หัวข้อ: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 09 พฤษภาคม 2012, 11:02:00 :) สวัสดีค่ะเพื่อนสมาชิกทุกคน ... เราเพิ่งสมัครเป็นสมาชิก CIVIC CLUB สดๆ ร้อนๆ เราได้อ่านเรื่องราวของเพื่อนสมาชิกหลายๆ ท่านแล้ว ได้ทั้งความรู้และความสนุก เราก็เลยอยากแบ่งปันเรื่องราวที่ได้ประสบมากับตัวเอง ตั้งแต่ซื้อ CIVIC ค้นนี้ เผื่อว่าบางทีเรื่องของเราอาจเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ สมาชิกได้บ้างค่ะ ... ยังไงมาร่วมแชร์ความคิดเห็นกันนะคะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: chira711 ที่ 09 พฤษภาคม 2012, 11:08:55 8) :) :D ยินดีต้อนรับครับ...มีอะไร เกล็ดความรู้ อะไร ก็มาแชร์กันครับ...ที่นี่เปิดกว้างเสมอครับ...
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: patpat ที่ 09 พฤษภาคม 2012, 11:27:17 >:( สวัสดีจ๊า.....
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: chira711 ที่ 09 พฤษภาคม 2012, 11:42:58 :-[ :-[ ว่าแต่เรื่องราวเจ้าซิวิค เป็นไงบ้างครับ...แชร์ประสบการณ์ กันได้ครับ....ดีๆ ไม่ดี มีพี่น้อง คอยช่วยกัน...วิเคราะห์ครับ
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: thoed27 ที่ 09 พฤษภาคม 2012, 11:43:12 หวัดดีครับผม ยินดีต้อนรับครับ :-* :-* :-* :-* :-*
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: nakarin ที่ 09 พฤษภาคม 2012, 11:48:14 :-* :-* :-*
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 10 พฤษภาคม 2012, 12:28:53 :D ดีใจและขอบคุณที่ต้อนรับนะคะ ... เรื่องของเราเป็นประสบการณ์เกี่ยวกับ "รถและการเดินทาง" บางเรื่องอาจให้ประโยชน์ แต่บางเรื่องก็แค่ให้ความเพลิดเพลินอ่านเล่นยามว่าง ผิดพลาดประการใดขออภัยนะคะ
เรื่องที่ 1 ... "อยากมีรถเป็นของตัวเอง" ด้วยลักษณะงานและสถานที่ทำงานของเรา ทำให้ 9 ปี ที่ผ่านมาต้องเดินทางตลอด นั่งเครื่องบ้าง รถทัวร์บ้าง ยืมรถแม่ใช้บ้าง ขอติดรถคนอื่นบ้าง 555 จน ณ วันหนึ่ง วันที่ความรู้สึกแรงกล้าเกิดขึ้น "ฉันต้องมีรถเป็นของตัวเอง" ความอยากได้ก็เข้าครอบงำ หน้ามืดตามัว จะไปแห่งหนไหนก็มองดูแต่รถชาวบ้านเค้า...อุ๊ย! คันนั้นสวยจัง อุ๊ย! คันนี้ดูดี โอ๊ะๆ! คันนั่นยี่ห้ออะไรหน่ะ เจ๋งดี เฮ้ย!! รถใครเนี๊ยะ เลิศมั๊กมาก... แล้ววันหนึ่งไปเดินเซ็นทรัลพระราม 3 กับเพื่อนสาวคนสนิท มีโชว์รูมโตโยต้าเอารถมาโชว์ ก็รีบเดินปรีเข้าไปลองนั่งแบบไม่แคร์สื่อ นั่งคันโน้นที คันนี้ที จนเซลล์หยุดแนะนำทุกสิ่งอย่างและเลิกเดินตาม 555 ค่อยสบายตัวหน่อย ตอนเซลล์เดินตามรู้สึกเหมือนใส่เสื้อตัวเล็กผิดขนาด อึดอัดอยากถอดทิ้ง สุดท้ายมาลองนั่ง วีออส สีดำ ตอนนั่งในรถคันนั้นรู้สึกเหมือนโลกนี้มีแต่เธอกับฉัน เธอช่างหล่อ เท่ห์ ดูดี สง่างาม อิอิหุหุ และแล้วเพื่อนสาวก็ทำลายความคิดที่กำลังบรรเจิดด้วยคำพูดว่า "เฮ้ย!! คันนี้แหละ เหมาะกับแกที่สุด" ;D ... ติดตามต่อ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 10 พฤษภาคม 2012, 16:22:25 "วีออส ไมเนอร์เชนจ์ สีดำ 2006"
ปลายปี 2006 เราตัดสินใจซื้อโตโยต้าวีออส รุ่นไมเนอร์เชนจ์ สีดำ ซื้อที่ศูนย์โตโยต้าธนบุรี ซื้อกับเซลล์ที่เป็นเพื่อนของพี่สาวเพื่อนอีกที ได้ของแถมเยอะมาก คงเพราะเป็นคนรู้จักกัน รวมถึงอีกหนึ่งเดือนหน้า วีออสจะเปลี่ยนโฉมใหม่หมด ทำให้คนที่อยากซื้อรถต่างก็อยากได้รถรุ่นใหม่ แต่สำหรับเราตอนนั้นไม่ได้สนใจปีที่ซื้อรถเลย แค่มีเงินพอดาวน์โดยไม่ต้องให้ใครค้ำประกัน รถสวยโดนใจก็พอแล้วหล่ะ :-[ข้อคิดที่ได้รับ... ถ้ารออีกหนึ่งเดือนเราก็จะได้รถปี 2007 ถึงรูปลักษณ์จะไม่เหมือนคันนี้ แต่รุ่นใหม่ก็สวยไปอีกแบบ ที่สำคัญคือราคารถตอนขายต่อจะได้เพิ่มขึ้นพอสมควร หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 10 พฤษภาคม 2012, 16:26:17 "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"
หลังจ่ายเงินจองรถกับน้องเซลล์ไป 5,000 น้องเซลล์ก็บอกว่าเราสามารถรับรถได้วันไหน และวันนั้นต้องเตรียมเงินดาวน์มากี่บาท เสียค่าประกันป้ายกี่บาท พอได้ป้ายจริงแล้วศูนย์จะคืนเงินค่าประกันป้ายให้ ส่วนประกันชั้นหนึ่งไม่ต้องจ่าย เพราะศูนย์แถมให้ เพื่อนสาวคนสนิทแนะนำให้เราดูดวงว่าเราควรใช้รถสีอะไรให้ถูกโฉลกกับวันเกิด ให้ดูฤกษ์ว่าควรออกรถวันไหน เวลากี่โมง เพื่อเป็นสิริมงคล ฯลฯ ตอนนั้นฟังแล้วก็อดขำไม่ได้ ทำไมเพื่อนเราถึงได้โบราณไร้สาระแบบนี้...เพราะสำหรับเรา "รถมีไว้ขับ" ไม่เกี่ยวกับฤกษ์หรือดวง วันรับรถคือวันที่เงินพร้อม เอกสารครบ ไม่ติดงาน ฤกษ์ยามอะไรไม่สนใจหรอก แต่เพื่อนสาวยังอดหวังดีไม่ได้ อุส่าห์ซื้อพวงมาลัยดาวเรืองพวงโตมาให้ไว้แขวนไหว้แม่ยานางรถ พอไปถึงศูนย์ก็จ่ายเงินดาวน์ จ่ายค่าประกันป้าย เซ็นต์เอกสาร เสร็จแล้วก็ขับรถออกมาเลย พวงมาลัยที่เพื่อนให้มาก็วางอยู่เบาะข้างๆ นั่นแหละ ไม่แขวนให้เกะกะ ... ได้รถแล้ว ไปหล่ะคร๊าบ!! หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 10 พฤษภาคม 2012, 16:44:06 "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"...การชนครั้งแรก
หลังจากได้รถมาแค่สองอาทิตย์ จอดติดไฟแดงแยกดาวคะนอง เข้าเกียร์ N ไม่เหยียบเบรค (มั่นใจในรถใหม่ ไม่ดูสภาพพื้นถนน) แล้วมัวทำอะไรอยู่จำไม่ได้ ปล่อยให้รถไหลไปชนรถฮอนด้า (ไดเมนชั่น) ที่จอดรอไฟเขียวอยู่หน้ารถเรา เหมือนจะชนไม่แรงแต่พอลงไปดูแล้วอึ้ง รถเราแค่ป้ายทะเบียนงุ้มเข้านิดหน่อย แต่ฮอนด้ากันชนด้านข้างทั้งซ้ายขวาโป่งออกชัดเจน เสียเวลารอประกันอยู่ประมาณ 15 นาที (ประกันของวิริยะ) ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าประกันควรมาถึงที่เกิดเหตุภายในเวลาเท่าไหร่ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่า 15 นาที ถือว่าเร็วมากสำหรับการรอประกัน ข้อคิดที่ได้รับ... 1. ระหว่างขับรถต้องมีสติและสมาธิ 2. เวลาจอดรถติดไฟแดง ถ้าเข้าเกียร์ N ควรเหยียบเบรค 3. บริษัทประกันที่ดี จะไม่ปล่อยให้เรารอนานเวลาเกิดอุบัติเหตุ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 10 พฤษภาคม 2012, 17:04:55 "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"...การชนครั้งที่ 2
เดือนที่ 4 หลังจากเปลี่ยนจากป้ายแดงมาเป็นป้ายขาว เราต้องไปดูงานที่ภูเก็ต วันกลับกรุงเทพตั้งใจออกจากภูเก็ตแต่เช้า เพราะมีนัดกินข้าวกับผู้ชายตอน 3 ทุ่ม (หุหุ) เพิ่งจีบกันค่ะ แต่งานเสร็จไม่ตรงตามเวลาที่วางแผนไว้ กว่าจะได้ออกจากเกาะเกือบ 11 โมง เลยขับแบบเหยียบมิด จนมาถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ช่วงกุยบุรี เราไปเสยท้ายรถพ่วง 18 ล้อ เข้าซะงั้น จำเหตุการณ์ได้แม่นค่ะ ช่วงวินาทีเป็น วินาทีตาย ตื่นเต้นสุดขีด ตอนนั้นเพิ่งห้าโมงเย็นแต่ฟ้าเริ่มมืด คงเป็นเพราะยังเป็นหน้าหนาวอยู่ เราวิ่งเลนส์ขวาด้วยความเร็วประมาณ 150 เห็นว่าข้างหน้ามีรถพ่วงคันโตวิ่งอยู่เลนส์ซ้าย จนถึงระยะกระชั้นชิด อยู่ๆ รถพ่วงก็ค่อยๆ เบี่ยงหัวรถออกมาเลนส์ขวา (งานนี้จะเหลือเหรอ) เราเหยียบเบรคตัวโก่ง แต่ด้วยความเร็วที่ขับมาประกอบกับความเบาของตัวรถวีออส โชคดีที่รถไม่ปัดตอนเหยียบเบรค รถของเราเกี่ยวติดไปกับท้ายรถพ่วงระยะหนึ่งถึงจะหยุดสนิด โชคดีไม่มีรถขับตามมา (ไม่อยากคิดภาพ) คนขับรถพ่วงรีบลงมาดูเรา ถามว่าเราเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนมั๊ย คนขับรถพ่วงยอมรับผิดว่าเปลี่ยนเลนส์และกระชั้นชิด โดยไม่ให้สัญญาณไฟ เค้าบอกว่า "ผมไม่เห็นรถคุณจริงๆ" (เห่อๆ ฟังแล้วรู้สึกดีเชียว) เราพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่ง มึน งง ตัวสั่นมือสั่น บอกไม่ถูก พอมองดูรถตัวเองแล้วน้ำตาซึม ไม่รู้ว่าจะดีใจที่รอดมาได้ หรือเสียใจสงสารรถดี พอเราตั้งสติได้ก็เริ่มมองดูสภาพแวดล้อม จอดตรงนี้ไม่ดีแน่ ว่าแล้วก็คุยกับคนขับรถพ่วงว่าอยากย้ายรถไปที่อื่น เพราะเริ่มค่ำแล้ว ตรงที่ชนเป็นทางโค้งถึงโค้งไม่มากแต่ก็อันตราย กลัวรถที่วิ่งมามองไม่เห็น จะชนซ้ำอีก คนขับรถพ่วงเลยบอกว่าให้เราขับตามรถพ่วงไปจอดที่ปั้ม ปตท. กุยบุรี ระหว่างรอประกันอยู่ที่ปั้ม ก็โทรหาเพื่อนสาวคนสนิท เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เพื่อนฟัง แล้วบอกว่าคืนนี้ขอเอารถไปจอดที่บ้านเพื่อน ไม่กล้าขับกลับบ้าน กลัวแม่เห็นสภาพรถแล้วท่านจะตกใจ ที่สำคัญคือกลัวแม่ไม่ให้เราขับรถอีก :-[ข้อคิดที่ได้รับ... 1. จะรีบมากแค่ไหน หรือเหตุผลอะไรก็ตาม เวลาขับรถต้องใช้ความเร็วที่เราสามารถควบคุมรถได้ 2. รถสีดำ สร้างความไม่ชัดเจนกับสายตาเวลาแสงสว่างไม่พอ 3. ถึงบริษัทประกันจะดี แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุต่างจังหวัด ก็ต้องรอนาน "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"...หลังจากชนครั้งที่ 2 หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: ham_ter ที่ 10 พฤษภาคม 2012, 21:05:51 ปูเสื่อรอชม นิยายเรื่องยาว
:-* :-* หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: ทอม_อีเค ที่ 10 พฤษภาคม 2012, 21:33:51 ยินดีต้อนรับครับ
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: green eg ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 08:14:52 ละครชีวิต.....ต.คน กับ รถ :) :) :) โปรดติดตามตอนต่อไป :-* :-\ :-\
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: su_wit ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 08:23:19 ท่าทางจะยาว โปรดติดตาม!!!!!!!!!!!!!!!!! 8) ::)
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: cyu ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 08:39:38 มารอชมด้วยคน :-* :-*
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: devilvistion ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 10:51:05 แล้วเมื่อไหร่ civic จะมาซักที มีแต่ อ๊อดๆ เหอพระเองออกช้าจัง :'(
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: eak99 ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 11:34:39 แล้วเมื่อไหร่ civic จะมาซักที มีแต่ อ๊อดๆ เหอพระเองออกช้าจัง :'( ;D ;D ;D รอตอนต่อไป ไม่มาซะที ! ::) ::) หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: patpat ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 14:11:47 :-* เดี๋ยวเค้าไปซื้อป็อปคอร์นแปป...
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 15:04:55 :) "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"...รถพัง ผู้ชายหาย
ระหว่างรอประกันวิริยะของฝ่ายรถพ่วงเราก็โทรหาแม่ แต่ไม่ได้บอกว่าเกิดอุบัติเหตุ แล้วก็โทรเม้าท์กะเพื่อนสาวไปเรื่อยๆ จนเสียงเตือนแบตหมด รออยู่เกือบ 40 นาที (นานเนอะ) คุณประกันก็มาถึงที่ปั้ม เค้าเข้ามาสวัสดีแล้วแนะนำตัวเองนิดหน่อย แล้วก็เดินไปที่รถของเรา ควักกล้องตัวจิ๋วออกมาจากกระเป๋าหลังกางเกง แล้วก็ถ่ายรูปรถเรา พอถ่ายรูปรถเราสมใจอยากแล้วก็ไปถ่ายรถพ่วงต่อ จากนั้นเค้าเดินไปที่รถของเค้าแล้วหยิบเอกสารอะไรสักอย่างออกมาเขียน เขียนเสร็จก็เดินมาหาเราที่นั่งยองๆ รออยู่ข้างต้นไม้ ในสภาพที่แสนจะน่าเกลียด ความงามที่อุส่าห์แต่งแต้มหายไปหมด เหลือหนังหน้าแท้ๆ ที่มันมะเมือก ผมรวบมัดมวยเป็นป้าแก่ๆ คุณประกันขอใบขับขี่กับบัตรประชาชนของเรา แล้วเค้าก็ยื่นใบเอกสารให้เรา 1 ใบ เราอ่านดูแล้วคือรายการซ่อมที่เข้าเขียนขึ้นมาเมื่อสักครู่ เค้าบอกว่าเวลาเอารถเข้าซ่อมให้เอาเอกสารใบนี้ให้กับศูนย์...จบเรื่อง ใจเราคิด เอ้อ! ! แค่เนี๊ยะ ง่ายจัง ก็ดีแฮะ จะได้ไปกันสักที นี่ยังอีกตั้งไกลกว่าจะถึงกรุงเทพ แล้วรถสภาพนี้ วิ่ง 40 จะไหวป่าวหว่า แต่เรารู้สึกตะหงิดใจชอบกล (ง่ายจัง) ก็เลยถามประกันว่า "ขอโทษนะคะคุณประกัน สรุปว่าเราเอาใบนี้ไปให้ที่ศูนย์ที่เราจะซ่อมรถ แล้วเค้าก็จะซ่อมตามรายการพี่คุณเขียนใช่ไหม แล้วถ้าซ่อมไปซ่อมมาเกิดเจอความเสียหายมากกว่าที่เขียนจะยังไงต่อคะ" ประกันตอบว่า " ถ้ามีรายการซ่อมเพิ่มทางศูนย์จะโทรแจ้งประกัน ซึ่งทางเราก็จะประเมินว่าความเสียหายเกิดจากอุบัติเหตุครั้งนี้หรือไม่ครับ" (อ๋อ! เข้าใจแหละ) เราพยักหน้าหงึกๆ โอเค ตามนั้นละกัน อ้อ!! ก่อนแยกย้ายกันไป คุณประกันหันมาบอกเราว่า "ตามหลักแล้วรถที่ชนท้ายจะเป็นฝ่ายผิดก่อนเสมอ จนกว่าจะเหตุการณ์หรือสภาพแวดล้อมอื่นมาอ้างอิงว่ารถคันที่ชนเป็นฝ่ายถูก แล้วถ้ารถถูกย้ายจากที่เกิดเหตุก่อนประกันมาถึงแบบนี้ คนขับรถพ่วงอาจกลับคำบอกว่าเรามาชนท้ายเค้าเองก็ได้ (เห่อๆ) แต่กรณีของเราคนขับรถพ่วงยืนยันว่าเค้าผิดจริง"...ได้ยินแล้วโคตรตื้นตันใจเลยคร้า เราต้องค่อยๆ ขับรถสภาพไม่สมประกอบมาบ้านเพื่อนสาวที่หมู่บ้านพระปิ่น 5 เอกชัย กว่าจะถึงก็ 5 ทุ่มกว่า เหนื่อยจนลืมหิว ที่สำคัญลืมเรื่องนัดกินข้าวกับผู้ชาย มานึกได้อีกทีก็เช้าอีกวัน เพราะเปิดมือถือขึ้นดูหลังจากชาร์ตแบตเต็ม ...โอ่ยยย! 17 miss call เบอร์ผู้ชายล้วนๆ เรารีบโทรกลับ 4 ครั้ง เค้าไม่รับสาย ก็เป็นอันว่าเลิกคบ อิอิ :-[ ข้อคิดที่ได้รับ... 1.ถ้าขับช้ากว่านี้ คงไม่ชนท้ายคนอื่นถึงเค้าจะเปลี่ยนเลนส์กระทันหัน หรือถ้าชน รถคงไม่พังขนาดนี้ 2.บนถนน อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ 3.คนดียังมีอยู่ในชาตินี้ เช่น คนขับรถพ่วง ทำผิดก็คือทำผิด 4.ผู้หญิงดูน่ากลัวตอนเครียส อากาศร้อนและเหงื่อออก 5.ระหว่างเดินทางไม่ควรคุยโทรศัพท์นาน เก็บแบตไว้ใช้เวลาจำเป็น หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 15:21:17 :) "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"...เพื่อนว่าก็รู้สึกแย่แล้ว ต้องไปลุ้นตอนซ่อมรถอีก
