:::CIVIC CLUB THAILAND:::

เป็นไปตามที่ตั้งใจ คือ กะว่าซื้อรถ(CIVIC FD 2007) มาสัก 5 ปีก็จะติดแก๊ส เลยตัดสินใจติด lpg มาเมื่อวานซืน
ใช้มา 3 วัน ก็ ok นะ แต่ยังวิ่งน้ำมันอยู่มาก กะว่าจะวิ่งใ้ห้ แก๊สโซฮอลหมด ถัง แล้วจะไปเติม 91 หรือ 95 (ถ้าหาได้) มารองไว้สักครึ่งถัง
แต่ก็ใช้แก๊สไปบ้างแล้วล่ะ (ประมาณ 300 บาท) ร้านนี้ จูน ok เลย วิ่งเนียนดี เหมือนใช้น้ำมัน อะนะ
เดี๋ยวต้องรอดูยาวๆ ว่าจะมีปัญหาอะไรไหม แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะครับ
 :)

เตรียมตัวเสียตังเที่ยวได้เลยครับ
 ;D ;D ;D

ร้านไหนแนะนำหน่อยครับ เผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกครับ

ผมติดร้านหงษ์ทอง แถวสามพรานครับ อาจแพงกว่าร้านอื่นหน่อย แต่ซื้อความสบายใจ
พอดีเห็นจากเว็บไซต์ ดูผลงานเขา เห็นว่าติด civic มากกว่า 80 คัน และเห็นว่ามี pro ช่วยเหลือลากจูง book เช็คระยะ ผ่อน 0%
เลยตัดสินใจเอาร้านนี้
ตอนแรกว่าจะติด ER Adv OBD แต่ ร้านแนะนำให้ติด AC 300 premium จะดีกว่า (มี obd เหมือนกัน)
คุยไปคุยมาโดยละเอียด พบว่าสุดท้ายแล้ว ระบบ obd มันช่วย syn ระบบ แก๊ส กับ ECU ของรถ ทำให้เป็นการจูนแบบ ออโต้ ซึ่ง หากช่างจูนระบบที่ไม่มี obd โดยละเอียด ก็จะให้ศักยภาพของระบบที่เท่าเทียมกัน ดังนั้นเลยตัดสินใจติดแค่ AC 300 plus ก็พอ เพราะมันจูนละเอียดแบบ 3 มิติ ซึ่งถ้าช่างที่จูนมีประสบการณ์ ก็จะให้ศักยภาพ เทียบเท่า obd (ซึ่งก็ต้องอาศัย ศักยภาพช่าง จูนเหมือนกัน แต่อาจน้อยกว่า อันนี้ไม่แน่ใจ) สุดท้ายแล้ว มี obd หรือไม่มี obd มันก็ต้อง จูน เหมือนกัน ผมก็เลยเอาแค่ AC 300 plus ครับ แต่ถ้าใครมันใจช่างจัดๆ แบบว่ารู้ว่าเขาเทพมากๆ ในการจูน ก็ติดตัวต่ำสุดก็ได้นะ (ความเห็นส่วนตัว) เพราะถ้าช่างจูนเนียน ก็จบครับ เหมือนซื้อแค่อุปกรณ์ระบบที่สร้างความปลอดภัยก็พอ 20k ต้นๆ ก็จบ (แต่ร้านนี้ 29k ต่ำสุดครับ) แต่ของผมจ่ายไป 34,000 แพง อะนะ แต่ซื้อความสบายใจ แต่หากมีตังมากหน่อยก็ + 2,000 ถึง 4,000 ค่า obd

ลืมบอกไปว่าถ้าติดร้านนี้ต้องทวง pro นะ ตามที่เขาเขียนในเวบน่ะ เพราะคนที่เขียนข้อมูลบนเว็บ กับพนักงานที่รับรถเราอาจเป็นคนละคน เขาเลยไม่ได้เสนอ pro เรา แต่พอทวงเขาก็ให้ไม่มีปัญหาอะไรอะนะ

รุ่นธรรมดาไม่มี obd มันไม่สามารถ trim แก๊สได้  ก็ต้องพึง o2 sensorในการจูน  จะแบบติดรถหรือ wird band  เป็นหลัก  คราวนี้ ความช้าในการประมวลผลก็ช้ากว่า  เพราะกล่องน้ำมันเป็นตัวสั่งผ่านกล่องแก๊ส

