องยนต์สูง ๆ ขับซิ่ง ๆยิ่งในเศรษฐกิจแบบนี้ต้องไม่จ่ายแพงกว่า และการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้งก็ควรที่จะเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องควรคู่กันไปด้วย หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ เริ่มหัวข้อโดย: taxman : ปทุมธานี ที่ 20 ธันวาคม 2007, 23:45:08 อ๊ะ ข้อมูลปึกดีครับ ขอบคุณมาก
งั้นผมก็คงเลือกใช้ 10W-40 ต่อไปดีกว่า เพราะมันเหมาะกับรถระดับนี้ดี ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ หัวข้อ: Re: สอบถามเรื่องน้ำมันเครื่องครับ เริ่มหัวข้อโดย: Octillion ที่ 20 ธันวาคม 2007, 23:50:41 ผมใช้ 15W-50 ของ Helix plus ครับ รู้สึกหนืดไปนิด แต่โอเค :-[
|