ทันทีที่เพื่อนสาวเห็นสภาพรถ ประโยคแรกที่พูดคือ "บอกแล้วว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่" แล้วเพื่อนก็บ่นต่ออีกยาวยืด...เป็นไงหล่ะแก ออกรถใหม่ไม่กี่วันก็ไปชนคนอื่น ผ่านไปไม่กี่เดือนก็โดนชนซะเยินอีก ฉันขอร้องแกนะ คราวนี้ซ่อมเสร็จก็เอารถไปให้หลวงพ่อเจิมสักทีเถอะ แล้วก็เอาพระที่ห้อยคอองค์เล็กๆ มาไว้ในรถสักองค์สององค์คงไม่ทำให้แกชักดิ้นชักงอหรอก" เรามานั่งคิด คิด (ออกจิตตกหน่อยๆ) ที่ผ่านมาเราไม่เชื่อเรื่องฤกษ์ยามหรือสิ่งศักดิ์ที่ต้องเอามาไว้ในรถ...พระก็ควรอยู่ที่วัด ถ้าอยู่ที่บ้านก็ต้องอยู่ในห้องพระหรือบนหิ้ง จะเอาพระมาห้อยโตงเตงหน้ารถทำไมให้แกะกะวิสัยทัศน์ การเจิมรถก็แค่ให้พระเอาดินสอพองผสมน้ำ มาป้ายบนหลังคาในรถ ทำให้รถเปื้อน ดูสกปกเปล่าๆ (ถ้าไม่ตรงกับความคิดเพื่อนๆ ต้องขออภัยด้วยนะคะ แต่ตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ) เราเชื่อในการกระทำของตัวเองมากกว่า ถ้าทำดี ผลที่ได้รับก็น่าจะดี ถ้าขยันมีความอดทน ผลที่ได้รับก็คือทรัพย์สินและความสำเร็จ อุบัติเหตุครั้งนี้มีผลกับจิตใจของเราพอควร โดยเฉพาะเราต้องขับรถไปต่างจังหวัดบ่อยๆ ถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้วตายพ้นไปก็ไม่น่าห่วง แต่ถ้าไม่ตาย เกิดพิการ แขนขาขาดหรืออัมพาตช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วพ่อแม่ต้องมานั่งเลี้ยง นี่สิแย่แน่ๆ ...เราตัดสินใจ หลังรถซ่อมเสร็จจะเอาไปให้หลวงพ่อเจิมที่วัด ก็อย่างที่เพื่อนสาวพูดนั่นแหละ "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย หรือทำให้ใครเดือนร้อน ทำแล้วอาจไม่ใช่วยอะไร แต่อย่างน้อยก็สบายใจ เราเอารถเข้าซ่อมที่ศูนย์โตโยต้าธนบุรี (ศูนย์ที่เราซื้อรถ) ใช้เวลาซ่อม 1 เดือน ความรู้สึกนานเหมือนเป็นปีเลย ไปไหนมาไหนไม่มีความสุขเหมือนตอนขับรถตัวเองเลย ....วันรับรถเรารีบไปที่ศูนย์แต่เช้า พอถึงศูนย์ ศูนย์ยังไม่เปิดแหละ ปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็จะเป็นคนแรกที่ได้เอาออกจากศูนย์ 555 เราถามหาเซลล์คนที่เราซื้อรถด้วย แต่วันนั้นเค้าหยุด เราเลยต้องคุยกับเจ้าหน้าที่คนอื่น ก่อนจะเห็นรถมันเป็นช่วงเวลาที่ลุ้นระทึกทีเดียว...สภาพรถจะเหมือนเดิมหรือเปล่าหว่า พอเห็นรถตัวเองแล้วก็ค่อยๆ เดินดูรอบๆ วนไปวนมาหลายรอบ ก้มดูฝากระโปรงรถว่ามันแนบสนิดไม่โป่ง ดูความเนียนของสี (ทำไปงั้นแหละ ไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ แค่คิดว่าควรต้องดูอะไรบ้าง) สรุปว่าภายนอกซ่อมได้ดีทีเดียว ส่วนภายในไม่มีอะไรเสียหาย แต่ตอนที่ลองปิด-เปิดประตูข้างซ้ายที่ถูกชน รู้สึกได้เลยว่าประตูมันตก เราบอกให้พนักงานที่มาต้อนรับเราช่วยแจ้งช่างให้แก้ไขอีกครั้ง น้องเค้าพูดกับเราว่าถ้าให้แก้ไขต้องใช้เวลาตรวจเช็คนานนะคะ เราก็ตอบสั้นๆ ว่า "รอค่ะ" สักพักใหญ่ๆ น้องคนเดิมก็เดินมาบอกว่ารถเรียบร้อยแล้ว เราเดินออกไปดูรถ แล้วก็ลองปิด-เปิดประตูอีกรอบ...แม่เจ้า!! ไม่ต่างกับเมื่อกี้เลยน๊ะเทอ (ชักเกิดอารมณ์นิดๆ) เราเลยบอกให้น้องเค้าลองปิด-เปิดประตูด้วยตัวเค้าอีก แล้วถามเค้าว่า "คุณรู้สึกยังไง?" เค้ายิ้มแหยๆ แล้วก็บอกว่า รู้สึกมันติดๆ กึกๆ ค่ะ (เอ่อ! แล้วยังจะให้ตูรับรถอีกหรือเปล่า) และแล้วก็เอารถไปแก้ประตูอีกรอบ ตอนนั้นเราเหมือนระเบิดเวลาลูกย่อมที่พร้อมระเบิด...เป็นไงเป็นกัน จะไม่รับรถจนกว่าประตูจะปิดได้ปกติเหมือนเดิม คราวนี้รอไปเลย 2 ชั่วโมงกับอีกสี่สิบห้านาที (ติดพักเที่ยง) แต่ผลที่ได้รับคือความพึงพอใจ แอบขัดใจนิดๆ ที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง คือ "มีเรื่อง" อิอิ :-[ข้อคิดที่ได้รับ... 1. เรื่องของความเชื่อบังคับกันไม่ได้ จนกว่าจะเจอเหตุผลอันสมควรให้เชื่อ 2. ก่อนเซ็นต์รับรถซ่อม ต้องตรวจให้ละเอียด ถ้างานซ่อมยังไม่ดี ต้องให้ศูนย์หรืออู่แก้จนกว่าจะดี 3.จะไปติดต่อธุระตามสถานที่ต่างๆ ควรเช็คเวลาทำการของสถานที่นั้นๆ ก่อน หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: eak99 ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 16:39:21 :-* เดี๋ยวเค้าไปซื้อป็อปคอร์นแปป... ป็อปคอร์นหมดยังคับ ถ้าหมดรีบไปซื้อด่วนเลยคับ เดี่ยวพลาดฉากสำคัญ ปล. ซื้อฝากผมด้วยน้า 555 ! ;D ;D ;D หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 19:44:28 "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"...เจิมรถ (กระทันหัน)
ตอนแรกคิดว่าจะเอารถไปเจิมที่วัดแถวบ้าน แต่หาจังหวะเหมาะไม่ได้ จนสุดท้ายต้องลงไปดูงานที่ภูเก็ตอีกครั้ง เลยคิดว่าหลังจากเสร็จงานแล้วค่อยกลับมาเจิม คราวนี้ค่อยๆ ขับไปเรื่อย (ยังรู้สึกแหยงๆ) อยู่ภูเก็ตได้ไม่กี่วันก็เกิดเหตุการณ์เครื่องบิน One2Go ตกที่สนามบินภูเก็ต วันนั้นจำได้แม่น 16 กันยา 2550 ตอนบ่ายๆ เราอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วเห็นรถฉุกเฉินวิ่งพาคนเจ็บมาส่งหลายคน พนักงานโรงพยาบาลก็วิ่งวุ่นเต็มไปหมด พอดีมีกล้องติดตัวก็เลยถ่ายรูปไว้หลายรูป พอดีรถฉุกเฉินคันหนึ่งกำลังจะไปรับคนเจ็บที่สนามบินอีกรอบ เลยขอเค้าติดรถไปด้วย คนขับรถฉุกเฉินขับได้เทพมาก ฝนตกพร่ำๆ ถนนลื่น หวิดชนหลายครั้ง แต่ไม่ชน (เห่อๆ เสียวคร้า) จากในเมืองภูเก็ตไปสนามบินระยะทางประมาณมาบุญครองไปแยกหลักสี่ ระหว่างทางสังเกตุเห็นว่ารถหลายคันไม่หลบให้รถฉุกเฉินไปก่อน ประมาณว่าถ้าใครรีบก็หาช่องทางแซงเอง แต่ฉันจะขับของฉันไปเรื่อยๆแบบนี้แหละ รถฉุกเฉินที่เรานั่งไปก็เลยใช้วิธีขับแบบเลื้อยยังกับงู เสียวตลอดเวลาเลยเรา บางช่วงเจอรถขับปิดเส้นทางหมด หาช่องแซงไม่ได้ คนขับรถฉุกเฉินก็ต้องบีบแตรใส่ดังๆ หลายทีเค้าถึงจะหลบให้ทาง ครั้งแรกที่ได้เข้าถึง runway สนามบิน สภาพที่เห็น คือ มีรถฉุกเฉิน รถดับเพลิง รถมูลนิธิเต็มไปหมด ผู้คนมาจากไหนไม่รู้ เครื่องบินตกอยู่นอก runway ไกลพอสมควร หักครึ่งลำ ควันโขมง รถดับเพลิงต้องฉีดน้ำใส่ตลอดเวลา เราเดินลุยโคลนเข้าไปจนถึงตัวเครื่อง แต่ตอนที่ไปถึงไม่มีผู้รอดชีวิตแล้ว รูปที่ได้มาไม่น่าดู (คนเสียชีวิต) เห็นแล้วสลดใจบอกไม่ถูกค ส่วนใหญ่เป็นต่างชาติที่ตั้งใจมาท่องเที่ยว แต่ต้องมาจบชีวิตต่างบ้านต่างเมือง เฮ้อ!! เศร้า หลังจากนั้นเวลาขับรถจะรู้สึกว่ารถอืดมาก เหมือนบรรทุกของหนัก จนวันที่ไปรับเพื่อนรุ่นพี่ 2 คน ที่สนามบินและพาไปส่งที่พักเป็นเซอร์วิสแมนชั่นแถวกระทู้ เราบ่นให้พี่ๆ ฟังว่ารู้สึกรถเหยียบไม่ขึ้น เมื่อกี้ตอนแซงรถมอร์ไซต์ยังแซงไม่ได้ พอเราพูดจบ พี่ๆ ก็ร้องอ๋อ! แล้วพูดว่า "มิน่าหล่ะ ฉันเห็นเธอจะแซง แล้วก็ไม่แซง ฉันก็งงๆ ว่ามันจะเอายังไงของมัน" พี่ๆ บอกให้เก็บข้าวของในรถออก จะได้ไม่เปลืองน้ำมัน รถก็ไม่อืดด้วย เราไม่ได้ขนอะไรสักหน่อย ตอนส่งพี่ๆ ที่หน้าแมนชั่น เราลงไปเปิดกระโปรงท้ายให้พี่ๆ ดูว่าไม่มีอะไรเลย ว่างเปล่า อาทิตย์ต่อมาเราไปทำบุญกับเพื่อนคนหนึ่งที่เรารู้จักตอนมาภูเก็ตครั้งแรก วัดที่ไปทำบุญชื่อ "วัดนาคา" อยู่ในตัวเมืองภูเก็ต หลังทำบุณเสร็จกำลังจะเดินไปที่รถ มีแม่ชี (ดูมีอายุพอควร) เดินมาที่เรากับเพื่อน แล้วพูดว่า "ทำไมหนูไม่ให้หลวงพ่อเจิมรถเลยหล่ะ" ขนลุกอ่ะ (ใจคิด..เฮ้ย! รู้ได้ไง ไม่รู้จัก ไม่เคยเจอกันเลยนะ) เพื่อนมองหน้าเรา เรามองหน้าเพื่อน (มันยังไงหล่ะทีนี) แล้วเพื่อนก็ถามขึ้นมาว่าแกยังไม่เจิมรถเหรอ เราได้แต่พยักหน้ารับ แล้วเพื่อนหันไปหาแม่ชีแล้วถามแม่ชีว่า "แม่ชีรู้ได้ยังไงคะว่ารถของเพื่อนหนูยังไม่ได้เจิม" แม่ชีไม่ตอบแต่หันมามองหน้าเรา แล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้เรากับเพื่อนยืนอ้าปากเหวออยู่พักหนึ่ง เพื่อนขึ้นถามว่า "นี่เธอไปรู้จักกับแม่ชีตั้งแต่เมื่อไหร่ และถ้าจะเจิมรถถามชั้นก็ได้นะ ชั้นรู้จักหลวงพ่อดังๆ หลายวัด ชั้นพาไปได้นะ" เราเงียบอยู่สักครู่ พอสติสตังกลับมาก็อ้าปากพูด "เฮ้ย!! เราไม่รู้จักแม่ชี ไม่เคยเจอเลยด้วย ไม่รู้ว่าแม่ชีรู้ได้ยังไง" เพื่อนทำหน้าเหวอ ตาโตใส่เรา เราก็ยืนยันคำเเดิมคือ "ไม่รู้จักจริงๆ" พอพูดจบเพื่อนก็คว้ามือเราพาเดินไปทางที่แม่ชีเดินไปเมื่อกี้ ระหว่างเดินปากก็พูดว่าต้องไปถามให้รู้เรื่อง เดินหาอยู่พักใหญ่ไม่เจอแม่ชี เห็นแต่พระองค์หนึ่ง (อายุน่าจะ 60 กว่าๆ) เดินออกมาจากโรงทาน ตอนนั้นไม่รู้เราคิดอะไรอยู่ เรารีบพนมมือเข้าไปหาท่านแล้วถามท่านว่า "ลูกอยากให้เจ้าอาวาสวัดนี้เจิมรถให้ ไม่ทราบว่าท่านอยู่ที่ไหนคะ" พระท่านตอบว่า "ก็อาตมานี่แหละเจ้าอาวาส จะเจิมรถเหรอ รถอยู่ไหนหล่ะ" เรารีบเดินนำท่านมาที่รถ ท่านเดินตามมาแต่พอใกล้ถึงรถท่านก็หยุดเฉยๆ แล้วบอกว่า "เดี๋ยวอาตมามา โยมรอกันตรงนี่ก่อน" เรากับเพื่อนก็ยืนรอจนท่านเกือบ 10 นาที เหมือนท่านไปแต่งตัวใหม่ ดูเรียบร้อยมากกว่าเมื่อกี้นี้ สะพายย่ามมาด้วย ในมือถ้วยเงินเล็กๆ กับขันน้ำมนต์มาด้วย หลวงพ่อบอกให้เปิดประตูรถทั้ง 4 บาน และกระโปรงหลังด้วย เราเฝ้าดูหลวงพ่อทำพิธีแบบไม่ให้หลุดจากสายตาแม้แต่น้อย ท่านวางขันน้ำมนต์ไว้ที่โต๊ะม้าหินใกล้ๆ จากนั้นปากท่องคาถาไป นี้วชี้ก็คนในถ้วยเงินใบเล็กไป (น่าจะเป็นดินสอพอง) แล้วท่านก็เข้าไปนั่งที่เบาะคนขับ แล้วก็เขียนยันต์บนผนังหลังคารถ จากนั้นก็ล้วงไปในย่ามหยิบสายสินหลากสีเส้นโตมาผูกที่คอพวงมาลัยรถ เสร็จแล้วท่านเดินมาหยิบขันน้ำมนต์แล้วไปยืนหน้ารถ เรากับเพื่อนเห็นว่าท่านจะลดน้ำมนต์ ก็เลยรีบนั่งยองๆ ข้างรถ แล้วท่านก็เริ่มรดน้ำมนต์ที่ฝากระโปรงรถ แล้วก็ค่อยๆ ไล่มาที่ประตูหน้าด้านขวาหน้าไปหลัง แล้วก็กระโปรงท้าย วนไปด้านซ้ายจนรอบคัน (รดเข้าไปในรถด้วยแหละ) แล้วท่านก็กลับมายืนหน้ารถแล้วก็เริ่มรดน้ำมนต์ไปตรงพื้นที่ว่างๆ ด้านซ้ายของรถ ซึ่งเรากับเพื่อนหันมองหน้ากันทันที รดทำไมตรงนั้น ไม่เห็นมีใครเลย (ขนลุกอีกแล้ว) จากนั้นค่อยมารดน้ำมนต์ให้เรากับเพื่อน พอเสร็จพิธี หลวงพ่อบอกให้เราตามท่านไป ท่านไปที่ศาลาวัดอยู่ติดกับโรงทาน ในนั้นมีพระพุทธรูปตั้งอยู่เยอะมาก น่าจะเป็นร้อยๆ รูปได้ มีทั้งองค์เล็กองค์ใหญ่เต็มไปหมด รู้สึกถึงความสงบและเย็นสบาย ท่านนั่งบนเบาะแล้วก็เอื้อมไปหยิบสายสิญจน์ที่วางอยู่บนถาดสีทอง เอามาถือไว้ในมือ แล้วท่านก็ถามเราว่า "โยมไปไหนมาบ้าง" ซึ่งเราก็ งง กับคำถาม ก็เลยถามกลับไปว่า...หลวงพ่อหมายถึงสถานที่หรือว่าเส้นเดินคะ ท่านบอกว่าที่ที่มีคนต่างชาติเยอะๆ เรารีบตอบทันที "สนามบินค่ะ" หลวงพ่อท่านพูดว่า "เค้าตามมานะ เยอะด้วย ให้ทำบุญเยอะๆ ตั้งอธิษฐานจิตดีๆ แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้พวกเค้า" ตอนนั้นบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง มันอึ้งๆ ชาๆ และก็กลัวค่ะ เราถามหลวงพ่อว่า "เค้าตามเราทำไม แล้วจะตามอีกนานไหม" หยวงพ่อไม่ตอบ แต่บอกให้ยื่นมือออกไปรับสายสิญจน์ แล้วท่านก็หย่อนสายสิญจน์ลงบนมือเรา แล้วบอกให้ผูกไว้จนกว่าสายสิญจน์จะขาดไปเอง (สาบานได้ว่านี่คือเรื่องจริง) ข้อคิดที่ได้รับ... 1.โลกแห่งพุทธศาสนา ยังมีเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่ออยู่ 2.บางครั้งตั้งใจทำ กลับไม่ได้ทำ แต่บางครั้ง ความบังเอิญอาจทำให้ย้อนกับไปทำในสิ่งที่เคยตั้งใจทำไว้ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 19:50:50 ภาพที่เราถ่ายที่โรงพยาบาล
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: NATASHA ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 20:13:54 :-* เดี๋ยวเค้าไปซื้อป็อปคอร์นแปป... ;D ;D ;Dหัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: chira711 ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 20:14:05 :-\ :-\ เดินเรื่องได้ หน้าติดตาม มากครับ....การเรียบเรียง อักขระ อ่านแล้ว....ชวนติดตามครับ......