สัญญาณ obd  ส่งได้หลายค่า sensor  ครับ  กล่องแก๊สจึงประมวลผลได้โดยตรงเลย  ไม่ต้องรอกล่องน้ำมันสั่งผ่านกล่องแก๊สซึ่งช้ากว่า  จะเห็นผลตอน  มีการเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิง  ความกดอากาศที่เปลี่ยนแปลงเช่น  ขึ้นที่สูง  อากาศร้อนจัด หนาวจัดเป็นต้นครับ  ทำให้อัตราส่วนผสมเพี้นตามความหนาแน่นอากาศ

:-* :-* :-*

อ๋อ อย่างนี้นี่เอง แต่ผม ไม่เคยวิ่ง สลับเชื้อเพลิงเลยยังไม่เห็นผล เพราะวิ่งแต่เชื้อเพลิงเดียวตลอด เลยรู้ไม่รู้สึกแตกต่างกัน อย่างนั้นผมว่าถ้าจะติด แบบไม่คิดไรมากก็ obd แต่ถ้า ไม่มีก็ใช้ได้เหมือนกัน (แบบผม) ใช้เชือเพลิงทีละอย่าง ส่วน ผลของความสูงถ้าคำนวณในลักษณะของความดัน อากาศ แบบง่ายๆ คือ
ความดันอากาศจะลดลง เมื่อความสูงเพิ่มขึ้น สมมมติว่าขึ้นดอยอินทนน ความสูง 2.5 กม จากระดับน้ำทะเล (มีการประมาณใน วิกิพิเดียว่าความสูง 5 กม. ความดันจะลดลง เหลือประมาณ 0.5 atm (ความดันที่ระดับปกติในกรุงเทพ ประมาณ 1 atm) ดังนั้นความดันอากาศจะลดลง ประมาณ 20% ที่ความสูงสุดระดับ ดอยอินทนน ซึ่งอันนี้เห็นด้วยครับว่าน่าจะมีผล แต่ การจูนระบบ (ทั้ง obd และไม่มี obd ) จะเผื่อการแกว่งของระบบไว้ประมาณ 10 % เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน ดังนั้น อีก 10% เกินมาเนื่องจากการขึ้นถึงจุดสูงสุดของดอยก็น่าจะเห็นผล แต่ผมว่ารถก็น่าจะยังวิ่งได้ แต่น่าจะกินแก๊สมากขึ้น (เพราะหัวฉีดแก๊สน่าจะคงแรงดันไว้เท่าเดิมซึ่งเท่ากับพื้นที่ราบ ในขณะที่ ออกซิเจนในอากาศลดลงเล็กน้อย) นะครับ (แต่มันต้องกินกว่าปกติอยู่แล้วอะ ก็มันขึ้นเขานี่นา)

ส่วนของอุณหภูมิ จากสูตรคำนวณเคมีง่าย PV = nRT (T หน่วย เคลวิน, 0 องศาเซลเซียส = 273 เคลวิน, 100 องศาเซลเซียส = 373)
ปกติ อากาศประเทศไทยหนาวสุด แบบขึ้นดอยหน้าหนาวขับรถ น่าจะประมาณ 280 เคลวิน ร้อนสุด 315 เคลวิน คิดเป็น 1.125 เท่า คิดเป็น 12.5%
เช่นเดียวกันกับความดัน แต่อุณภูมิแบบหน้าสุด และร้อนสุด น่าจะส่งผลให้เกิดความต่างของแรงดันแก๊สช่วงกว้างสุด ประมาณ 10% (ผลน้อยกว่าความสูงในกรณขึ้นดอย) ซึ่งถ้าไม่เอารถไปติดตั้งแก๊สบนดอยหน้าหนาว และไม่ติดตั้งแก๊สในหน้าร้อนวิ่งจูนตอนเที่ยง ก็จะทำให้ % ความเหวี่ยงเนื่องจากอุณภูมิอยู่ที่ประมาณ 5% ซึ่งอยู่ใน ช่วงที่การจูนคลุมไว้

ดังนั้น รถที่ผ่านการจูนอย่างละเอียด ผมจึงเชื่อว่าสามารถวิ่งได้ทั่วไทย และทุกฤดูครับ แต่อย่างที่ว่าแหละ มี obd มันก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก อะนะ เพราะมันช่วยดึงความเหวี่ยงให้แคบลงอีก

ต้องขอบคุณคุณ mos_vtecturbo ที่ทำให้ผมฉุกคิดเลยต้องมาประเมินว่าไม่มี obd แล้วมันวิ่งเนียนกว่าได้อย่างไร