ให้กำลังใจครับ....พักเรื่องเครื่อง....มาเป็นผู้ อ่านบ้างก็ ดีเหมือนกันครับ.... หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 20:50:30 :D ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
:o ตอนต่อไป "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"...การชนครั้งที่ 3 ชีวิตเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง (ไว้มาเล่าพรุ่งนี้นะ ขอหาภาพประกอบก่อน) :) นอนหลับฝันดีกันทุกคนนะคะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Toajeed ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 23:04:30 :D ขอบคุณที่ติดตามนะคะ :o ตอนต่อไป "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"...การชนครั้งที่ 3 ชีวิตเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง (ไว้มาเล่าพรุ่งนี้นะ ขอหาภาพประกอบก่อน) :) นอนหลับฝันดีกันทุกคนนะคะ รอ รอ รอ ;D ;D ;D หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Chokhihi ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 06:56:32 ยินดีต้อนรับครับ อ่านมันมากกกก
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: HI-DR ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 08:39:19 ปูเสื่อรออ่านซีรี่ อ๊อดๆ :)
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: eak99 ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 09:51:36 :D ขอบคุณที่ติดตามนะคะ :o ตอนต่อไป "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"...การชนครั้งที่ 3 ชีวิตเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง (ไว้มาเล่าพรุ่งนี้นะ ขอหาภาพประกอบก่อน) :) นอนหลับฝันดีกันทุกคนนะคะ กลับมาติดตามต่อคับ :-* :-* หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Regis100 ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 12:15:26 :-\ :-\ :-\ รอดู
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: pulanet ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 13:04:38 ข้อเสวนา
1. พุทธศาสนา กับ ไสยวิชชา เป็นคนละเรื่องครับ แต่คนไทยคิดว่ามันรวมกันอยู่ เอามาผูกรวมกันจนแยกไม่ออกเนื่องจากเป็นความเชื่อเหมือนกัน คนเราก้เลยเหมาๆ รวมๆ กันไปการที่เราใช้นักบวชในพระพุทธศาสนามาดูฤกษ์ออกรถหรือมาเจิมรถมันไม่ใช่เรื่องของพุทธศาสนา แต่การที่เราคิดแต่แรกว่า เรื่องนี้ไม่จำเป็น รถจเฉี่ยวชน หรือมีอุบัติเหติ ย่อมมีเหตุปัจจัยในตัวมันไม่ว่าจะขับเร็ว ขาดความระมัดระวัง หรือสภาพแวดล้อมไม่ดี ไม่ได้เกี่ยวกับรถที่เจิมหรือออกฤกษ์งามยามดี แต่อย่างใด้ คิดแบบประเด็นหลังต่างหากที่เป็นพระพุทธศาสนา 2. ประเด็นสำคัญที่เวลาเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับรถ สิ่งที่ดีที่สุดให้ขณะนั้นคือ สติ ครับ ที่เหลือก็จะเป็นเรื่อง สตังค์ 3. ความเชื่อเป็นเรื่องบังคับกันไม่ได้ แต่อย่าเปลี่ยนความเชื่อเป็นความงมงายครับ แม้สองสถานะนี้จะดูต่างกันมาก แต่มีคนจำนวนมาก อยู่ในสถานะตรงที่งมงาย แต่จะบอกว่าเป็นเพียงความเชื่อ สิ่งที่เหนือกว่าทั้งความเชื่อและความงมงาย คือ เหตุและผล ซึ่งเป้นพื้นฐานที่มาแห่ง "อริยสัจ 4" หากเราพิจารณาเรื่องราวในชีวิตเราดีๆ แทบจขะไม่มีอะไรที่เราทำเพราะเป็นเหตุผล เรามักจะทำ หรือคิดเพราะพื้นฐานจากความเชื่อไปทั้งหมด นั่นย่อมให้เราตกอยู่ในสภาวะแห่ง "ทุกข์" แต่ถ้าเราดิ้รนแก้ทุกข์ โดยใช้แนวทางที่ไปไม่ถึง "มรรค" เราก็ติดอยู่ในวังวนแห่งทุกข์จากความเชื่อนั้น วันนี้พูดเป้นเรื่องเป็นราว ชักเขิน :-[ ปล. อย่าคิดว่าผมเป็นพระครับ เพราะจริงๆ แล้วผมเป็นอิสลาม :'( หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: kenchoku ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 17:02:07 เขียนหนังสือ อ่านง่ายดีครับ น่าติดตามเนื้อเรื่อง
ขีบรถช้าๆ และอย่าประมาทเป็นดีที่สุดครับ ผมท่องคำนี้หลังตัวเองอยู่หลังพวงมาลัยเสมอครับ 8) 8) :-X :-X Civic (http://www.welovecivic.com) | Civic Club (http://www.welovecivic.com) | Civic FB (http://www.welovecivic.com) หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 18:47:51 "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"....การชนครั้งที่ 3 (ตอน 1)
15 กพ 2552 หลังวันวาเลนไทน์ 1 วัน... เวลา 8:00 น. - 20:30 น. ก่อนเกิดอุบัติเหตุ 12 ชั่วโมง 30 นาที เป็นอีกครั้งที่ต้องไปภูเก็ต ตอนแรกจะนั่งเครื่อง แต่บังเอิญมีงานถ่ายรูปโฮมสเตย์ของลูกค้าที่อัมพวา เลยเปลี่ยนเป็นขับรถไปเอง เพื่อจะได้ทำงาน 2 อย่าง ในการเดินทางแค่ครั้งเดียว ส่วนใหญ่เวลาไปภูเก็ตจะออกจากกรุงเทพตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อให้ถึงเกาะก่อนพระอาทิตย์ตกน้ำทะเลที่สะพานสารสิน เราชอบสีและแสงของพระอาทิตย์ตอนตัดกับเส้นขอบน้ำทะเลที่ปลายฟ้า ช่างสวยงาม ได้อารมณ์แห่งความสงบ อบอุ่น และเหงาจับใจ แต่วันนั้นมีประชุมช่วงเช้าจนถึง 10 โมง ทำให้เวลาออกเดินทางไม่ตรงตามที่ตั้งใจไว้ หลังประชุมที่บริษัทซอยศูนย์วิจัยเสร็จ เรารีบขับรถขึ้นทางด่วนแถวพระราม 9 (รถติดมาก) มาลงเส้นพระราม 2 (ติดยิ่งกว่า) แล้วมุ่งหน้าลงใต้ มาถึงโฮมสเตย์ของลูกค้า (ริมน้ำคอทเทจ) ประมาณเที่ยงกว่า พอถึงก็รีบถ่ายรูปโฮมสเตย์ทั้ง 5 หลัง โชคดีที่แสงธรรมชาติสวยทำให้ภาพออกมาไม่มีปัญหา ส่วนภาพถ่ายในห้องพักคงต้องใช้ Photoshop ช่วยปรับแสงบ้างเล็กน้อย เพราะไม่มีอุปกรณ์ช่วยสักอย่าง ถ่ายมันดิบๆ บริเวณของโฮมสเตย์กว้างมาก เราเดินจะเหนื่อย แถมเหงื่อไหล่เป็นท่อน้ำประปาแตก (หน้ามะเมือกอีกแล้ว) กว่าจะถ่ายรูปเสร็จปาเข้าไปบ่ายสองโมงครึ่ง (ในใจคิด...เห่อๆ ถึงภูเก็ตกี่โมงหว่า) กำลังเก็บของขึ้นรถ คุณป้าเจ้าของโฮมสเตย์เดินเอาถุงพลาสติกมายื้นให้ แล้วพูดว่า "ปลาทูต้มเค็มแม่ทำเอง เอาไปกินนะ" (เราเคารพคุณป้ามากก็เลยเรียกท่านว่าแม่ตั้งแต่แรกแล้ว ท่านก็แทนตัวเองว่าแม่เวลาคุยกับเรา) เรารีบยื้นมือไปรับแล้วก็ยกมือไหว้ขอบคุณ (>_<) ของฟรี!! ชอบอ่ะ แล้วคุณป้าก็ถามเราว่า "แล้วเดี๋ยวหนูจะไปที่ไหนต่อเหรอ?" เราตอบว่า "ไปภูเก็ตต่อค่ะแม่" แค่นั้นแหละ คุณป้าพูดเสียงหลงเชียว "โอ้โฮ!! ไปภูเก็ตเลยเหรอ มันไกลนะลูก จะขับไหวเหรอ แล้วจะไปถึงกี่โมงกี่ยาม นี่บ่ายแล้วนะลูก กว่าจะถึงมันจะมืดค่ำก่อนนะ ฯลฯ" เราต้องอธิบายอยู่สักพักว่าไปทำไม ทำไมต้องไป คุณป้าพูดประโยคสุดท้ายว่า "'งั้นก็ขับดีๆ อย่าประมาท อย่าขับเร็วมาก เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุรถคงรถคว่ำขึ้นมาจะแย่" เราได้แต่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าตอบรับคำเตือน (แต่ในใจ...เห่อๆ ไหงวันนี้ป้าพูดแบบนี้หว่า แปลกเน้อ งานจะเข้าเปล่าหว่าตรู ...เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านก็รู้สึกกังวลยังไงไม่รู้ แล้วที่ผ่านมาเวลารู้สึกแบบนี้ทีไรมีเรื่องให้ปวดหัวทุกทีเชียว) แต่เราไม่อยากให้ความสำคัญกับความรู้สึกพวกนี้มากนัก เพราะมันทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างไม่ปกติสุข ทันทีที่บั้นท้ายรถพ้นรั้วของโฮมสเตย์ เรากดเท้าเหยียบคันเร่งมิดเลย กว่าจะหลุดออกจากสวนมาสู่ถนนหลักได้ก็ใช้เวลาเกือบครึ่งค่อนชั่วโมง ความจริงไม่อยากรีบแบบนี้หรอก แต่พรุ่งนี้มีงานแต่เช้าและเราเพิ่งฟื้นไข้ เลยอยากไปให้ถึงภูเก็ตเร็วๆ จะได้พักผ่อนบ้าง และอาการไข้เหมือนจะกลับมา รู้สึกคั้นเนื้อคั้นตัว ร้อนๆ หนาวๆ อึดอัด ตาพล่า และเหงื่อออก คงเพราะเดี๋ยวเจออากาศร้อนอบอ้าว เดี๋ยวเจอแอร์เย็นในรถ อุณหภูมิร่างกายปรับตัวไม่ทัน จะกินยาแก้ไข้ก็กลัวง่วง เลยใช้วิธีปิดแอร์แล้วเปิดกระจกรถแทน ทำให้รู้สึกโล่งขึ้นมาบ้าง แต่พอเปิดกระจกก็ทำให้เสียงลมที่ผ่านเข้ามาในรถดังจนไม่ได้ยินเสียงเพลงที่เปิด เราเลยเปิดเพลงเสียงดังลั่นโลก เพลงที่เปิดเทคโนแดนซ์ล้วนๆ มีแต่ตื๊ด ตื๊ด ไม่มีเนื้อเลย (ความชอบส่วนตัวอ่ะนะ) ระหว่างที่รถวิ่งไม่มีปัญหาอะไร แต่พอเวลาจอดติดไฟแดงหรือเลี้ยวเข้าปั้ม ไม่มีใครไม่มองรถเราเลย สายตาเหล่านั้นบ่งบอกถึงความคิดที่หลากหลาย มองแล้วอมยิ้ม มองแล้วทำหน้าเหมือนปวดอึ มองแล้วรีบเมิน มองแล้วส่ายหน้านิดๆ มองแล้วยิ้มเย๊าะๆ มองแล้วทำหน้างงๆ มองแล้วเลิกคิ้ว ฯลฯ และอย่างที่บอกไว้แต่แรกแล้วว่า "เหยียบมิด" เราขับแซงรถหลายๆๆๆๆ คันมาตลอดทาง แซงซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ปาดไปปาดมา จะเรียกว่าวันนั้นเราเป็นชะนีที่ขับรถได้นรกมาก ถ้าเราโดนคนอื่นขับแซงหรือปาดหน้าแบบนี้ เราคงอวยชัยให้พรแบบนรกๆ (ไม่ดี ไม่ดี เพื่อนๆ อย่าทำตามนะ มันบาปด้วยแหละ) ข้อคิดที่ได้รับ... 1.สายตามนุษย์ สามารถแสดงให้เห็นถึงความรู้สึก และอารมณ์ได้ 2.ปลาทูต้มเค็มของคุณป้าเจ้าของโฮมสเตย์ริมน้ำคอทเทจ อร่อยกว่าที่คิด 3.ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักรที่พังแล้วซ่อมหรือมีอะไหร่เปลี่ยนได้ทุกชิ้น ควรทำงานเท่าที่สังขารรับไหว ภาพที่เราถ่าย: โฮมสเตย์ของลูกค้า (ริมน้ำคอทเทจ) หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 19:06:56 ภาพที่เราถ่าย 2: โฮมสเตย์ของลูกค้าค่ะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Alex007 ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 20:17:21 :D :D :D :) :) :) :-* :-* :-* :-\ :-\ :-\ :-\ :-\
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 20:32:31 :) "การชนครั้งที่ 3" ชีวิตเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง
15 กพ 2552 หลังวันวาเลนไทน์ 1 วัน (20:30น.) - ดูภาพกันไปก่อนนะคะ ส่วนเหตุการณ์ตอนที่เป็นเช่นนี้ขอเล่าต่อพรุ่งนี้ค่ะ เนื่องจากคุณแม่สุดที่รักเรียกให้ไปป้อนอาหารคุณโคล่า (แมวเหมียว) ท่านเรียกหลายครั้งแล้ว ถ้าครั้งนี้ยังไม่ปฎิบัติมีหวังโดนหักค่าขนมแน่ค่ะ ข้อคิดที่ได้รับ... 1.ยืนยันอีกครั้ง!!..บนถนน อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ 2.ขอยืมประโยคของ "คุณ pulanet" มาใช้หน่อยนะคะ "เวลาเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับรถ สิ่งที่ดีที่สุดให้ขณะนั้นคือ สติ ครับ ที่เหลือก็จะเป็นเรื่อง สตังค์" 3.วินาทีเป็น วินาทีตาย ไม่เห็นคิดถึงพ่อ แม่ พี่ น้อง หรือสิ่งศักดิ์เลย คิดแค่ว่า...จะจบอีท่าไหน !!! ขอความคิดเห็นเพื่อนๆ หน่อยค่ะ 1. โชคดีมีจริงรึ? 2.คนเราจะโชคดีได้กี่ครั้ง? 3.บางคนอยากตาย แต่ไม่ตายสักที ถือว่าโชคดีป่ะ? 4.ประสบอุบัติเหตุ (เกี่ยวกับรถ) หนักแล้วรอดตาย หมายถึง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเหรอ หรือมีของดีติดตัว? หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้แล้ว ช่วงแรกๆ ในสมองจะมีแต่คำถามพวกนี้ตลอด (เปรียบเสมือนพี่น้องที่อยู่บ้านเดียวกัน เจอหน้ากันทุกวัน ถึงแม้ปัจจุบันนี้พี่น้องจะแต่งงานแยกบ้านไปแล้ว แต่ก็แวะมาเยี่ยมเยี่ยนบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็อดคิดถึงไม่ได้) ในเมื่อตอนนี้ได้รู้จักเพื่อนๆ แล้ว ก็เลยอยากรู้ว่าเพื่อนๆ มีมุมมอง แนวคิด ทัศนคติ เกี่ยวกับเรื่องความเป็นความตายที่เกิดจากการขับขี่รถ :-[...ถ้าคำถามของเราดูไร้สาระต้องขออภัยด้วยนะคะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 20:38:35 รูปของวีออสที่ถ่ายไว้ก่อนจะเกิดอุบัติเหตุค่ะ
:-[ ต้องขออภัยด้วยนะคะที่ถ่ายแบบครึ่งๆ กลางๆ ไม่เต็มคัน (ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม) หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Super Jack ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 20:48:03 สุดสุด เกินคำบรรยาย กับการรอดอย่างมีสติ
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 22:56:38 :-[ :-[ ว่าแต่เรื่องราวเจ้าซิวิค เป็นไงบ้างครับ...แชร์ประสบการณ์ กันได้ครับ....ดีๆ ไม่ดี มีพี่น้อง คอยช่วยกัน...วิเคราะห์ครับ ช่วงแวะทักทายเพื่อนๆ ค่ะ! :) สวัสดีค่ะ "คุณchira711" ช่วงนี้ขออนุญาตเริ่มต้นด้วยเรื่องประสบการณ์เกี่ยวกับการขับรถช่วงแรกๆ ก่อนนะคะ เพื่อนำทางเข้าสูที่มาของ "เจ้าไวท์กี้" ค่ะ :D ยังไงก็รบกวนคุณchira711 ช่วยแนะนำติชม ออกความเห็นด้วยนะคะ...ขอบคุณค่ะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 23:13:25 ช่วงแวะทักทายเพื่อนๆ ค่ะ!
อ้างถึง patpat >:( สวัสดีจ๊า.....อ้างถึง thoed27 หวัดดีครับผม ยินดีต้อนรับครับ :-* :-* :-*อ้างถึง nakarin :-* :-* :-*อ้างถึง ทอม_อีเค ยินดีต้อนรับครับอ้างถึง Chokhihi ยินดีต้อนรับครับ อ่านมันมากกกก:D ขอบคุณทุกคนที่ต้อนรับนะคะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 23:40:18 ช่วงแวะทักทายเพื่อนๆ ค่ะ!
สวัสดีค่ะ อ้างถึง คุณ ham_ter ปูเสื่อรอชม นิยายเรื่องยาว :-* :-*อ้างถึง คุณ green eg ละครชีวิต.....ต.คน กับ รถ :-* :-* :-* โปรดติดตามตอนต่อไป :-* :-\ :-\อ้างถึง คุณ su_wit ท่าทางจะยาว โปรดติดตาม!!!!!!!!!!!!!!!!! 8) ::)อ้างถึง คุณ cyu มารอชมด้วยคน :-* :-*อ้างถึง คุณ eak99 ;D ;D ;Dรอตอนต่อไป ไม่มาซะที ! ::) ::) อ้างถึง คุณ Toajeed รอ รอ รอ ;D ;D ;Dอ้างถึง คุณ HI-DR ปูเสื่อรออ่านซีรี่ อ๊อดๆ :)อ้างถึง คุณ Regis100 :-\ :-\ :-\รอดู;) ต้องขออภัยด้วยนะคะถ้าเล่าเรื่องยืดยาว เราเล่าแบบสั้นๆ เป็นข้อๆ ไม่เก่ง แต่จะพยายามลองดู ถ้ายังไงเพื่อนๆ อ่านข้ามๆ ไปเลยนะคะ เรื่องต่อๆ ไปก่อนจะเข้าสู่เรื่องของ "เจ้าไวท์กี้" จะเกี่ยวกับการซ่อมรถ การใช้บัตรเครดิตจ่ายค่าซ่อม การกู้เงินมาซ๋อมรถ การขายรถที่พังให้ได้ราคา ซึ่งบางทีอาจพอให้ประโยชน์กับเพื่อนๆ ได้บ้าง ไม่มากก็น้อยค่ะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: chira711 ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 23:40:23 :) :) :) ตามสบายเลยครับ....กระทู้เรา...ประสบการณ์เรา .... เรื่องราวดี ๆ
หน้าติดตาม พร้อมๆ กับ การเตือน พี่น้อง ที่เป็นวัยรุ่น และ วัยสุดท้าย ของวัยรุ่น 55... ได้คิด และมีสติ ก่อนสตาท ขณะนั่งหลัง พวงมาลัย.... เรื่อง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไม่เกิดกับใคร (บ่อย) ๆ คงไม่มีทาง มองไปนอกเหนือกว่ากฎเกณฑ์ ธรรมชาติ ความประมาท ผมเองผ่าน การช่วยคน และ เก็บศพคน มาเยอะมาก และรวมถึงผ่านเหุตการณ์ หนัก ๆ มาเยอะ ด้วยกฎแห่งกรรม ตามหลักศาสนา ที่บอกว่า ทำดีได้ดี คนดีผีเห็น ...อย่าลบหลู่ครับ จากที่ช่วยเหลือเขา ครั้น ถึงคราวเรา หนักเลยกลายเป็นเบาครับ... สมัย 17- 22 ผมเป็นอาสาสมัคร ร่วมกตัญญู อยู่ หนองแขม หลักสอง กทม. ผ่านมา 10 กว่า ปี เสื้อ ที่เปลื้อนเลือด....เสื้อตัวนั้นติดอยู่ในรถตลอดครับ ไปเลนส์ 1 ดวง แม้ว่าตัวเองไม่ได้ทำแล้วก็ตาม...เพราะด้วยการงานที่มากขึ้น แต่ใจรัก ทุกวันนี้เจอใครข้างทาง ....จะมีผม..เสมอ...ใครจะมองอย่างไรไม่ว่า ไม่สนใจจะได้บุญ ไม่สนใจ จะขึ้นสวรรค์..... เพราะบุญที่ได้รับ ทันทีคือรอยยิ้ม คนที่ลำบาก...และคำขอบคุณ... ...วันนี้ เราไม่อาจทำให้ใคร หลายคนที่อยู่ร่วมกันในสังคม พอใจ เราได้ทั้งหมด....แต่ก็มีคนบางส่วน ของสังคม ที่พอใจ..ในสิ่งที่เราทำ.... ...ภาพนี้ผมถ่ายเมื่อต้น ปลายเดือน เม.ย ขับรถ จากเลิกงาน สี่ทุ่ม เจอดีแม็ค...ีคนเข็นอยู่ริ ถนน ที่มืดสนิท ผมขับผ่านไป 2 กม. คิดในใจ ทำไมกู ไม่ช่วย.....จำใจต้องย้อนกลับมา เพราะมีเสื้อตัวที่บอกอยู่ในรถ ที่สำคัญ....คนที่เข็นเป็นผู้หญิง วัย 40 เด็ก ชายหญิง วัย 12 8 6 เรียงตามกันมาและหน้ารถ วัย 2 ขอบ กับ 4 ขวบ นั่งอยู่กับคนขับ...ช่วยกันเข็นดีแม็ค เพื่อเข้าหาแสงสว่าง.....วันนั้นถ้าผมไม่ย้อมช่วย บอกตรง ครงเสียใจมากถ้า...เค้าโดนรถเสย...หลังจากช่วยเข็น ช่วยเปิดภัยเลนส์ ป้องกัน...ได้ความว่า ปั้มแรงดันน้ำมันเสีย...ตัวที่อยู่ใต้ฝากระโปรง ไม่ดึงน้ำมันแย็ก เท่าไร ก็มาเดิน น้ำมันไม่ขึ้น เลยโทรตาม กู้ภัยทางหลวงให้....มาลากเค้าไปอู่ สิ่งที่ได้คือ เด็กๆ ท้ายกระบะ เห็นเสื้อมูลนิธิแล้วรู้สึกว่า...ปลอดภัยทุกครั้งที่ได้เห็น ผมไปโดยไม่ลา แต่ไม่วายคุณแม่ พาน้องๆ วิ่งตามมาสวัสดี ...กันยกใหญ่...ต้องรีบเผ่นเดี๋ยวรถเฉี่ยวเด็ก ....ผมได้บุญทันที คือความสุข ที่เกิดในใจตัวเอง....... ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ พี่น้องทุกท่าน หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 12 พฤษภาคม 2012, 23:49:33 ช่วงแวะทักทายเพื่อนๆ ค่ะ!
แล้วเมื่อไหร่ civic จะมาซักที มีแต่ อ๊อดๆ เหอพระเองออกช้าจัง :'( :-[ ขออภัยที่พระเอกออกมาช้า แต่รับรองได้ว่า ถ้าได้เจอเรื่องของ"เจ้าไวท์กี้"แล้วจะสนุกสนานและได้สาระสมกับที่รอเลยค่ะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 13 พฤษภาคม 2012, 00:07:57 :) :) :) ตามสบายเลยครับ....กระทู้เรา...ประสบการณ์เรา .... เรื่องราวดี ๆ หน้าติดตาม พร้อมๆ กับ การเตือน พี่น้อง ที่เป็นวัยรุ่น และ วัยสุดท้าย ของวัยรุ่น 55... ได้คิด และมีสติ ก่อนสตาท ขณะนั่งหลัง พวงมาลัย.... เรื่อง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไม่เกิดกับใคร (บ่อย) ๆ คงไม่มีทาง มองไปนอกเหนือกว่ากฎเกณฑ์ ธรรมชาติ ความประมาท ผมเองผ่าน การช่วยคน และ เก็บศพคน มาเยอะมาก และรวมถึงผ่านเหุตการณ์ หนัก ๆ มาเยอะ ด้วยกฎแห่งกรรม ตามหลักศาสนา ที่บอกว่า ทำดีได้ดี คนดีผีเห็น ...อย่าลบหลู่ครับ จากที่ช่วยเหลือเขา ครั้น ถึงคราวเรา หนักเลยกลายเป็นเบาครับ... สมัย 17- 22 ผมเป็นอาสาสมัคร ร่วมกตัญญู อยู่ หนองแขม หลักสอง กทม. ผ่านมา 10 กว่า ปี เสื้อ ที่เปลื้อนเลือด....เสื้อตัวนั้นติดอยู่ในรถตลอดครับ ไปเลนส์ 1 ดวง แม้ว่าตัวเองไม่ได้ทำแล้วก็ตาม...เพราะด้วยการงานที่มากขึ้น แต่ใจรัก ทุกวันนี้เจอใครข้างทาง ....จะมีผม..เสมอ...ใครจะมองอย่างไรไม่ว่า ไม่สนใจจะได้บุญ ไม่สนใจ จะขึ้นสวรรค์..... เพราะบุญที่ได้รับ ทันทีคือรอยยิ้ม คนที่ลำบาก...และคำขอบคุณ... ...ราตรีสวัสครับ... :D ขอบคุณมากค่ะ คุณ chira711 เป็นคนใจบุณและใจกล้านะคะ น้อยคนค่ะที่จะทำอย่างคุณได้ ไม่ต้องถึงขั้นจับต้องหรอกค่ะ แค่เห็นเลือดเรี่ยวแรงหายหมด หน้ามืด ตาพล่าเป็นลมไปเฉยๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเป็นเช่นนั้น และคงเป็นเรื่องปกติสำหรับหลายๆ คนที่ยังมีลมหายใจอยู่ จะไม่อยากนึกถึงร่างที่ไร้ลมหายใจ ถึงแม้สุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องจบที่จุดเดียวกันหมด...ขอบคุณอีกครั้งสำหรับกำลังใจและร่วมแสดงความคิดเห็นในกระทู้ของเราค่ะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: chira711 ที่ 13 พฤษภาคม 2012, 00:28:59 :D :D :D ทำดีผีเห็น ครับ....พอดีค้นภาพเก่าๆ มาแบ่งๆ กันดู ภาพดีๆ คงไม่มีใครว่านะครับ.....อย่างน้อย ดีกว่า ไปจี้ ไปปล้น ชาวบ้านเดือดร้อน....
เคยมีคนแก่ แถวอยุธยา...บอกว่าการปล่อยเต่า ทำให้เราอายุยืน.. ไอพี่เต่าตัวนี้ ดูจากความโชกโชนที่กระดองเกือบทำ ผมกับ พี่สิบล้อ ที่ตามหลังมา และพี่แท็กซี่ ลาโลกไปพร้อมกัน กลางเลนส์ถนนพหลโยธิน หน้าโรงงานมินิแบร์ บางปะอิน...ครับ มายังไงไม่ทราบ...แต่โดนผมสอยไปลงแม่น้ำ ลพบุรี.... 2. โซนิคคันที่เห็นปีที่แล้วช่วงน้ำหลาก หน้าตลาดไทย ปลาเต็มกระสอบปุ๋ย รอทุบ คนจับโดนก่อน...สมองกระจาย ก่อนทุบปลา...(สงสารครับหาเช้ากินค่ำ ไม่อยากซ้ำเติม) แต่ มันเกินความพอเพียงไปนิด...กระสอบปุ๋ยที่มีปลา เลยพันล้อ เข้าให้ พ่อตายคาที่ แม่ขาขาด ลูก 17 สาหัส ..ผมคนเก็บสมอง...ลงรูปไม่ได้เคยโดนลบครับ..มันเสียว สุดท้ายเสื้อคู่กาย....ขาดไม่ได้...ใส่มาตั้งแต่อายุ 17 ปัจจุบัน ....ไม่อยากนับ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 13 พฤษภาคม 2012, 00:38:12 ช่วงแวะทักทายเพื่อนๆ ค่ะ!
อ้างถึง patpat :-*เดี๋ยวเค้าไปซื้อป็อปคอร์นแปป...อ้างถึง eak99 ป็อปคอร์นหมดยังคับ ถ้าหมดรีบไปซื้อด่วนเลยคับ เดี่ยวพลาดฉากสำคัญปล. ซื้อฝากผมด้วยน้า 555 ! ;D ;D ;D อ้างจาก: patpat ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 14:11:47 เดี๋ยวเค้าไปซื้อป็อปคอร์นแปป... --------------------------------------- กลับมาติดตามต่อคับ :-* :-* อ้างจาก: Tom-Keyray ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 20:50:30 ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ตอนต่อไป "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"...การชนครั้งที่ 3 ชีวิตเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง (ไว้มาเล่าพรุ่งนี้นะ ขอหาภาพประกอบก่อน) นอนหลับฝันดีกันทุกคนนะคะ อ้างถึง NATASHA ;D ;D ;Dอ้างจาก: patpat ที่ 11 พฤษภาคม 2012, 14:11:47 เดี๋ยวเค้าไปซื้อป็อปคอร์นแปป... สวัสดีค่ะทุกคน... ขอแนะนำให้ซื้อน้ำดื่มมาด้วย จะเป็นโคคา-โคล่า หรือ แป๊ปซี่ ก็ได้ แต่ให้ดีน้ำเปล่าสะอาดๆสักขวด คงช่วยให้อ่านเพลินกว่านี้ค่ะ :-* ล้อเล่นนะคะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 13 พฤษภาคม 2012, 00:58:24 ช่วงแวะทักทายเพื่อนๆ ค่ะ!
ข้อเสวนา 1. พุทธศาสนา กับ ไสยวิชชา เป็นคนละเรื่องครับ แต่คนไทยคิดว่ามันรวมกันอยู่ เอามาผูกรวมกันจนแยกไม่ออกเนื่องจากเป็นความเชื่อเหมือนกัน คนเราก้เลยเหมาๆ รวมๆ กันไปการที่เราใช้นักบวชในพระพุทธศาสนามาดูฤกษ์ออกรถหรือมาเจิมรถมันไม่ใช่เรื่องของพุทธศาสนา แต่การที่เราคิดแต่แรกว่า เรื่องนี้ไม่จำเป็น รถจเฉี่ยวชน หรือมีอุบัติเหติ ย่อมมีเหตุปัจจัยในตัวมันไม่ว่าจะขับเร็ว ขาดความระมัดระวัง หรือสภาพแวดล้อมไม่ดี ไม่ได้เกี่ยวกับรถที่เจิมหรือออกฤกษ์งามยามดี แต่อย่างใด้ คิดแบบประเด็นหลังต่างหากที่เป็นพระพุทธศาสนา 2. ประเด็นสำคัญที่เวลาเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับรถ สิ่งที่ดีที่สุดให้ขณะนั้นคือ สติ ครับ ที่เหลือก็จะเป็นเรื่อง สตังค์ 3. ความเชื่อเป็นเรื่องบังคับกันไม่ได้ แต่อย่าเปลี่ยนความเชื่อเป็นความงมงายครับ แม้สองสถานะนี้จะดูต่างกันมาก แต่มีคนจำนวนมาก อยู่ในสถานะตรงที่งมงาย แต่จะบอกว่าเป็นเพียงความเชื่อ สิ่งที่เหนือกว่าทั้งความเชื่อและความงมงาย คือ เหตุและผล ซึ่งเป้นพื้นฐานที่มาแห่ง "อริยสัจ 4" หากเราพิจารณาเรื่องราวในชีวิตเราดีๆ แทบจขะไม่มีอะไรที่เราทำเพราะเป็นเหตุผล เรามักจะทำ หรือคิดเพราะพื้นฐานจากความเชื่อไปทั้งหมด นั่นย่อมให้เราตกอยู่ในสภาวะแห่ง "ทุกข์" แต่ถ้าเราดิ้รนแก้ทุกข์ โดยใช้แนวทางที่ไปไม่ถึง "มรรค" เราก็ติดอยู่ในวังวนแห่งทุกข์จากความเชื่อนั้น วันนี้พูดเป้นเรื่องเป็นราว ชักเขิน :-[ ปล. อย่าคิดว่าผมเป็นพระครับ เพราะจริงๆ แล้วผมเป็นอิสลาม :'( :D สวัสดีค่ะ คุณ pulanet ขอบคุณมากค่ะที่ร่วมแสดงความคิดเห็น และความคิดเห็นของคุณอ่านแล้วสอนให้คิดถึงหลักของหตุและผลได้ดีมากค่ะ และเราคงต้องแยกให้ออกระหว่างความเชื่อกับความงมงาายและความกลัวค่ะ ว่าแต่...คุณเป็นอิสลามจริงเหรอคะ ถ้าจริงก็ขอแสดงความนับถือจากใจ ที่คุณสามารถศึกษาหลักของศาสนาพุทธได้ลึกซึ้งขนาดนี้ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: chira711 ที่ 13 พฤษภาคม 2012, 00:59:56 :) :) :)......ขอเป็นกระทู้ศิริมงคลของวันใหม่นะครับ ....ขอให้พี่น้อง ที่ มาอ่านเรื่องราวต่างๆ และช่วยกัน...สร้างสีสรร แบบสร้างสรร ได้รับความสุขครับ
เช้านี้ 08.00 น. มีปฐมนิเทศ นักศึกษาใหม่ ...ป่านนี้ นักศึกษา chira711 ยังไม่ได้นอนเลยครับ 555... ผลของ มรรค ดี ส่งผลให้ได้ทุน เรียน ...ต่อ ระดับที่สูงขึ้นครับ กว่าป. ตรี อีกหนึ่ง ชั้นยศ อิอิ....เรื่องก็มีประการเช่นนี้ แล......ฝันดีครับ พี่น้องที่รักทุกท่าน หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 13 พฤษภาคม 2012, 01:10:47 เขียนหนังสือ อ่านง่ายดีครับ น่าติดตามเนื้อเรื่อง ขีบรถช้าๆ และอย่าประมาทเป็นดีที่สุดครับ ผมท่องคำนี้หลังตัวเองอยู่หลังพวงมาลัยเสมอครับ 8) 8) :-X :-X :) สวัสดีค่ะ คุณ kenchoku ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ รู้สึกปลื้มและมีกำลังใจจังค่ะ ;D ถ้าคุณอ่านแล้วรู้สึกสนุกและชื่นชอบกับเรื่องราวของเราแล้วก็รบกวนช่วยติดตามอ่านต่อไปอีกนานๆ นะคะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Regis100 ที่ 13 พฤษภาคม 2012, 09:38:53 :) :) :) :) กำลังมัน ไม่รีบครับตามความว่างของคนเขียนเลย รออ่านต่อไป :-\ :-\ :-\ :-\
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: s.chart ที่ 13 พฤษภาคม 2012, 13:02:04 อ่านเพลินมากเลยครับ"คุณต้อมขี้เหร่"(แปลถูกป่าวหว่า)
เอารูปเจ้าเหมียวมาโชว์มั่งนะครับ :D หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: joepao ที่ 13 พฤษภาคม 2012, 17:13:57 ผมได้ป๊อปคอร์นมาแล้วนะครับ...
เอาขนมจีบ...ซาลาเปาด้วยไหมครับ :D :D :D :D :D ปล.กำลังมันส์เลยครับ.... หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 13 พฤษภาคม 2012, 20:13:33 ช่วงแวะทักทายเพื่อนๆ ค่ะ!
อ่านเพลินมากเลยครับ"คุณต้อมขี้เหร่"(แปลถูกป่าวหว่า) เอารูปเจ้าเหมียวมาโชว์มั่งนะครับ :D :) สวัสดีค่ะ คุณs.chart ... จัดตามคำขอ "คุณโคล่า" แมวเหมียวสุดที่รักของครอบครัวเราค่ะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: patpat ที่ 14 พฤษภาคม 2012, 11:19:25 >:( หลายตอนมานี่.. รู้สึกว่าถึงจะมีประสบการณ์แต่ก็ไม่หลาบจำ มีสติแต่ก็ยังขับรถเร็วใช่มั๊ยครับ
รั้นนี่เราอ่ะ.... นี่ถ้าเป็นเด็กนา.. อิ อิ รอนะไวท์กี้ :) หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: s.chart ที่ 14 พฤษภาคม 2012, 12:01:52 ช่วงแวะทักทายเพื่อนๆ ค่ะ! น่ารักน่าอุ้มมากกกกก :):) สวัสดีค่ะ คุณs.chart ... จัดตามคำขอ "คุณโคล่า" แมวเหมียวสุดที่รักของครอบครัวเราค่ะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: pranot ที่ 14 พฤษภาคม 2012, 23:29:26 ผมเห็นแล้วครับ ไวท์กี้ ;) ;) ;)
(http://www.welovecivic.com/forum/index.php?action=dlattach;topic=134639.0;attach=190839;image) หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: cyu ที่ 15 พฤษภาคม 2012, 08:56:19 ช่วงแวะทักทายเพื่อนๆ ค่ะ! :) สวัสดีค่ะ คุณs.chart ... จัดตามคำขอ "คุณโคล่า" แมวเหมียวสุดที่รักของครอบครัวเราค่ะ น่าร้ากกมากมายเลยเจ้าตัวนี้ :-* :-* :-* หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: devilvistion ที่ 15 พฤษภาคม 2012, 14:14:42 อยากอ่านต่อมาไวไว อย่ามาม่า น่า :-\ รอพระเอกๆๆๆๆๆ เมื่อไหร่จะออก
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: tochodo_147 ที่ 15 พฤษภาคม 2012, 14:40:01 วิธีการเขียนเรียบเรียงดำเนินเรื่องยังกะ มืออาชีพ
เปลี่ยนอาชีพเหอะ เขียนนิยายขายเลย ;D ;D ;D หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: woot5688 ที่ 15 พฤษภาคม 2012, 16:04:44 รออ่านต่อครับ... :-X
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: dirtyshoes ที่ 15 พฤษภาคม 2012, 19:06:38 กะว่าเข้ามาอ่านขำๆ ทำไมอ่านซะจบเลยฟะตรู
แต่ก่อนไปไหนก็แบกกล้องเหมือนกัน เดี๋ยวนี้เลิกล่ะ หนัก พกคอมแพคพอแล้ว รออ่านต่อพรุ่งนี้ครับ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: firstjung ที่ 15 พฤษภาคม 2012, 21:24:57 สุดยอด :-* :-* :-* :-*
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: eak99 ที่ 16 พฤษภาคม 2012, 10:39:10 "ไวท์กี้" หายไปไหนนานจัง ปอปคอนหมดแล้วคร้าบๆๆ
;D ;D ;D หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: BeeR_ZeeD_ZaaD ที่ 16 พฤษภาคม 2012, 15:12:31 อ่านแล้วสนุกดีคับ
ทำให้อยากติดตามต่อ :) :) :) หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Chokhihi ที่ 16 พฤษภาคม 2012, 22:52:13 รออ่านอยู่น้าาา เจ้าของกะทู้มาต่อหน่อยจ้า อ่านแล้วติด :D :D :D
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: chira711 ที่ 17 พฤษภาคม 2012, 15:07:09 :) :-* สวัสดีครับ.....ติดตามจาก ไทเป 101 คร๊าบ.......กลับ อยุธยา...เจอกันครับ...
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: nonglays ที่ 17 พฤษภาคม 2012, 15:30:44 ติดตามๆ
:-* :-* :-* หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 17 พฤษภาคม 2012, 19:49:08 ช่วงแวะทักทายเพื่อนๆ ค่ะ!
ผมเห็นแล้วครับ ไวท์กี้ ;) ;) ;) (http://www.welovecivic.com/forum/index.php?action=dlattach;topic=134639.0;attach=190839;image) :) สวัสดีค่ะคุณ pranot ...ถ้าหมายถึงซีวิคคันสีขาวที่อยู่ในรั้วบ้าน ไม่ใช่ค่ะ คันนั้นเป็นของพี่ชายกับพี่สะใภ้ค่ะ :-[ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 17 พฤษภาคม 2012, 20:10:24 ช่วงแวะทักทายเพื่อนๆ ค่ะ!
อ้างถึง woot5688 รออ่านต่อครับ... :-Xอ้างถึง dirtyshoes กะว่าเข้ามาอ่านขำๆ ทำไมอ่านซะจบเลยฟะตรูแต่ก่อนไปไหนก็แบกกล้องเหมือนกัน เดี๋ยวนี้เลิกล่ะ หนัก พกคอมแพคพอแล้ว รออ่านต่อพรุ่งนี้ครับ อ้างถึง firstjung สุดยอด :-* :-* :-* :-*อ้างถึง BeeR_ZeeD_ZaaD อ่านแล้วสนุกดีคับทำให้อยากติดตามต่อ :) :) :) อ้างถึง Chokhihi รออ่านอยู่น้าาา เจ้าของกะทู้มาต่อหน่อยจ้า อ่านแล้วติด :D :D :Dอ้างถึง nonglays ติดตามๆ:-* :-* :-* -------------------------------------------------------------------------------------- :) สวัสดีเพื่อนๆทุกคนค่ะ....เห็นเพื่อนๆ หลายคนชอบอ่านแล้วรู้สึกมีกำลังใจที่จะเขียนขึ้นมาอีกเยอเลยค่ะ :D ขอบคุณมากมายที่ติดตามกันนะคะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 17 พฤษภาคม 2012, 20:14:50 ช่วงแวะทักทายเพื่อนๆ ค่ะ!
อ้างถึง tochodo_147 วิธีการเขียนเรียบเรียงดำเนินเรื่องยังกะ มืออาชีพเปลี่ยนอาชีพเหอะ เขียนนิยายขายเลย ;D ;D ;D -------------------------------------------------------------------------------------- :) สวัสดีค่ะคุณ tochodo_147 ...ขอบคุณสำหรับคำชมมั๊กมากค่ะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: s.chart ที่ 17 พฤษภาคม 2012, 20:19:11 มาแล้วปลุกด้วยนะครับ :-\
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 17 พฤษภาคม 2012, 20:19:39 ช่วงแวะทักทายเพื่อนๆ ค่ะ!