สรุปในส่วนตัวผมคิดว่า obd ดีกว่า 2 อย่างคือ
1. การประมวลผลเร็วกว่า ส่งผลให้การเปลี่ยนระบบเชื้อเพลิงขณะรถวิ่ง จะไม่รู้สึกถึงอาการหน่วง แต่อย่างใด
2. ไม่ต้องกังวลการขึ้นดอยอินทนน ในหน้าหนาวจัด แบบมีน้ำค้างแข็ง :-[

ถ้าได้ลองใช้ระยะยาว จะรู้ถึงความแตกต่างครับ
ตามสูตร สมาการอะไรที่ว่ามา  ถ้าอัตราส่วนผสมหลุดจากช่วง 12.5-15.7/1  รถจะไม่ค่อยมีกำลังและสะดุดอยู่แล้ว ที่ชัดเจนสุดก็รถใช้ระบบดูดขึ้นแค่เขาค้อก็เห็นผล 
ส่วน fd กล่องน้ำมันไวใช้ได้ เพราะผมก็ใช้อยู่ obd จะยิ่งเห็นผลชัดเจนตอนแรงดันหม้อต้มเพี้ยน มันจะพยายามปรับแก๊สให้ จนไม่ไหวแบบสุดๆ บางที > +-30 % ถึงเกิดอาการสะดุด จึงเป็นข้อได้เปรียบเรื่องจูนไม่บ่อย ถึงจะได้จูนก็ใช้เวลาจูนน้อยกว่า
เมื่อก่อนที่ obd แพงๆ ผมก็พยายามหาเหตุผลมาหักล้าง แต่ตอนนี้เพิ่ม 2,000บาท ก็ได้ใช้แล้ว ดีกว่าคิดถึงอู่บ่อยๆ

เป็นเพียงแชร์ประสพการณ์นะครับ

อันนี้เห็นด้วยครับ เพราะในระยะยาว แรงดัน หม้อต้มต้องเพี้ยนแน่ และถ้าเกิดความแกว่งออกจากปกติถึง 30 %  ผมว่าไม่มี obd เครื่องน่าจะดับแน่ๆ ครับ แต่ก็พึ่งทราบเช่นกันครับ เพราะไม่เคยขับรถไกลๆ คือใช้แต่นำ้มันน่ะครับขับไกลๆ มันเปลือง  :-[ ขับแต่ภาคกลาง เลยไม่รู้ว่า แรงดันมันจะแกว่งได้ถึงขนาดนี้ ขอบคุณมากๆ ครับ ที่ช่วยแชร์ประสบการณ์  :-*

อีกเรื่อง เรื่อง trim เชื้อเพลิง  เพราะ fd  กล่องน้ำมัน เร็วมาก  ผมเคยจูนแก๊สอยู่ๆ  ฝนตก ซู่ลงมา กล่องน้ำมัน trim-10% ทันที  หร้อมกล่องแก๊ส trim- 8%
ตอนจูนกำลังเสร็จแล้ว  ฝนตกลงมาเฉยๆ  ถ้ามี obd scan ลองเสียบอ่านค่าดูครับ  ถ้าชอบแนวนี้ก็สนุกดี
  แสดงให้เห็นว่า 
กล่องน้ำมัน มีความเร็วในการปรับเชื้อเพลิง  แต่มีข้อจำกัด เพราะ +- ได้ไม่มาก 
ส่วนกล่องแก๊ส ปรับ +-  ได้เยอะพอสมควร 

ปัญหาของผมอีกอย่างคือ ผมมีน้ำมันแก๊สโซฮอล์อยู่ ครึ่งถึง แต่ร้านบอกว่า ให้พนานามใช้ให้หมด แล้วเปลี่ยนเป็น 91 หรือ 95 แทน
แต่บอกว่าห้ามใช้น้ำมันจนเหลือแค่ขีดแดง หรือ จนหมด อีกทั้งรถก็ยังวิ่งด้วย LPG ไม่ถึงพันโล เดี๋ยวก็ต้องเข้าไปจูน พันโลอีก คำถามคือผมควรทำยังไงดีเนี่ย เรียงลำดับการปฏิบัติไม่ถูกเลย แนะนำหน่อยครับ ::)

ถ่ายน้ำมันออกมาใส่รถผม :-*
แล้วบังคับสตาร์ทแก๊ส ออกไปเติมน้ำมัน
แสดงว่าไม่ได้ตัดปั๊มติ๊กแน่นเลย ถึงไม่ให้น้ำมันพร่องถัง

 :'( :-\