อ้างถึง chira711 :) :-*สวัสดีครับ.....ติดตามจาก ไทเป 101 คร๊าบ.......กลับ อยุธยา...เจอกันครับ...-------------------------------------------------------------------------------------- :) สวัสดีอีกครั้งค่ะคุณ chira711... อุ๊ย!! ไปเที่ยวไทเปด้วย สนุกไหม อากาศที่โน่นร้อนเหมือนบ้านเราป่ะ ขอให้เที่ยวให้สนุกค่ะ แล้วยังไงวันเดินทางกลับก็ขอให้ปลอดภัยนะคะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 17 พฤษภาคม 2012, 20:25:04 "นอกเรื่อง"...การเดินทางไปเกาะสมุย
:) กลับมาแล้วคร้า! คิดถึงกันบ้างมั๊ยเอ่ย? ...ฉบับนี้ขอออกนอกเรื่องนะคะ ที่หายไป...จะบอกว่า “ไปสมุยมา & งานเยอะมั๊กมากค่ะ” กว่าจะเลิกงานก็ดึก พอหัวถึงหมอนก็หลับทันที เลยไม่ได้เขียนเรื่องราวสนุกๆ ให้เพื่อนๆ อ่าน ต้องขออภัยด้วยนะคะ เรื่องมีอยู่ว่า เช้าวันจันทร์ที่ 14 ก่อนเดินถึงโต๊ะทำงานก็แวะทักทาย น้องๆ เด็กๆ พี่ๆ ที่นั่งทำงานในห้องเดียวกัน (นั่งหลังสุด) พอให้หายคิดถึงที่ไม่เจอหน้ากัน 2 วัน แต่พอถึงโต๊ะทำงาน เห็นกระดาษโน๊ตแปะไว้หน้าจอคอมฯ รายมือเหมือนแม่ไก่เขี่ยอึ เป็นประโยคสั้นๆ แต่ทำให้ตะลึง อึ้ง งง "วันที่ 15 ให้ไปประชุมที่สมุยค่ะ" (ใจคิด ไม่สิ! พูดออกมาเลย แต่พูดเบาๆ ...เฮ้ย! แปะผิดโต๊ะป่าวเนี๊ยะ) จากนั้นรีบสาวเท้าเดินไปห้องทำงานของเจ้านายทันที เพื่อถามให้แน่ใจว่าเราต้องไปสมุยจริงๆ แล้วให้ไปประชุมเรื่องอะไร หรือเป็นได้ว่าเจ้านายอาจจะเอ๋อ แปะโน๊ตผิดโต๊ะ ก๊อก ก๊อก ก๊อก "สวัสดีค่ะพี่ หนูเห็นกระดาษโน๊ตแปะไว้ที่คอม พี่จะให้หนูไปประชุมที่สมุยพรุ่งนี้เหรอคะ" นายหญิงตัวสูงใหญ่เกือบอ้วน วางแก้วกาแฟในมือลงบนโต๊ะทำงานเบาๆ แล้วพูดว่า "เมื่อวานนายโทรหาพี่ บอกว่าให้เธอไปประชุมที่สมุย เพราะเรื่องที่จะประชุมมันเกี่ยวกับสายงานของเธอโดยตรง พี่โทรหาเธอแล้วแต่ว่าติดต่อไม่ได้ (เห่อๆ โทรตอนไหนหว่า ไม่เห็นมีสักสาย โม้แหงๆ...คิดเฉยๆ ค่ะ) แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฝ่ายบุคคลประสานงานกับสมุยเรื่องที่พักและจัดการตั๋วเครื่องบินให้เธอเรียบร้อยแล้ว คืนนี้เธอบินได้เลย" ใจคิด...เอ่อ!! ดีเนอะ ไม่ถามตรูสักคำว่าสะดวกมั๊ย มีงานค้างหรือเปล่า แล้วจะประชุมเรื่องอะไรก็ยังไม่บอกเลย แล้วนี่ตรูจะเตรียมข้อมูลทันมั๊ยเนี๊ยะ ที่ผ่านมาถึงจะงานด่วนแค่ไหนก็จะให้เวลาเตรียมตัวอย่างน้อย 2 วัน แต่ก็ช่างเถอะ คิดมากไปเมื่อยแกนสมองเปล่า ถ้าต้องเดินทางคืนนี้ สู้ไปมันตอนนี้เลยดีก่า 555) ว่าแล้วก็พูดกับเจ้านาย "พี่ค่ะ ถ้าอย่างนั้น หนูขอเดินทางเลยได้ไหมคะ จะได้มีเวลาเตรียมตัวบ้าง" เจ้านายตอบทันทีแทบไม่คิด "ได้ๆ ไปสิ แต่เธอลองถามบุคคลก่อนนะว่าตั๋วเลื่อนทันไหม" พอก้าวพ้นประตูห้องหัวหน้าก็รีบโทรไปหาน้องแผนกบุคคล ถามว่าถ้าขอให้เปลี่ยน Flight บินจะได้ไหม เราชักแม่น้ำทั้ง 5 มาเป็นเหตุผล เดินทางตอนเย็นไม่สะดวกบ้างหล่ะ รถติดบ้างหล่ะ คุณน้องแผนกบุคคลตอบว่าเลื่อนได้ค่ะ เพราะเป็นตั๋วเปิด สามารถเปลี่ยน Flight ได้ตลอด แต่ต้องแจ้งก่อน 3 ชั่วโมง สรุปว่าเราขอเลื่อนเวลาเดินทางจากตอนค่ำมาเป็น 12.50 น. นั่งเตรียมเอกสารและไฟล์ข้อมูลที่จะใช้ในการประชุมเสร็จแล้วรีบบึ่งกลับบ้าน ตอนนั้นรู้สึกว่าเหมือนจะวิ่งอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ตอนนั่งขับรถ เลยเริ่มสงสัยตัวเองว่าเลือก Flight บินผิดหรือเปล่าน๊ะ ดูมันเร่งรีบไปมั๊ย เลี้ยวเข้าซอยบ้านทีไรความเร็วตกทุกที เพราะคุณหมาน้อยนอนขวางทางกันเกลื่อนกลาด เฮ้อ! ไม่เข้าใจคนพวกนี้เลย จะด้วยสงสารน้องหมาหรืออยากเลี้ยงก็ตาม แต่กลับไม่เอาเข้าไปเลี้ยงในบ้าน ปล่อยให้น้องหมานอนกันเต็มถนนหน้าบ้าน เราเคยเห็นเวลาพวกเค้าให้อาหารน้องหมาก็จะแอบๆ เอาไปเทไว้ริมรั้วบ้านแต่พยายามเขี่ยชามข้าวหรือกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ใช้ลองอาหารให้ยื่นเข้าไปในเขตบ้านข้างๆ คงไม่อยากให้หน้าบ้านตัวเองสกปรก เรามองเห็นคุณแม่สุดที่เลิฟกำลังยืนแต่งกิ่งกุหลาบอยู่ที่รั้วหน้าบ้านแต่ไกล พอก้าวลงจากรถปุ๊บ แม่ก็ถามปั๊บว่าลืมอะไรอีกหล่ะคราวนี้ (แป่วว!! 555 ขี้ลืมเป็นนิสัยประจำตัวค่ะ) "ไม่ได้ลืมอะไรทั้งนั้น แต่วันนี้หนูต้องไปสมุยด่วน นี่กลับมาเอาเสื้อผ้าแล้วต้องไปสนามบินเลยนะแม่" พูดจบก็วิ่งเข้าห้องตัวเอง มุดเข้าใต้เตียงคว้าเป้สีน้ำตาลออกมากางให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้ จากนั้นเปิดตู้เสื้อผ้า ยืนมองและคิด ...เอาตัวไหนดีหว่า อ้า!! ชุดเก่งนี่แหละว๊ะ ว่าแล้วก็คว้าเสื้อกับกางเกงชุดทีว่าโยนใส่เป้ ของใช้ที่จำเป็นอื่นๆ จัดใส่กระเป๋าใบย่อมเตรียมไว้ตลอดแล้ว แม่เดินเข้ามาในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ได้ยินเสียงท่านพูดอยู่ในห้องนั่งเล่น "ทำไมบริษัทถึงชอบส่งเราไปโน่นไปนี่บ่อยจังลูก แล้ววันนี้จะไปสมุยก็ไม่เห็นบอกพ่อแม่ อาทิตย์หน้าเราก็ต้องไปภูเก็ตด้วยกันแล้วจะให้พ่อแม่ทำยังไง" เราเลยโผล่หัวยื่นหน้าออกมาจากประตูห้อง เห็นแม่นั่งดื่มน้ำแก้วโตอยู่ โห่! สีหน้าแม่บอกถึงความไม่พึงพอใจอย่างแรง เราเลยเดินไปนั่งข้างแม่แล้วกอดท่านแน่นๆ หอมแก้มไปอีก 1 ฟอด และก็เล่าประโยคที่เจ้านายพูดกับเราเมื่อช่วงเช้าให้แม่ฟัง และก็บอกแม่อีกว่า “หลังเสร็จงานที่สมุยแล้งหนูจะบินไปภูเก็ตเลย ไปรอพ่อแม่ที่นั่น ส่วนพ่อแม่ก็ค่อยๆ ขับรถไปรับหนูที่ภูเก็ต จากนั้นเราค่อยไปเที่ยวกระบี่กันต่อนะ” (พ่อแม่ชอบขับรถเที่ยวกันค่ะ และไม่ค่อยจะบอกเราด้วยนะ เผลอทีไรแว๊บหายทุกที) เราสังเกตุสีหน้าแม่จากเดิมที่หน้านิ่วคิ้วชนกัน ดูผ่อนคลายขึ้น เราก็รีบวิ่งกลับเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดทำงานมาเป็นกางเกงยีนส์ เสื้อยืดปลายบานฉ่ำสีดำลายจุดขาวมาใส่ ได้ยินเสียงแม่ตะโกนบอกอยู่หน้าบ้าน "แท็กซี่มาแล้วลูก" (โอ้ว! มาเร็วทันใจ) ก่อนเลี้ยวเข้าปากซอยหมู่บ้าน เราโทรเข้าศูนย์บริการแท๊กซี่ บอกทางศูนย์ให้ส่งแท็กซี่มารับที่บ้าน เดี๋ยวนี้บริการแท็กซี่สะดวกสบายขึ้นมาก แค่เราใช้บริการครั้งแรก ทางศูนย์จะจัดเก็บข้อมูลที่อยู่และเบอร์โทรเราไว้เลย เมื่อใช้บริการครั้งต่อไปแค่แจ้งชื่อและเบอร์ติดต่อกลับ ทางศูนย์จะถามว่าให้ไปรับสถานที่เดิมหรือเปล่า รีบรูดซิบปิดปากเป้สะพายขึ้นหลัง ก่อนออกมาหน้าบ้านรีบวิ่งไปหอมแก้มคุณโคล่าที่นั่งมองพฤติกรรมของเราตั้งแต่ก้าวเข้าประตูบ้านแล้ว เค้าคงคิดว่า "ยัยป้านี้จะรีบไปไหน ทำอะไรดูวุ่นวาย หิ้วข้าวของพลุงพลังไปหมด" ก่อนวิ่งขึ้นแท็กซี่ที่จอดรออยู่นอกรั่ว ก็วิ่งไปกอดแม่อีกหนึ่งที กราบงามๆ ลงไปที่อกท่าน "หนูไปนะแม่ อีกสองสามวันเจอกัน เดี๋ยวซื้อหนมสมุยไปฝากน๊ะจ๊ะ (จุ๊ป จุ๊ป)" โอ๊ะ โอ๊ะ โอ๊ะ ลืม ลืม ลืม ...รีบวิ่งไปคว้าโน๊ตบุค Dell จอ 15" (หนักมาก) ที่วางอยู่เบาะหลังเจ้าไวท์กี้ แล้วก็นึกขึ้นได้อีกว่าตอนเข้าประชุมต้องใส่รองเท้าส้นสูง ก็วิ่งไปเปิดลิ้นชักรองเท้า คว้าร้องเท้าส้นสูงสีดำคู่ใหม่ (ที่ใหม่เพราะไม่ค่อยใส่) พร้อมกับฉวยเอาถุง Big-C ยับๆ ติดมือมาด้วย "ไปสนามบินสุวรรณภูมิเลยค่ะพี่" เป็นประโยคเดียวที่พูดกับพี่คนขับแท็กซี่ (น่าจะลุงมากกว่าแต่ไม่กล้าเรียกกลัวเค้าเสียใจ) ระหว่างทางที่นั่งในแท็กซี่ก็เปิดเป้เพื่อจัดสัมภาระใหม่ โดยเพิ่มร้องเท้าส้นสูงที่หิ้วมาเปล่าๆ ยัดใส่ลงในเป้ด้วย ถ้าเราไม่จัดสัมภาระใหม่มีหวังเสื้อผ้ายับเยินแน่ เกรงว่าพรุ่งนี้คนในห้องประชุมจะเข้าใจว่าเราเพิ่งกลับมาจากไปสนามรบ 555 ไม่ทันดูเวลาว่าออกจากบ้านกี่โมง แต่ถึงสุวรรณภูมิ 11.20 น. อื้ม! ทำเวลาได้เยี่ยมมาก หุหุ (ชื่นชมตัวเองนิดๆ) เวลาเหลือเฟือ ไม่ต้องวิ่งกระหืดกระหอบเหมือนครั้งก่อนๆ ที่เกือบจะตกเครื่อง เช็คอินที่เคาว์เตอร์เสร็จก็เดินเข้าไปนั่งรอในโซนผู้โดยสารรอเรียกขึ้นเครื่อง ระหว่างรอก็นั่งฟังเพลงที่โหลดไว้ใน iPhone 4s ที่เพิ่งซื้อมาสดๆ ร้อนๆ แทนเครื่องเก่าที่โดนขโมยไปเมื่อเดือนก่อน (ไว้จะเล่าให้ฟังว่าถูกขโมยยังไงนะคะ) พอถึงเวลาขึ้นเครื่อง เราเดินแบกเป้ใบโตซึ่งที่จริงไม่โตเท่าไหร่ แต่ด้วยเราตัวเล็กเตี้ยเลยทำให้เป้ดูโตกว่าขนาดที่ควรเป็น ที่นั่งของเราอยู่ริมหน้าต่างด้านท้ายลำ และล้อมรอบไปด้วยชาวต่างชาติ ซึ่งแยกไม่ออกว่าประเทศอะไรบ้าง เพราะฝรั่งหน้าตาจะคล้ายกันไปหมด (ใจคิดขำๆ ถ้าต้องนั่งติดกับฝรั่งก็ขอเป็นประเภทที่กลิ่นตัวไม่เหม็นฉุน ไม่งั้นได้เป็นลมแน่) ระหว่างที่อยู่บนเครื่องได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่าง โห่! ท้องฟ้าสีฟ้าเข้มสวยมาก พื้นน้ำทะเลกว้างไกลสุดสายตา สีน้ำทะเลเขียวอ่อนบ้าง เข้มบ้าง บอกให้รู้ถึงความลึกของระดับน้ำทะเล บางช่วงจะเห็นเกาะเล็ก เกาะน้อยที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวและล้อมรอบด้วยหาดทรายสีขาว สีสันตัดกันได้อย่างลงตัวและสวยงาม ข้อคิดที่ได้รับ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 17 พฤษภาคม 2012, 20:26:27 ภาพที่เราถ่ายด้วย iPhone 4s ค่ะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 17 พฤษภาคม 2012, 20:57:11 "นอกเรื่อง" ...เวลาบนเกาะสมุย
นั่งดูทัศนียภาพนอกหน้าต่างอย่างดื่มด่ำจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า เราเหลือบเห็นคุณฝรั่งผู้ชายที่นั่งข้างๆ ก้มลงหยิบกระเป๋าสะพายใต้เบาะนั่งอย่างลำบากเพราะตัวแกใหญ่ ถึงได้รู้ว่าตอนนี้ถึงสมุยแล้ว ข้อเสียของการนั่งท้ายลำคือต้องรอคนที่นั่งด้านหน้าเดินลงเครื่องไปก่อน แล้วเราค่อยเดินตามเค้า ส่วนข้อดีคือได้นั่งใกล้ประตูฉุกเฉิน แต่ถ้าอยู่บนความสูงเป็นหมื่นไมล์ ประตูฉุกเฉินก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเราจะไม่เปิดประแล้วโดดลงมาที่พื้นโลกแน่ๆ 555 เราลงจากเครื่องบินแล้วมาขึ้นรถที่รอรับไปส่งที่อาคารผู้โดยสารอย่างทุลักทุเล พอมาถึงจุดนัดพบซึ่งต้องเดินไกลทีเดียว เห็นพี่คนขับรถบริษัทมารออยู่แล้ว เวลาประมาณบ่ายสองโมงนิดๆ ก็มาถึงที่พัก "จอยเรสสิเด้น" เป็นเซอร์วิสแมนชั่นที่บริษัททำสัญญาเช่าให้กับพนักงานราคาพิเศษ แต่ที่นี่ก็ให้บริการแบบรายวันและรายเดือนกับนักท่องเที่ยวด้วย ห้องพักสะอาด มีสระวายน้ำ อาหารเช้า ราคาประมาณ 900 - 1200 ถือว่าไม่แพงสำหรับห้องพักระดับกลางๆ ที่ตั้งอยู่บนเกาะสมุย ซึ่งจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก ก่อนที่พี่คนขับรถจะจากไป แกยื่นกุญแจพวงเล็กมาให้แล้วพูดว่า "คุณหนกฝากกุญแจมอร์เตอร์ไซต์มาให้ ส่วนมอร์เตอร์ไซต์จอดอยู่ข้างหน้าครับ" ...โอ้วเยี่ยม! มีมอร์ไซต์แล้วนิ คืนนี้ก็ต้องออกไป “เหวน” เริงร่าริมหาดสักหน่อย (คำว่า “เหวน” เป็นภาษาของเด็กวันรุ่นภูเก็ต ใช้พูดเวลาขับมอร์เตอร์ไซต์เที่ยวเล่น) มาสมุยครั้งนี้เราได้พักชั้น 4 สภาพห้องพักเหมือนห้องเดิมที่เคยพัก มีตู้เสื้อผ้า ตู้เย็น ไมร์โคเวฟ อ่างล้างจาน ทีวี ...โอ๊ะ โอ๊ะ! ที่นอนหนานุ่มขาวสะอาด น่านอนซะนี่กระไร... ครอกฟี้ ครอกฟี้ รู้สึกตัวตื่นอีกทีเกือบทุ่ม โอ่ยยย! หิว หิว หิว ไม่ไหวแล้ว นอนต่อไปมีหวังได้ย่อยตัวเองแน่ ไปดีกว่า ไปหาของอร่อยๆ กระแทกปาก (ฟังดูโหดแต่ได้อารมณ์ของความหิว หุหุ) ไม่รอลิฟท์ให้เสียเวลารีบวิ่งลงบันไดมาชั้นล่าง มองหามอร์ไซต์คันเก่งที่คุณน้องหนกอุส่าห์เอามาจอดไว้ให้ยืมใช้ พอได้ยานพาหนะคู่ใจก็บึ่งตรงไปร้านอาหารเจ้าโปรด "ระนองโต้รุ่ง" ถ้าเพื่อนๆ ได้ไปเที่ยวสมุยก็ขอนำเสนอร้านนี้เลยค่ะ อาหารรสชาติอร่อยสวดยอด! เมนูมีให้เลือกมากมาย วัตถุดิบใหม่ สด สะอาด ที่สำคัญราคาถูกมากมายถ้าเปรียบเทียบกับการขนส่งที่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกล ...มือนี้เราสั่ง ต้มยำปลาช่อนน้ำใสรสจัดจ้าน 1 ชาม 80 บาท ข้าวผัดทะเลจานเล็ก 40 บาท และน้ำเปล่า 1 ขวด 10 บาท ...เห่อๆ อิ่มพุงกางเลย ท้องอิ่มแล้วก็มีแรงขึ้นมาเชียว ฝนหยุดตกพอดีด้วย ไปหาอะไรเย็นๆ ดื่มดีกว่า อิอิ เราขี่มอร์ไซต์ไปตามทางเข้าสู่ถนนเส้นวันเวย์ เพื่อจะไปที่ ARK BAR ถึงด้านหน้าก็หาที่จอดมอร์เตอร์ไซต์แล้วเดินเข้าไปในซอยลึกพอสมควร แต่ระหว่างทางเดินเต็มไปด้วยผู้คนทำให้ไม่เปลี่ยวหรือน่ากลัว ARK BAR เป็นโรงแรมที่มีร้านอาหารและบาร์เบียร์ติดริมหาดไว้ให้บริการนักท่องเที่ยวให้ได้นั่งกินอาหารพร้อมกับชมบรรยากาศยามค่ำคืนและสูดกลิ่นไอทะเลอย่างเต็มปอด ถึงแม้ฝนจะตกแต่แขกก็เต็มร้าน ที่นั่งที่เหมาะกับการมาคนเดียวคือที่เคาว์เตอร์บาร์เบียร์ จะไม่ใครมาวุ่นวายถามว่าจะสั่งอะไร เพราะการนั่งที่นี่บอกให้รู้แล้วว่าจะสั่งแต่น้ำดื่มเท่านั้น เราสั่งน้ำส้ม (กล่อง) ปั่น 1 แก้ว ราคา 80 บาท จ่ายไป 100 ไม่ต้องทอน หุหุ ซึ่งถ้าสั่งที่ร้านระนองโต้รุ่งราคาจะอยู่ที่แก้วละ 25 บาท ได้ส้มสดอีกต่างหาก ...แต่เอาน่า นานๆ มาที 80 บาท ขนหน้าแข้งไม่ล่วงหรอก แถมนั่งเป็นชั่วโมง 3 ทุ่ม อยู่ๆ ชะนีเริ่มง่วงนอนขึ้นมาเฉยเลย กลับไปนอนดีกว่า รีบเดินมาที่มอร์ไซต์ขับกลับที่พัก แต่ระหว่างทางห็นร้านนวดแผนไทยหลายร้าน เลยชักจะหายง่วงแหละ ว่าแล้วแวะสักหน่อยน่าจะดี มาสมุยหลายครั้งแล้วแต่ไม่เคยลองใช้บริการนวดที่นี่เลย เราจอดมอร์ไซต์แล้วเดินดูตามร้านต่างๆ ...อ้า! ร้านนี่แหละ สีส้มสดใส ดูสะอาด ท่าจะนวดดีด้วย ลูกค้าตรึม พอดีหันไปเห็นน้องผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากร้านที่เร่งเอาไว้ เรารีบเดินเขาไปหาน้องคนนั้น แล้วถามว่า “น้องคะ ร้านนี้นวดดีป่ะ” น้องเค้าส่งยิ้มหวานเจี๊ยบให้ ก่อนจะตอบว่า “ดีมากเลยค่ะพี่ หนูเป็นแคชเชียร์ร้านนี้เอง” แป่ววว นวดไป 2 ชั่วโมง 400 บาท ทิปน้องคนที่นวดไป 100 บาท เดินตัวปลิวเลยเรา เอาหล่ะถึงเวลากลับไปพักผ่อนอย่างจริงจังสักที อีกไม่กี่กิโลก็ถึงที่พักแล้วฝนดันตกลงมา แถมตกหนักซะด้วยสิ แล้วฝนก็เม็ดเป้งเชียว เล่นเอาหน้าชาไปเลยอ่ะ สารรูปเปียกและเยิน พอถึงห้องรีบสระผม อาบน้ำ นอน... แต่ก่อนนอนตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตีห้า ตั้งใจจะเตรียมตัวแต่เช้ามืด แต่พอถึงเวลาตื่นหนังตาไม่ยอมลืม นอนบิดไปบิดมาเหมือนจะเลื้อย กว่าจะขุดตัวเองขึ้นมาได้เกือบครึ่งชั่วโมง... ง่วง ง้วง ง่วง การประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น แต่สำหรับเราเหมือนจะรับรู้ข้อมูลในการประชุมได้แค่ 80 เปอร์เซ็น เพราะสมองทำงานไม่เต็มที่ ง่วงอ่ะค่ะ ต้องซัดกาแฟดำไป 2 แก้ว ดีขึ้นมาหน่อย สี่โมงเย็นประชุมเสร็จก็เปิดก้นแนบออกจากห้องประชุมก่อนใครๆ ...ไปก่อนหล่ะคร๊าบ เดี๋ยวจะตกเครื่อง เราบินตรงเข้าภูเก็ต แต่การนั่งเครื่องบินครั้งนี้ไม่มีความสุนทรียภาพใดๆ เกิดแกสายตาอีกแล้ว หลับตลอดทางตั้งแต่เครื่องบินยังไม่ขึ้นจนถึงเครื่องลงที่สนามบินภูเก็ต ข้อคิดที่ได้รับ 1. ขณะที่เราใช้สมาธิไปกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างจริงๆ เวลามักจะผ่านไปโดยไม่รู้ตัว 2. ถ้าไม่รู้จักระงับใจ ทำกิจกรรมให้เหมาะสมแกเวลาอันควร อาจทำให้เสียงานได้ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 17 พฤษภาคม 2012, 21:03:11 ถ่ายภาพ "จอยเรสสิเด้นท์" มาฝากค่ะ ถ้าเพื่อนๆ ไปเที่ยวสมุยก็ขอเสนอที่นี่เป็นหนึ่งในตัวเลือกเรื่องที่พักนะคะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Chokhihi ที่ 17 พฤษภาคม 2012, 21:53:48 อยากไปบ้างงงงง :( :( :(
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: eak99 ที่ 18 พฤษภาคม 2012, 15:25:32 วิวสวยมาก อยากไปบ้างจัง
;) ;) หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: tang1931 ที่ 18 พฤษภาคม 2012, 21:47:47 เจ้าไวท์กี้มารึยางคร้าบบบบบ :D :Dติดตาม ติดตาม อยากเห็นหน้าพระเอก
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: joepao ที่ 25 พฤษภาคม 2012, 17:29:26 หายยาวเลยครับ ::) ::) ::) ::) ::)
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: nu_tspc ที่ 25 พฤษภาคม 2012, 22:12:05 มารออ่านต่อครับ :-[
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: eak99 ที่ 30 พฤษภาคม 2012, 16:40:46 เจ้าไวท์กี้ แอบหนีไปเที่ยวที่ไหน :-\ :-\
กลับมาได้แล้ว เพื่อนๆให้อภัยแล้ว ;D ;D หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: devilvistion ที่ 31 พฤษภาคม 2012, 08:48:00 สงสัยงานเข้า เลยหายไปนานๆๆๆเลย อดใจรอต่อไปครับ :-\ :-\ :-\ :-\ :-\ :-\ :-\ :-\ :-\ :-\ :-\
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: coupe4wd ที่ 31 พฤษภาคม 2012, 10:25:29 อ่านแล้วเพลินดีมากครับ
บรรยายได้เห็นบรรยากาศเหมือนเป็นผู้ร่ามเดินทางไปด้วยเลยครับ ปูเสื่อรอ.....ภาคต่อไปอยู่ครับผม :-* หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: joepao ที่ 31 พฤษภาคม 2012, 11:32:22 สงสัยเจ๊แกแอบไปแต่งงานป่าวเนี่ย...... ;) ;) ;) ;) ;)
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 03 มิถุนายน 2012, 23:14:49 :) ไวท์กี้กลับมาแว้วววเจ้าคร้า... เพื่อนๆ เป็นเช่นไรบ้าง สบายดีกันทั่วหน้าเน๊าะ... เค้าหายไปนาน คิดถึงกันอะดิ ;)
แต่ก่อนจะเริ่มเรื่องใหม่ เราขอเพิ่มภาพถ่ายที่เกาะสมุยนิดนุงน๊ะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 03 มิถุนายน 2012, 23:39:18 อีกมุมหนึ่งของเกาะค่ะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Toajeed ที่ 03 มิถุนายน 2012, 23:43:15 ถ่ายรูปเก่งนะครับ องค์ประกอบภาพดีเยี่ยม :-* :-* :-*
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 03 มิถุนายน 2012, 23:53:45 "นอกเรื่อง"...ความรัก กับ ความรู้สึกผิด
ที่หายหน้าไปนานเพราะเรื่องมันเยอะค่ะ ทั้งเรื่องงาน เรื่องเที่ยว เรื่องความรัก วุ่นวายไปหมด แยกร่างแบ่งสมองไม่ถูก ก็เลยเก็บตัวมั่วงานให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ฉบับนี้ยังขอนอกเรื่องต่ออีกหน่อยนะ เรื่องมีอยู่ว่า...วันที่ 18 พค. พ่อกับแม่ขับรถจากกรุงเทพลงมาหาเราที่ภูเก็ต พวกท่านออกเดินทางตั้งแต่ตี 4 หัวรุ่ง มาถึงภูเก็ตทุ่มครึ่ง 15 ชั่วโมงกว่าๆ ช่างเป็นการเดินทางที่ยาวนานม๊ากมาก วันนั้นทั้งวันเราโทรหาแม่เป็นระยะ (ระยะถี่ๆ) ครั้งไหนที่แม่ไม่รับสายก็จะโทรเข้ามือถือพ่อแทน มีหลายครั้งที่ท่านไม่รับสายทั้งคู่เลย โอ่ย! จิตตกสิคร้าแบบนี้ งานการไม่ทำหล่ะตรู นั่งโทรศัพท์จนกว่าแม่หรือพ่อจะรับสายนั่นแหละถึงจะทำงานต่อได้ แล้วพอแม่รับสายเราก็จะถาโถมคำถามใส่ท่านอย่างไม่ยั้ง “ทำไมไม่รับสายคะแม่ ทำอะไรอยู่ เป็นอะไรกันหรือเปล่า อย่าทำแบบนี้สิ รู้ไหมว่าหนูเป็นห่วง (บ่นต่ออีกยาวยืด)” คำตอบที่ได้รับจากแม่เกือบทุกครั้งคือ “แม่ไม่ได้ยิน (ตามด้วยเสียงหัวเราะ คลิ๊ก คลิ๊ก)”...อะไรว้า เรารึอุส่าห์เป็นห่วงแทบตาย ไหงตอบสั้นๆ ง่ายๆ แค่เนี๊ยะ โห่! ลมเสียอ่ะ เหตุการณ์วนไปวนมาแบบนี้จนถึงห้าโมงครึ่ง แม่โทรมาหาแล้วพูดว่า “เอ่อนี่! แบตมือถือพ่อแม่ใกล้จะหมดแล้วนะลูก เดี๋ยวพ่อแม่จะปิดมือถือ เก็บแบตไว้โทรหาหนูตอนใกล้ถึงภูเก็ต” เราได้ฟังแล้วก็ไม่ชอบใจเอามากถึงมากที่สุด เพราะหลายครั้งที่พวกท่านออกจากบ้านไปทำธุระ ไม่นานก็จะโทรมาบอกว่าแบตใกล้หมดต้องปิดมือถือ แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป เพราะเป็นการขับรถทางไกลและพวกท่านไม่คุ้นเส้นทาง ถึงแม้จะเป็นทางตรงไม่คดเคียวเหมือนขึ้นภาคเหนือก็ตาม เราเลยถามแม่กลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พ่อแม่ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องเดินทางไกล ทำไมไม่ชาร์ตแบตมาให้เต็ม ทำไมไม่เอาที่ชาร์ตในรถติดมาด้วย ทำไมชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย หนูไม่ชอบแบบนี้เลยนะแม่ หนู...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค แม่ก็พูดสวนกลับมาทันที “ทำไมหนูพูดจาแบบนี้กับแม่ ที่แบตหมดเพราะแบตมันเก่า อย่าลืมว่าพ่อแม่ใช้มือถือสองเครื่องนี้มานานหลายปีแล้ว ในเมื่อมันยังใช้ได้อยู่ ถึงจะต้องชาร์ตแบตบ่อยๆ ก็ไม่เป็นไร แล้วเราเป็นลูกนะ ทีหลังอย่าพูดแบบนี้อีก” แล้วแม่ก็ตัดสายทิ้ง ต่อมน้ำตาแตกเลยอ่ะ (ใจคิด...งานนี้ปากพาจนจริงๆ พูดจาไม่ดีกับพ่อแม่ กรรมแท้ๆ ตกนรกแน่เลยตรู) เราแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำอยู่นาน กลับมานั่งทำงานตาบวมฉึ่ง ใช้สติคิดไตร่ตรองสักพักก็เก็บโน๊ตบุคลงกระเป๋า สะพายเป้ เดินออกจากออฟฟิตอย่างเงียบๆ เนียนๆ ตรงไปห้องทำงานของพี่ไพ เพื่อนรุ่นพี่ที่ทำด้วยกัน “พี่ไพ ว่างไหม พาหนูไปบิ๊กซีหน่อยได้ป่ะ จะไปซื้อมือถือให้พ่อแม่ค่ะ” พี่ไพบอกว่าได้สิ ไปเลยมั๊ย…go go go ตอนนั้นใกล้หกโมงครึ่งแล้ว อีกไม่นานพ่อแม่น่าจะถึงภูเก็ต เพื่อไม่ให้เสียเวลาพอถึงบิ๊กซีเรารีบตรงดิ่งลงไปชั้นใต้ดิน แหล่งขายมือถือของภูเก็ต มีร้านค้าหลายร้าน มีทั้งเครื่องใหม่และเครื่องมือสองให้เลือกซื้อมากมาย ตั้งแต่เริ่มใช้ iPhone เราก็ไม่ได้ติดตามข้อมูลมือถือยี่ห้ออื่นอีกเลย และเพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้มือถือราคาถูกมากๆ มีตั้งแต่หลักไม่กี่ร้อยจนถึงหลายหมื่น เราเดินวนอยู่ 2 รอบ เข้าร้านโน้นที เข้าช็อปนี้ที ในที่สุดก็ได้โนเกีย 100 มา 2 เครื่อง ราคาไม่แพง เครื่องละ 990 บาท ที่เลือกโนเกีย 100 เพราะชอบสีสันของตัวเครื่อง ตัวเลขค่อนข้างใหญ่ น่าจะอ่านง่ายสำหรับสายตาของคนสูงอายุ เสียที่ขนาดเครื่องไม่ค่อยเหมาะกับมือของพ่อนัก แต่ไม่เป็นไร ให้พวกท่านใช้แก้ขัดไปก่อน รอให้เราเก็บข้อมูลจากพ่อแม่ก่อน ว่าพวกท่านอยากได้มือถือยี่ห้ออะไร รูปลักษณ์แบบไหน เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยใส่ใจกับมือถือของพวกท่านเลย ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญมาก หลังจากได้มือถือใหม่เรียบร้อยแล้ว เราก็รีบกลับมารอพ่อแม่ที่ออฟฟิตแบบเฉียดฉิว เพราะเราถึงออฟฟิตก่อนหน้าพวกท่านแค่สิบนาที พ่อจอดรถหน้าออฟฟิตแล้วเปิดประตูลงมาย้ายไปนั่งข้างหลัง เพื่อให้เราเป็นคนขับ เพราะเรารู้เส้นทาง ...งานเข้าหล่ะตรู แม่นั่งข้างหน้าซะด้วยสิ พอเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถปุ๊บ เราก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศตรึงเครียส ความเงียบเข้าครอบงำชั่วระยะหนึ่ง (ใจคิด... เห่อๆ เอาไงดีว่าตรู จะเริ่มต้นพูดยังไงดีหว่า จะขอโทษเลยดีมั๊ยน๊ะ หรือชวนคุยเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น หรือว่าปล่อยให้ความเงียบและเวลาจัดการกับปัญหา ไม่ดี ไม่ดี ถ้าเราเงียบไม่พูดไม่คุยกับแม่ ความรู้สึกของแม่จะยิ่งแย่ลงไปอีก ส่วนตัวเราเองก็ทุกข์ใจจะแย่อยู่แล้ว และที่สำคัญพ่อกับแม่อุส่าห์ขับรถมาภูเก็ตตามคำขอของเรา เวลา 15 ชั่วโมงในการเดินทางสำหรับคนสูงอายุ ทั้งเหนื่อย ทั้งหิวแน่ๆ) “พ่อแม่หิวข้าวแล้วใช่ไหม เดี๋ยวหนูพาไปร้านอร่อยของภูเก็ตน๊ะ แล้วแม่อยากกินอะไรเหรอ” ประโยคแรกที่เราเปิดประเด็น แต่แม่ไม่ตอบแหละ โชคดีที่พ่อช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ พ่อบอกว่าแม่อยากกินปลาหมึกย่าง และก็ลูกชิ้นปลาที่หนูเคยซื้อไปให้กินที่บ้าน เรารีบพูดขึ้นที่ว่า “งั้นไปร้านแหลมหินซีฟู๊ดนะ อาหารทะเลสด ลูกชิ้นปลาก็อร่อย” ไม่มีเสียงตอบรับจากคนข้างๆ โอ้ย! ไม่ไหวแล้ว รู้สึกปวดหัวใจ กดดันสุดๆ น้ำตาไหลพรากเป็นท่อประปาแตก แม่หันมาถามว่า “ร้องไห้ทำไม” โห่! ทีนี้เรายิ่งร้องใหญ่เลย มือข้างขวาจับพวงมาลัย มือข้างซ้ายคอยปาดเช็ดน้ำตาน้ำมูก สภาพดูไม่ได้เลยเรา “แม่ หนูขอโทษ หนูขอโทษ (พูดซ้ำหลายรอบ) ทีหลังหนูจะไม่พูดไม่ดีกับพ่อแม่อีกแล้ว หนูจะไม่ว่าพ่อแม่อีกแล้ว หนูขอโทษ” แม่เอื้อมมือมาลูบหัวเราเบาๆ พ่อก็เอื้อมมือตามมาลูบหัวเราด้วย แม่บอกว่า “แม่ได้โกรธ แต่แม่ไม่อยากให้หนูทำบาปโดยไม่รู้ตัว พ่อแม่รู้ว่าหนูรักเป็นห่วงพ่อแม่ แต่ยังไงหนูเป็นลูก หนูต้องพูดดีๆ พูดด้วยความเคารพพ่อแม่ เงียบซะลูก ทีหลังก็อย่าทำอีก” คำพูดของแม่ทำให้เรายิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกที่ไม่ดีเอาซะเลย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกหัวใจพองโต โล่ง โปร่ง สบาย ระหว่างที่รออาหาร เราหยิบมือถืออันใหม่ขึ้นมาแล้วส่งให้พ่อกับแม่คนละเครื่อง สีชมพูของแม่นะ ส่วนสีน้ำเงินก็ของพ่อค่ะ พ่อยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอ แต่แม่ถามว่าซื้อทำไมให้เปลืองเงิน เราเลยพูดระบายความรู้สึกในใจที่เป็นห่วงพ่อแม่เวลาออกไปนอกบ้าน หรือตอนที่ต้องขับรถทางไกล แล้วเราติดต่อพวกท่านไม่ได้เพราะแบตหมด และมันก็ไม่ได้แพงอะไรเลย แม่ฟังแล้วก็ยิ้ม ...มื้อค่ำมื้อนี้ อร่อยกว่ามื้อไหนๆ :'( ...เฮ้อ! คืนนี้คงนอนหลับไปพร้อมกับความรู้สึกผิด หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 04 มิถุนายน 2012, 02:00:50 "นอกเรื่อง"...กว่าจะถึงกระบี่
วันที่ 19 พค. ...เช้าวันใหม่ที่อากาศสดใส แสงแดดไม่จัดมาก ไม่มีวีแววของฝนจนเราแปลกใจ เพราะตั้งแต่วันที่เรามาถึงภูเก็ตฝนตกฟ้าคลึ้มตลอด เดี๋ยวตก เดี๋ยวหยุด อยู่แบบนี้ทุกวัน เราจัดเตรียมแผนการท่องเที่ยวไว้ให้พ่อแม่ ดังนี้ มื้อเช้าจะพาพวกท่านไปทานโจ๊กร้านป้าอ้วน ร้านเจ้าประจำของเรา จากนั้นค่อยขับรถออกจากภูเก็ตมุ่งสู่จังหวัดกระบี่ และนอนที่กระบี่ 1 คืน เราจองที่พักผ่านเว็บไซต์อโกด้าไว้แล้ว “บ้านฮาราวารี” คืนละ 1000 บาท พร้อมเตียงเสริม แต่ไม่มีอาหารเช้า ส่วนวันที่ 20 ก็กลับมาเที่ยวที่ภูเก็ต และนอนที่นี่อีกครั้ง แล้วตอนสายของวันที่ 21 เราก็ขับรถไปส่งพ่อแม่ที่สนามบินภูเก็ต ซึ่งเราซื้อตั๋วของนกแอร์ Flight 10.30 น ไว้ให้แล้ว สาเหตุที่เราให้พวกท่านเดินทางกลับแต่เช้าเพราะอย่างที่รู้กันดีว่าการเดินทางในกรุงเทพรถติดมาก ต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง เครื่องของนกแอร์จะลงจอดที่ดอนเมือง ซึ่งใกล้บ้านมากกว่าสุวรรณภูมิ ยิ่งพ่อแม่ถึงบ้านเร็วมากเท่าไหร่ พวกท่านก็จะได้พักผ่อนมากขึ้น วางแผนการเที่ยวไว้รัดกุม แต่พอถึงเวลาจริงๆ สิ่งที่ไม่อยู่ในแผนก็มักจะโผล่เข้ามาเสมอ หลังจากทานโจ๊กกันเรียบร้อยแล้วกำลังรอป้าอ้วนคิดตังค์อยู่ เสียง iPhone ดังขึ้น เราเหลือบตามองดูชื่อคนที่โทรเข้ามา “ชะนีน้อย” (น้องเค้าชื่อโรส แต่เราชอบตั้งชื่อใหม่ในมือถือ) เราไม่รับสาย ปล่อยให้เพลงท่อนที่ตัดเป็นเสียงเรียกเข้าเล่นจบไป 2 รอบ น้องเค้าก็ยังไม่วางสาย (ใจคิด... อื้ม! มันไม่ยอมวางสายแฮะ งานเข้าป่าวว๊ะ ใจไม่ดีเลยเว๊ย สาธุ อย่าให้เป็นอย่างที่คิดเร๊ย) พ่อถามขึ้นมาว่าทำไมรับสายหล่ะลูก เราเลยกดรับสาย “ว่าไง ชะนีน้อย” น้ำเสียงฟังดูตื่นเต้นของโรสพูดขึ้นว่า “เจ๊! เจ๊ออกจากเกาะหรือยังอ่ะ” เราตอบว่ากำลังจะออก แล้วโทรมามีอะไรเหรอ โรสบอกว่า “งานเข้าแหละเจ๊ ลูกค้าสั่งแก้งานด่วน ต้องทำให้เสร็จเร็วที่สุดด้วย เพราะมันเกี่ยวกับราคาสินค้าของเค้า ถ้าช้าจะเกิดความเสียหายมาก” เราถามกลับไปว่าคนอื่นแก้ไม่ได้เหรอ วันนี้เจ๊ต้องพาพ่อแม่ไปกระบี่ ก็บอกไว้ล่วงหน้าแล้วนิ โรสตอบว่า “ถ้าให้คนอื่นแก้ต้องใช้เวลาเป็นวันๆ แน่ เพราะแก้เยอะมาก และไม่มีใครรู้เกี่ยวกับโครงสร้างและราคาของสินค้าดีเท่าเจ๊แล้วแหละ” เฮ้อ! กำ (กรรม) ไม่แบเลยงานนี้ “หนูเข้าไปทำงานให้เรียบร้อยก่อน ไม่ต้องห่วงพ่อแม่ เดี๋ยวพ่อแม่ขับรถเที่ยวแถวนี้ไปพลางๆ ก่อน เอ่อ! พ่อ...งั้นเดี๋ยวพ่อก็พาแม่ไปไหว้หลวงพ่อแช่มที่วัดฉลองเลยก็ดี พรุ่งนี้จะได้มีเวลาไปเที่ยวที่อื่นมากขึ้น” เป็นคำพูดของแม่ที่พูดเพื่อให้เราเข้าไปทำงานได้อย่างสบายใจ พ่อขับรถมาส่งเราหน้าออฟฟิต จากนั้นพวกท่านจะไปวัดฉลอง แล้วคงแวะซื้อของฝาก หรือไม่ก็แวะชมวิวตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อคร่าเวลา กว่าจะได้ออกจากภูเก็ต ก็ปาเข้าไปบ่ายสอง ถึงแม้จะผิดจากแผนที่วางไว้ แต่เราก็แอบสบายใจที่งานเสร็จเรียบร้อย ลูกค้าพอใจ บริษัทได้ตังค์ สิ้นปีเราได้โบนัส (555) เอาเป็นว่าเราค่อยหาอย่างอื่นชดเชยคืนให้พ่อแม่ทีหลังก็แล้วกัน เราขับเจ้าไวท์กี้พาพ่อแม่มุ่งหน้าสู่กระบี่ แทบไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าอากาศจะดีมาก ระหว่างทางไม่เจอฝนสักเม็ด ระยะทางจากภูเก็ตไปถึงตัวเมืองกระบี่ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า แต่ที่พักของเราอยู่ใกล้หาดอ่าวนาง ซึ่งต้องแยกไปคนละทางกับทางเข้าเมืองและไกลออกไปอีกพอสมควร พอมาถึงทางแยกจากถนนสายหลักไปหาดอ่าวนางเราก็ไม่รู้จักเส้นทางแล้ว ต้องโทรถามผู้จัดการที่พักหลายครั้งเพราะไม่อยากหลงทางให้เสียเวลา และทุกคนก็เริ่มหิว ถึงแม้เราจะกินมังคุด เงาะ ขนมปังกันมาตลอดทาง แต่กว่าจะหาที่พักเจอก็เกือบห้าโมงเย็น เป็นตึกแถวธรรมดาทาสีส้ม ตั้งอยู่ริมถนนบนเส้นทางกระบี่-อ่าวนาง แถมป้ายชื่อที่พักก็เลือนลางแทบมองไม่เห็น นี่ถ้ามาถึงกลางคืนมืดค่ำมีหวังได้เลยแน่ เฮ้อ! นี่แหละน๊ะ ผลของการจองที่พักผ่านเว็บไซต์โดยไม่เคยเห็นของจริงก่อน ในเว็บลงรูปไว้สวยงามน่าพักเชียว แถมได้เรตติ้งจากคนที่เคยมาพักตั้ง 8.9 เราเลยคิดว่าคงจะสวยแหล่ม แต่พอมาเจอของจริง อึ้งกิมกี่ไปเลยคร้า ดีนะที่พ่อแม่ไม่ได้พูดว่าอะไร ไม่งั้นเราต้องรู้สึกแย่ไปกว่านี้อีกแน่ พนักงานช่วยยกกระเป๋าเสื้อผ้าของพ่อแม่ขึ้นไปไว้บนห้องพัก ส่วนเราขอหิ้วเป้เดินตามขึ้นไปเอง (ไม่มีลิฟท์) สิ่งแรกที่เห็นเมื่อเปิดประตูห้องพักคือที่นอนของเราเอง ฟูกที่คลุมด้วยผ้าปูสีขาวพร้อมหมอน 1 ใบ ห้องพักดูสะอาดและกว้างขวางพอใช้ได้ ห้องน้ำใหญ่โตมาก มีอ่างอาบน้ำด้วย แม่พูดขึ้นว่า “หิวข้าวแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ เดี๋ยวแม่กับพ่อต้องกินยาด้วย” เราชวนพ่อแม่เข้าไปหาอาหารทานในตัวเมืองกระบี่ เพราะเราอยากไปเดินถนนคนเดินของกระบี่ ถึงแม้จะเคยมาแล้วครั้งหนึ่งแต่นั่นก็หลายปีผ่านมาแล้ว ตอนนี้น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ครอบครัวเราเดินเล่น ถ่ายรูปที่ถนนคนเดินสักพักพอให้อาหารที่เพิ่งทานไปได้ย่อยก่อนจะกลับไปนอน ระยะเวลาขับรถจากตัวเมืองกลับมาที่พักน่าจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็น่าจะถึงที่พักแล้ว แต่ด้วยความมืดทำให้เราจำเส้นทางไม่ได้ เราขับเลยไปไหนก็ไม่รู้ สุดท้ายก็ต้องลำบากถึงผู้จัดการที่พักอีกแล้ว เราโทรไปถามทางกลับที่พัก ซึ่งคุณผู้จัดการอธิบายมาฟังแล้วเหมือนจะง่ายน๊ะ... “คุณแค่เลี้ยวตรงนั้น, คุณแค่เลี้ยวตรงนี้, คุณวิ่งถนนเส้น.........(ชื่อถนน), คุณเห็น........(ชื่อสถานที่) ก็แปลว่ามาถูกทางแล้ว”.แต่เราฟังแล้วจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะเราไม่รู้จักสถานที่ หรือถนนแถวนั้นเลย แม่เลยบอกว่าอย่าถามผู้จัดการเลยเพราะเค้าไม่ได้อยู่จุดที่พวกเราอยู่ตอนนี้ ให้ถามชาวบ้านที่เราขับรถผ่านดีกว่า สรุปว่าเราขับรถวนไปวนมาเกือบ 2 ชั่วโมง พ่อเห็นว่าเราดูกระวนกระวายใจ สับสน พ่อเลยบอกให้เราจอดรถ แล้วพ่อก็มาขับเอง คืนนั้นกว่าจะถึงที่พักก็ปาเข้าไป 4 ทุ่ม แทนที่พ่อแม่จะได้พักผ่อนแต่หัวค่ำ กลับต้องมาเสียเวลากับการขับรถหลงทางของเรา แต่พ่อแม่ไม่ตำหนิเราสักคำ พอเข้าห้องพักพ่อกับแม่สลับกันอาบน้ำ อาบน้ำเสร็จก็มานอนดูทีวี คุยกันหนุกหนาน พวกท่านทำเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น เรารู้สึกผิดจนบอกไม่ถูก ทุกครั้งที่พาพ่อแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัดเราจะรอบคอบมากเป็นพิเศษ แต่ครั้งไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงได้พลาดมากขนาดนี้ นี่ถ้าเราศึกษาเส้นทางให้ดีก่อนมากระบี่ และรู้จักมองการไกลคิดเผื่ออนาคตที่อาจเกิดปัญหาขี้น ทุกอย่างจะราบรื่นและเป็นไปอย่างมีความสุขมากกว่านี้มาก :'( เฮ้อ! คืนนี้ก็คงนอนหลับไปพร้อมกับความรู้สึกผิดอีกเช่นเคย ??? หวังว่าวันพรุ่งนี้จะได้เจอแต่เรื่องดีๆ ตลอดทั้งวันนะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 04 มิถุนายน 2012, 02:38:04 มีภาพถนนคนเดินกระบี่มาฝากด้วยค่ะ (01)
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 04 มิถุนายน 2012, 02:43:18 นี่ก็ภาพถ่ายถนนคนเดินกระบี่ค่ะ (02)
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 04 มิถุนายน 2012, 02:52:27 "นอกเรื่อง"...เที่ยวกระบี่
เราไม่รู้ว่าพ่อแม่ตื่นกี่โมง แต่พอเราลืมตาขึ้นมาก็เห็นพ่ออาบน้ำเพิ่งเสร็จ ส่วนแม่เอามือถือที่เราซื้อให้ไปนั่งกดเล่นอยู่ที่ระเบียง เราเห็นแม่จดวิธีการใช้ลงในสมุดโน๊ตของท่าน ดูแม่ตั้งใจกับมือถือใหม่มาก ทำให้เราอิ่มอกอิ่มใจจัง พวกเราเช็คเอาท์ตอนแปดโมงนิดๆ หลังจากออกจากโรงแรมก็ขับไปหน้าหาด เพื่อหาอาหารเช้าทาน และได้ดูทะเลสวยใสของกระบี่ด้วย หลังจากท้องอิ่มแล้วก็ได้เวลาเที่ยวสักที วันนี้พ่อขอเป็นคนขับ (คงไม่ไว้ใจเราแน่ๆ กลัวจะพาหลงอีก) พ่อขับรถเลาะริมทะเลมาเรื่อยๆ เราเปิดกระจกมองดูน้ำทะเลสีเขียวสวย เกลียวคลื่นกระทบหาดทรายขาวสะอาด ธรรมชาตินี้ช่างสร้างความสวยงามที่มหัศจรรย์และความสมดุลอย่างสม่ำเสมอ คงมีแต่มนุษย์นี่แหละที่คอยลุกล้ำ คุกคาม และดัดแปลงความงามของธรรมชาติเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจและเงินทองของตน จุดท่องเที่ยวที่แรกที่พวกเราไปคือ “สุสานหอย” แต่ช่วงที่เราไปเป็นเวลาน้ำทะเลขึ้นสูง ทำให้มองไม่เห็นลานสุสานหอย จะเห็นก็เพียงตัวอย่างซากหอยที่มีอายุหลายพันปีเกาะตัวกันแน่นจนคล้ายก้อนหิน ต้องมองดูใกล้ถึงจะมองออกว่าเป็นเปลือกหอยจำนวนมหาศาล ที่นี่มีร้านขายของฝากหลายร้าน ส่วนใหญ่จะขายเครื่องประดับ โมบาย โคมไฟ ที่ทำจากเปลือกหอยชนิดต่างๆ ราคาแตกต่างกันไปแล้วแต่ผลงานและความพึงพอใจในการต่อรองระหว่างผู้ซื้อและคนขาย เราเห็นแม่ยืนดูโคมไฟที่ทำจากปลาปักเป้าตัวน้อยอยู่นาน สงสัยว่าแม่อยากได้หรือเปล่า เลยเดินเข้าไปถามแม่ว่า “แม่ชอบเหรอ หรือว่าจะซื้อไปฝากใครหรือเปล่า หนูซื้อให้นะ” แม่บอกว่า “ดูเฉยๆ มันแปลกดี อยากรู้ว่าเค้าเอาเครื่องใน ตับ ไต ไส้พุงมันออกมาทางไหน แล้วทำยังไงมันถึงได้ตัวพองจนขนหนามชี้เด่แบบนี้” เอ้อ! แม่เรานี่ก็ช่างสงสัยเหมือนกันแฮะ เราก็เลยเดินไปตามคนขายมาช่วยอธิบายให้แม่ฟัง แต่ไม่ได้ซื้อของเค้าหรอกนะ หุหุ สถานที่ต่อไปคือ บ่อเลี้ยงปลาดุกยักษ์ ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม โดยเก็บค่าเข้าดูคนละ 50 บาท แต่แม่ขอให้น้องที่เก็บค่าประตูช่วยลดราคาให้หน่อย จาก 3 คน 150 บาท เหลือ 100 เดียว น้องเค้าให้อาหารปลาถุงเล็กๆ มาคนละถุง เพื่อเอาไปโยนให้ปลากิน จากปากทางเข้ามาถึงบ่อเลี้ยงปลาดุกประมาณ 100 เมตร ตลอดสองข้างทางเดินเต็มไปด้วยต้นไม้แปลกๆ นานาพันธ์ มีป้ายไม้แปะไว้ให้อ่านถึงที่มาที่ไปและชื่อของต้นไม้ต้นนั้นๆ เจ้าของบ่อปลานี่ไอเดียดีนะ นักท่องเที่ยวที่มาดูปลาก็จะได้เห็นต้นไม้แปลกๆ ไปด้วย พ่อกับแม่จูงมือกันเดินนำหน้าเราไปอย่างคล่องเคลว เห็นภาพแบบนี้แล้วอุ่นใจ แสดงว่าพวกท่านยังแข็งแรกดี พวกเราเดินมาถึงบ่อดินที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือคน เป็นบ่อดินที่ขุดไว้ไม่ลึกมากเพราะมองเห็นพื้นดินได้ชัดเจน มีทั้งปลาดุกและปลานินขนาดใหญ่ แหวกวายเต็มไปหมด พ่อแม่สนุกกับการให้อาหารปลามาก แม่บอกให้เราไปซื้ออาหารปลามาเพิ่มอีก 4 ถุง ...เอาหล่ะ ถึงเวลาไปต่อแล้ว หลังจากกิจกรรมให้อาหารปลาดุกลุล่วง พวกเราตั้งใจจะไปไหว้พระที่วัดถ้ำเสือ ตามคำแนะนำของเจ้าของบ่อปลาดุก ระยะทางของสถานที่เที่ยวแต่ละที่ค่อนข้างไกลกันพอควร ทำให้ระหว่างทางเรามีเวลาได้นั่งมองบรรยากาศข้างทางอย่างสบายอารมณ์ ช่วงไหนที่เป็นป่าก็จะเห็นต้นไม้ใหญ่เล็กขึ้นสบับกันไป ส่วนช่วงไหนที่มีบ้านคนปลูกสร้างอยู่ก็จะมีบ้านหลายหลังปลูกใกล้ๆ กัน ดูเป็นชุมชนย่อยๆ สภาพบ้านเรือนยังคงดูเป็นชนบทอยู่มาก ไม่หรูหราอย่างที่เข้าใจในตอนแรก วัดถ้ำเสือเป็นทั้งวัด สถานที่ปฎิบัติธรรม และแหล่งท่องเที่ยวในที่เดียวกัน อาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่มาก เล่นเอาเดินกันเหงื่อตกชียวแหละ พวกเราเดินขึ้นไปไหว้พระบนถ้ำที่เมื่อก่อนเคยมีเสืออาศัยอยู่ แต่หลังจากหลวงพ่อที่เป็นเจ้าอาวาส (ชื่ออะไรเราจำไม่ได้) มานั่งปฎิบัติธรรม เสือก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ปล่อยถ้ำให้หลวงพ่อ จากนั้นหลวงพ่อท่านก็พัฒนาวัดจนใหญ่โต ปัจจุบันยังก่อสร้างสถานที่และสิ่งศักดิ์สิทธิอีกมากมาย ด้านในสุดของวัดถูกสร้างเป็นสถานที่ปฏิสันถารของเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่ ที่ยืนตะหง่านให้นักท่องเที่ยวและพุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชา จะบ่ายสองโมงแล้ว แม่บอกว่าควรต้องหาอาหารทานกันก่อน จากนั้นจะไปเที่ยวที่ไหนต่อค่อยว่ากันอีกที มื้อเที่ยงของพวกเราคือร้านข้าวแกงริมทาง เพราะถ้าจะหาร้านอาหารใหญ่ๆ ก็กลัวว่าถามชาวบ้านแล้วพวกเราจะไปกันไม่ถูกอีก (เห่อๆ) หรือถ้าจะไปนั่งร้านอาหารริมทะเลแบบเมื่อวานเย็นก็ต้องขับรถย้อนไปไกลเกือบ 40 นาที หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ พวกเราก็มุ่งตรงสู่ภูเก็ตทันที ในรถไม่มีการพูดคุยเหมือนก่อนหน้านี้ แม่หลับสนิท ส่วนเราเองก็เคลิมหลับเป็นระยะ ประมาณว่าหนังท้องตึง หนังตาหย่อน คงเหลือแต่พ่อที่เป็นคนขับรถ ห้ามหลับเด็ดขาด (555) พ่อขับมาเกือบถึงพังงาแล้วคงง่วงมาก ท่านเลยเรียกให้เราไปขับแทน เราขับยาวจนถึงโรงแรมออนนิชาที่ตั้งอยู่ในเมืองภูเก็ต ซึ่งเป็นที่พักของพวกเราคืนนี้ เช้าวันจันทร์ 21 เป็นวันเดินทางกลับของพ่อแม่ ส่วนเรายังต้องอยู่ทำงานต่อที่ภูเก็ตจนถึงปลายเดือนหน้า การท่องเที่ยวครั้งนี้มีเรื่องราวมากมายที่ทำให้ต้องจดจำ...ทั้งแง่มุมดีงาม ความสุข ความเสียใจ และสิ่งผิดพลาดที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นอีก หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 04 มิถุนายน 2012, 03:05:47 ภาพประกอบสถานที่เที่ยวกระบี่ขอโพสพรุ่งนี้ค่ะ...คืนนี้ม่ายไหวแย้ว ตาจิปิด ขอไปนอนก่อนนะคะ :'(
อ้อ!!...ฉบับหน้าจะกลับไปเรื่อง "การชนครั้งที่ 3"....ชีวิตเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง (รับรองว่าสนุกค่ะ) :) หวังว่าเพื่อนๆ จะสนุกและได้แง่คิดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ของเรานะคะ :D ฝันดีทุกคนนะคะ... บ๊าย บาย หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: joepao ที่ 04 มิถุนายน 2012, 12:12:37 series เรื่องยาวมาแว้วววววว...... :) :) :) :) :)
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: s.chart ที่ 04 มิถุนายน 2012, 12:15:32 อ่านกระทู้แรกน้ำตาซึมเลย
กระทู้ต่อๆมา คิดถึงตอนไปเที่ยวกระบี่แล้วเช่ารถโฟร์วิลขับเข้าป่าไปดูสระมรกต มันส์มาก แต่ไม่หลงทางนะครับ อาศัยว่าเดาเส้นทางเก่ง ;) หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: coupe4wd ที่ 05 มิถุนายน 2012, 15:01:01 อ่านแล้วนึกถึงตัวเองที่เคยลงไปทำงานที่ภูเก็ตเลย
:-* รอติดตามอ่านต่อนะครับ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: eak99 ที่ 05 มิถุนายน 2012, 15:48:46 ดีจัง ได้ทำงานไปด้วย ได้เที่ยวไปด้วย อิจฉาจังคับ
:-[ :-[ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 05 มิถุนายน 2012, 16:33:00 :) มาแล้วค่ะ ภาพสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดกระบี่ อีก 2 แห่ง ที่ติดไว้เมื่อวันก่อน
บ่อปลาดุกยักษ์ที่กระบี่ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 05 มิถุนายน 2012, 16:34:49 วัดถ้ำเสือ จังหวัดกระบี่ค่ะ
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 05 มิถุนายน 2012, 20:36:47 :) "การชนครั้งที่ 3"....ชีวิตเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง (ตอน 2)
15 กพ. 2552 หลังวันวาเลนไทน์ 1 วัน ... เวลา 20.30 น. – 23.45 น. ก่อนเกิดอุบัติเหตุ 10 นาที ในใจคิด... ทำไมมันมืดแบบนี้ว๊ะ ไฟข้างทางไม่มีสักดวง แล้วไม่เห็นมีใครตามมาสักคัน ไปไหนหมดเนี๊ยะ บ้านคนก็ไม่เห็นสักหลัง บรรยากาศวังเวงจังวู๊ย (ยังกะในหนังบ้านผีปอบ) เปิดเพลงดังๆ เลยดีกว่า... โอ้ย ไม่ไหวแล้ว! มองแทบไม่เห็นทางเลย ทางก็คดไปโค้งมาอีก เปิดไฟสูงดีกว่า เอ้อ! ค่อยแจ่มขึ้นมาหน่อย... ว่าแต่ตรงนี้มันช่วงไหนกันหว่า น่าจะใกล้เข้าพังงาแล้วมั้ง ถ้าแบบนี้ชั่วโมงกว่าก็ถึงภูเก็ตแล้วดิ... เอ่อ! ดี งั้นทำเวลาอีกหน่อยกว่า... พอความคิดสิ้นสุดลง...เท้าก็ทำงานทันที เหยียบมิดเลยคร้าพี่น้อง มองไปไกลๆ เห็นไฟท้ายรถอยู่ริบๆ เย้ส์! มีเพื่อนร่วมทางแล้ว 555 เรารีบเพิ่มความเร็วขึ้นอีกเพื่อจะได้ทันเค้า และก็เป็นผลสำเร็จดังหวังเมื่อห่างไปไม่กี่เมตรเป็นรถกระบะวีโก้สีดำและดูจากความสูงของรถเค้าน่าจะแต่งรถให้ยกสูงกว่าปกติ เราขับตามติดเค้าไปสักระยะก็รู้สึกแปลกๆ เพราะพื้นถนนไม่เป็นหลุมเป็นบ่อสักหน่อย แต่พี่แกเบรคบ่อยมาก เดี๋ยวเบรค เดี๋ยวเบรค จนเราเกือบจูบท้ายรถเค้าหลายที แต่เราก็ไม่ยอมปล่อยให้เค้าคาดสายตา แค่ถอยห่างออกมาหน่อยหนึ่ง (ก็ไม่อยากขับอยู่คนเดียว มันเหงานิ) ชิบหา (ย)!!! เปิดไฟสูงมาตลอดเลยเรา มิหน้าหล่ะ พี่แกถึงได้ขับกวนตี..... เดี๋ยวเบรค เดี๋ยวเบรค มารู้ตัวว่าลืมปรับระดับไฟหน้าให้เป็นปกติก็ตอนที่เหลือบมองหน้าปัด ซึ่งเวลาผ่านไปนานหลายนาทีแล้ว ช่วงวินาทีที่เหลือบตามองหน้าปัดรถและกำลังจะเหลือบกลับมามองทาง สิ่งที่เห็นคือบั้นทายวีโก้ไฟเบรคแดงโล่อยู่ข้างหน้าอย่างชัดเจน แล้วภาพก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว... เฮ้ย!!! โค้ง (มากกก) งานเข้าแน่!!!สัญชาตญาณบอกให้เราหมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายตามเส้นทางโค้งของถนน แต่ด้วยความตกใจเลยออกแรงมากไปหน่อย (อิอิ) ทำให้รถเกือบจะเลี้ยวกลับหลัง ...โอ้วแม่เจ้า! แทนที่ล้อหน้าจะวิ่งคู่กับล้อหน้า ตอนนี้กลายเป็นล้อขวาหน้ากับล้อขวาหลังเกือบจะวิ่งคู่กันแล้ว และก็ตามสัญชาตญาณอีกเช่นเคยที่อยากให้รถหันหน้ากลับมาสู่ทิศทางที่ถูกต้อง เราหมุนพวงมาลัยย้อนกลับมาทางขาว แต่การหมุนพวงมาลัยครั้งนี้ต้องออกแรงมากและต้องจับ กำ บีบ พวงมาลัยให้แน่นมาก เพราะสัมผัสได้ว่าล้อรถกำลังสะบัดอย่างแรง กำลังคิดว่ารถกำลังจะหมุนแน่....ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี... ใช่! ต้องลดความเร็วของรถลง พอความเร็วลดลงก็บังคับทิศทางได้ ว่าแล้วก็แตะเบรคสิคร้า (เห่อๆ คิดผิดมหันต์) เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่เท้าแตะแบรคเบาๆ (ขอบอกว่า เบาๆ) ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นอย่างที่คิดไว้เร๊ย...รถพลิกคว่ำทันที วินาทีที่รถกำลังกลิ้งอยู่ เรายังมีสติ สมองรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตายังคงลืมอยู่ตลอด มีหลายคนบอกว่าเวลาใกล้ตายหรือเกิดอุบัติเหตุ คนเรามักจะคิดถึงคนที่ตัวเองรัก หรือไม่ก็คิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ทำไมเราไม่เห็นคิดถึงใครเลย ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง คนรัก เพื่อนฝูง หรือแม้แต่สิ่งศักดิ์ทั้งหลาย เราคิดแค่ว่า... เฮ้ย! นี่รถกำลังพลิกนิ เรากำลังกลิ้ง (คว่ำ หง่าย คว่ำ) เมื่อไหร่จะจบ จะจบท่าไหน จะมีอะไรเสียบเข้ามาไหม แขน ขา คอจะขาดหรือเปล่า ทำไมเวลามันถึงยาวนานเหลือเกิน ... เราคิดเท่านี้จริงๆ การลืมตาอยู่ตลอดใช่ว่าจะสามารถจับโฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ เพราะทุกอย่างหมุนไปหมด จนเมื่อรถหยุดนิ่งสนิท สายตาจึงสามารถจับโฟกัสได้ชัดเจน สิ่งแรกที่เห็นคือ เท้าของตัวเองที่ยังสวมร้องเท้าผ้าใบสีฟ้าเก่าๆ เน่าๆ ที่ซื้อมาจากตะเข็บชายแดนพม่า เรานิ่งอยู่สักครู่เพราะยังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทันทีที่ร้องเท้าที่ใส่อยู่หลุดหล่นใส่หน้าเต็มๆ... โห่! สติกลับมาเต็มร้อยเลย (ร้องเท้าเน่ามาก เหม็นโคตร) ใจคิด...นี่เรากำลังตีลังกาอยู่นิ (เท้าชี้ฟ้า) เฮ้ยยยย! ไม่ตาย ไม่ตาย ไม่ตายโว้ย เฮ้ย! แขนขาอยู่ครบเปล่าว๊ะ มีอะไรขาดไหมเนี๊ยะ พอคิดได้แบบนั้นปุ๊บ เราก็เริ่มกระดิกตัวเอง เอื้อมไปลูบขาก่อนเป็นอันดับแรก จับๆ คำๆ คอแล้วโยกเบาๆ แล้วก็เอามือมาลูบจับแขนสลับซ้ายขวา เมื่อสำรวจดูร่างกายอย่างละเอียด อวัยวะอยู่ครบดี ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกชา ...เยี่ยมมาก พอปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยออก จากที่เรานั่งตีลังกาตัวติดอยู่กับเบาะก็ไหล่แพละลงมานอนกองที่พื้น มองซ้าย มองขวา สำรวจดูว่าจะออกทางไหนดี กระจกหน้าแตกร้าวแต่ยังไม่หลุดออก ส่วนกระจกข้างซ้ายขวาแตกเหมือนกัน นึกขึ้นได้ว่าต้องเอาข้าวของมีค่าออกไปด้วย ว่าแล้วก็คลานหากล้องถ่ายรูป Canon 40D กระเป๋าสะพาย แล้วโน๊ตบุคมันหายไปไหนว๊ะ หลายนาทีผ่านไปเราได้ยินเสียงคนตะโกนว่า “มีใครรอดบ้างไหม มีคนเจ็บไหม มีคนรอดหรือเปล่า มีคนรอดชีวิตไหม” ทันทีที่ได้ยินเสียงตะโกนถาม เราเกือบจะตะโกนตอบออกไปแล้ว แต่อยู่ๆ ก็คิดถึงคำคำหนึ่ง “ไทยมุง” เลยไม่ตอบดีกว่า เพราะตอนนั้นเรายังหาโน๊ตบุคไม่เจอ อ้อ! แล้วก็ยังมีสร้อยคอทองคำ 1 บาท ที่แม่ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดด้วย พอคิดถึงสร้อยขึ้นมาได้เราก็รีบคลานไปที่ช่องเก็บของหน้ารถแล้วเปิดฝาหยิบถุงกำมะหยี่สีแดงที่มีสร้อยอยู่ข้างในเอามาหย่อนลงกระเป๋าสะพาย เสียงตะโกนถามเริ่มมีหลายเสียง แปลว่าคนเริ่มมาเยอะแล้ว แต่เชื่อไหมคะว่าไม่มีใครลงมาช่วยเราเลย 555 ส่วนเราก็คลานหาโน๊ตบุคอยู่นั่นแหละ จนเมื่อได้ยินประโยคหนึ่งดังขึ้น “อย่าลงไป อย่าลงไป ระวัง ระวัง รถอาจระเบิด” จ๊ากกกก! เชื่อป่ะว่าทันทีที่เราได้ยินคำนี้ปุ๊บ สติแตกเฉยเลย โน๊ตบงโน๊ตบุคไม่สนแล้ว ต้องออกจากรถให้เร็วที่สุด เราพยายามถีบกระจกหน้ารถที่แตกร้าวเพื่อให้มันหลุดออก (แบบในหนัง) แต่ถีบเท่าไหร่ก็ไม่หลุดสักที หันมาถีบกระจกข้างบ้าง ก็ไม่หลุดเหมือนกัน เริ่มรนรานเหมือนคนบ้าเพราะความกลัวเข้าครอบงำ... รถคว่ำไม่ตาย แต่ต้องมาตายเพราะโดนไฟคอก ...โอ้ย! ถ้าไฟคอกกว่าจะตายทรมานมากๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ปากกำลังจะตะโกนออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่รู้สึกเหมือนเสียงของชาวบ้านมันดังมากขึ้นเรื่อยๆ และเสียงก็ชัดเจนด้วยสิ เลยหันหลังไปมองตามทิศทางของเสียง เฮ้อ!! กระจกหลังหยุดหายไปทั้งบาน โล่งเชียว ...เห่อๆ โง่จริงๆ ตรู ... เผ่นดีกว่า คลานสี่ขาออกมาจากรถได้ ก็ลุกขึ้นเดินสองขาแบบมนุษย์ปกติ ก็มีคนตะโกนขึ้นทันที ว่า “มีคนรอดชีวิต มีคนรอด มีผู้หญิงรอดชีวิต” แล้วผู้ชายสี่ห้าคนวิ่งกรูกันลงมาหาเรา พวกเค้าต่างคนต่างเอื้อมมือจะเข้ามาจับแขนเพื่อพยุงเรา เพราะคงคิดว่าเราบาดเจ็บเดินไม่ไหว แต่เราไม่เป็นอะไร เราก็เลยรีบยกมือขึ้นมาบังไว้ แล้วบอกพวกเค้าว่า “เราไม่เป็นไร ปกติทุกอย่าง ไม่บาดเจ็บ เราสบายดี เราเดินเองได้ไม่ต้องช่วยพยุงหรอก” พวกเค้าทำท่าเหมือนไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้เข้าพยุงอีก หลายคนรุมถามเราว่าในรถมีอีกกี่คน มีคนเจ็บไหม อาการสาหัสไหม เราตอบว่าไม่มีแล้ว ในรถมีเราคนเดียวเท่านั้น พวกเค้าทำท่าแบบเซ็งๆ (ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก) :'( เสี้ยววินาทีชีวิตผ่านไป ความตายยังมาไม่ถึง นรกไม่ต้องการ สวรรค์ไม่ต้อนรับ... อยู่ใช้กรรมต่อไป หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Pae_pae43 ที่ 05 มิถุนายน 2012, 21:29:36 กลับมาตามต่อครับ. ติดละ. ยังกะเพชรพระอุมา. เริ่มวางไม่ลง :) :) :)
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: coupe4wd ที่ 06 มิถุนายน 2012, 09:45:22 กลับมาตามต่อครับ. ติดละ. ยังกะเพชรพระอุมา. เริ่มวางไม่ลง :) :) :) ใช่แล้วครับ คิดเหมือนผมเลย อาการเหมือนอ่านเพชรพระอุมายังงัยยังงั้น ว่าแต่...คนที่เคยอ่านเรื่องนี้ คงบ่งบอกถึงอายุคนอ่านได้เลยครับ :-* คนดีพระคุ้มครอง กลับมาเล่าต่อเร็วๆนะครับ อ่านแล้วลุ้นตามจิงๆๆๆ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: joepao ที่ 06 มิถุนายน 2012, 16:41:25 เนื้อเรื่องน่าติดตามอย่างมาก
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 06 มิถุนายน 2012, 18:45:50 "การชนครั้งที่ 3"....ชีวิตเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง (ตอน 3: ประกันขาด)
15 กพ. 2552 หลังวันวาเลนไทน์ 1 วัน ... เวลา 20.30 น. – 23.45 น. หลังเกิดอุบัติเหตุ เสี้ยววินาทีชีวิตผ่านไป ความตายยังมาไม่ถึง นรกไม่ต้องการ สวรรค์ไม่ต้อนรับ... อยู่ใช้กรรมต่อไป เราเดินห่างออกมาจากกลุ่มคนที่มามุ่งดู แล้วค่อยๆ นั่งลงบนพื้นข้างไหล่ทางของถนน มือข้างหนึ่งถือกล้อง อีกข้างหนึ่งจับกระเป๋าสะพายให้แนบติดตัวไว้ ถึงร่างกายจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่จิตใจยังคงตื่นเต้นและหวาดหวั่นกับอุบัติเหตุที่เพิ่งผ่านไป มองดูรถของตัวเองที่อยู่ในสภาพพังยับ ตีลังกาหงายท้อง ไฟหน้ารถเปิด หลังคายุบลงมา กระจกแตกรอบด้าน มีหญ้าเข้าไปติดอยู่ในล้อ เรายกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเพื่อเก็บไว้ดูและช่วยเตือนจิตสำนึกให้กับตัวเอง... เฮ้อ! เหนื่อยใจจังโว้ย นั่งดูรถได้สักพักก็เบี่ยงเบนสายไปมองดูผู้คนที่จากเดิมมีไม่มาก แต่ตอนนี้กลายเป็นฝูงชนขนาดย่อยไปเรียบร้อย หลายคนแสดงอาการอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น หลายคนหน้าตาเคร่งเครียสประหนึ่งว่าตนเป็นผู้ประสบเหตุ (เห่อๆ) และมีอีกหลายคนเดินลงไปดูที่รถก้มๆ เงยๆ เหมือนจะพยายามมองหาอะไรสักอย่าง ซึ่งเราคิดว่าพวกเค้าคงหวังว่าจะเจอคนเจ็บอีกสักคนสองคนก็เป็นได้ ผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้าพูดคุยและถามคำถามกับเรามากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นคำถามคล้ายๆ กัน คือ “น้องมากันกี่คน, เจ็บตรงไหน, จะไปโรงพยาบาลไหม, ไม่มีคนอื่นมาด้วยเลยเหรอ, น้องมาจากไหน, กำลังจะไปที่ไหน ฯลฯ” คำถามเหล่านี้เราตอบได้หมด ยกเว้นคำถามหนึ่งที่เราตอบไม่ถูกและสร้างความคาใจให้กับตัวเองมาตลอด คือ “คุณรอดมาได้ยังไง ไม่เป็นอะไรเลยเหรอ ใส่พระอะไร ในรถมีของดีอะไรเหรอ” ใจคิด... เอ้อ! เรารอดได้ยังไง แล้วทำไมไม่เป็นอะไรเลย ที่จริงเราก็น่าจะได้แผลบ้างสิ หรือว่าโชคดี ก็ไม่น่าจะใช่นะ ถ้าโชคดีต้องไม่เจอเรื่องพวกนี้สิ นี่รถพังซะขนาดนี้... แอ๊ะ! คิดก่อนว่าในรถมีพระอะไรบ้าง ก็มีแค่รอยเจิมของหลวงพ่อวัดนาคาบนหลังคากับหลวงปู่มั่นองค์เล็กที่เก็บไว้ในช่องเก็บของหน้ารถ แล้วก็หลวงพ่อโสธรที่แม่เอาไปใส่กรอบแขวนไว้กับสร้อยคอ... แต่ช่างเถอะ จะเป็นเพราะอะไรก็ช่าง ในเมื่อตอนนี้ยังมีลมหายใจอยู่ ก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป เสียงหนึ่งดังขึ้น “คุณต้องการรถลากไหม? ผมมีเพื่อนบริการลากรถ ราคาไม่แพง สนใจหรือเปล่า?" ทำให้สติสตังกับเข้าที่... เอ่อ! ใช่ นี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย มั่วแต่นั่งคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ว่าแล้วก็รีบหยิบมือถือออกมาโทรหาประกัน เหมือนครั้งก่อนๆ ที่มีประสบการณ์มาแล้ว ง่ายจะตาย (555) แต่หลังจากที่วางสายจากพนักงานบริษัทประกันก็ต้องตกอยู่ในสภาวะ “อึ้งไปเลย” (หน้าชาๆ มึนๆ เหมือนช้างถีบหน้า) “ประกันของคุณขาดไปเดือนกว่าแล้วค่ะ” เห่อๆ หมายความว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากนี้เป็นต้นไปคือ “เงินตรูล้วนๆ” สิน๊ะ (นี่สินรกของจริง ความชิบหา (ย) มาเยือนหล่ะตรู) เรานั่งมึนงงกับความสะเพร่าของตัวเอง สักแต่ว่าขับรถอย่างเดียว ไม่เคยสนใจรายละเอียดอื่นๆ ที่สำคัญเกี่ยวกับรถเลยแม้แต่น้อย โง่งี่เง่าที่สุด ประนามตัวเองอยู่พักใหญ่ เอาว๊ะ ! ในเมื่อมันก็เกิดขึ้นแล้วนิ ก็ต้องผ่านไปให้ได้สิ คิด คิด คิด เอาไงดี ทำไงดี เอาไงดี ทำไงดี... อ๊ะ! คิดออกแล้ว ว่าแล้วก็โทรหาพี่บีเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นภรรยาสารวัตรในภูเก็ต เพื่อขอให้เค้าลากรถไปไว้ที่บ้านพักของแกก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยลากเข้าศูนย์โตโยต้าในเมืองภูเก็ต พอพี่บีตอบอนุญาต เราก็โทรหากวางต่อ กวางเป็นเพื่อนสาวสุดสวยซึ่งตอนนั้นทำงานเป็นเซลล์ขายรถของโตโยต้า เราขอให้กวางช่วยติดต่อรถลากให้ กวางบอกว่ารอแป๊บนะ เดี๋ยวรีบโทรให้เลย จากนั้นไม่นานมีสายโทรเข้ามา เค้าพูดแนะนำตัวเองว่าเค้าเป็นคนที่กวางแนะนำให้มาช่วยลากรถ รอรถลากอยู่นานพอสมควร ระหว่างนั้นเราสังเกตุเห็นว่าไม่มีตำรวจสักคน มีแต่พวกมูลนิธี และมาตั้ง 2 มูลนิธีแหนะ นอกนั้นเป็นชาวบ้าน ผู้ชาย ผู้หญิง เด็กตัวเล็กตัวน้อย ... เอ้อ! แล้วตำรวจไปไหนหล่ะ เค้าน่าจะรู้เรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนและมาถึงที่เกิดเหตุก่อนคนอื่นไม่ใช่เหรอ “รถลากมาแล้ว รถลากมาแล้ว” มีคนตะโกนบอก จากนั้นเราเห็นเด็กที่มากับรถลากดึงสายลวดสลิงจากรถลากลงไปที่รถของเรา ส่วนคนขับรถเดินมาหาเรา ตกลงเรื่องค่าลากรถ 4000 บาท เราต่อเหลือ 3000 บาท เค้าก็โอเค พวกเค้าทำงานกันเป็นทีม มี 3 คน คนขับรถ คนบังคับสลิง และคนเอาสลิงไปผูกกับรถของเรา ทันทีที่คนผูกลวดสลิงตะโกนว่า “ดึงได้” แค่นั้นแหละ...หัวใจเราแทบสลาย น้ำตาไหลนองแก้ม เสียงการบดระหว่างตัวรถกับพื้นดังสนั่น เสียงมันทิ่มแทงหัวใจเหลือเกิน ถ้ารถคันนี้เป็นคนที่เรารัก เค้าต้องเจ็บปวดมหาศาลแน่ เราขออนุญาตคนลากรถนั่งมาในรถตัวเอง ระยะทางจากจุดเกิดเหตุมาถึงภูเก็ตช่างดูเหมือนยาวไกล เรานั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดสนิท ลมเย็นพัดมากระทบผิวแต่กลับไม่รู้สึกอะไร หัวใจมันว่างเปล่า ไม่อยากคิดถึงวันพรุ่งนี้ ไม่อยากคิดถึงความเดือนร้อนที่อาจจะถึงพ่อแม่อีกครั้ง :'( ....คืนนั้นหนักหนาสาหัสสำหรับเรามากทีเดียว ??? ....พรุ่งนี้เราจะทำยังไงกับปัญหาดีน๊ะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: tochodo_147 ที่ 06 มิถุนายน 2012, 22:23:06 ทุกท่านครับผมว่า คฑาหัสต์ บุษปะเกศ แอบแฝงมาเล่าเรื่องแน่เลย
มันมีความเป็นไปได้อ่ะ.....สุดยอดๆๆๆๆๆๆ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: coupe4wd ที่ 07 มิถุนายน 2012, 09:44:06 รอลุ้นเจ้าไวท์กี้
:-* :-* หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: chairat2521 ที่ 07 มิถุนายน 2012, 10:01:43 :-* :-* :-*
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 07 มิถุนายน 2012, 13:23:11 :) สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ที่น่ารักทุกท่าน
ได้อ่าน Comments แล้ว...เป็นปลื้มมากๆ ค่ะ ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนติดตามอ่านเรื่องราวของเรานะคะ เหลืออีกแค่ 2 ตอน เจ้าวีออสก็จะจากไป และจะได้เจอกับเจ้าไวท์กี้แล้วค่ะ มีคนเคยพูดกับเราว่า "อะไรที่มันเป็นของเรา ยังไงมันก็ต้องเป็นของเราอยู่วันยังค่ำ" อาจจะจริง แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะกว่าจะได้ "เจ้าไวท์กี้" มานั้นแสนยากลำบากยิ่งนัก 8) เราต้อง... อด ทน มุ่งมั่น แสวงหา อย่างที่สุด หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: cyu ที่ 07 มิถุนายน 2012, 13:24:54 :) สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ที่น่ารักทุกท่าน ได้อ่าน Comments แล้วรู้สึดดีใจ+เป็นปลื้มมาก ที่เพื่อนๆ ติดตามอ่านเรื่องราวของเรา เหลืออีกแค่ 2 ตอน เจ้าวีออสก็จะจากไป และจะได้เจอกับเจ้าไวท์กี้แล้วค่ะ มีคนเคยพูดกับเราว่า "อะไรที่มันเป็นของเรา ยังไงมันก็ต้องเป็นของเราอยู่วันยังค่ำ" อาจจะจริง แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะกว่าจะได้ "เจ้าไวท์กี้" มานั้นแสนยากลำบากยิ่งนัก 8) เราต้อง... อด ทน มุ่งมั่น แสวงหา อย่างที่สุด มันคงเป็น ทั้งสองอย่างผสมกัน ทั้ง ที่ มันควรจะเป็นของเรา และ บวกกับ ความพยายาม ถึงได้ ไปถึงจุดมุ่งหายได้ในที่สุด :) :) :) หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: coupe4wd ที่ 07 มิถุนายน 2012, 16:26:42 สงสัยอยู่อย่างนึงครับ
ขับรถไปกลับภูเก็ตบ่อยๆ นี่เคยโดนพี่จ่าเขาโบกบ้างไหม ผมเคยขับไป-กลับมีอยู่ทริปนึง ตอนขาลงโดนโบกให้จอดไป 2 ครั้ง ขากลับกทม.โดนโบกไป 4 ครั้ง ทริปนั้นจอดคุยกับพี่จ่า 6 ครั้งแน่ะ :-[ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 09 มิถุนายน 2012, 16:48:15 สงสัยอยู่อย่างนึงครับ ขับรถไปกลับภูเก็ตบ่อยๆ นี่เคยโดนพี่จ่าเขาโบกบ้างไหม ผมเคยขับไป-กลับมีอยู่ทริปนึง ตอนขาลงโดนโบกให้จอดไป 2 ครั้ง ขากลับกทม.โดนโบกไป 4 ครั้ง ทริปนั้นจอดคุยกับพี่จ่า 6 ครั้งแน่ะ :-[ :) สวัสดีค่ะคุณ "coupe4wd" เส้นทางระหว่างกรุงเทพ-ภูเก็ต และ ภูเก็ต-กรุงเทพ เราโดนตำรวจเรียกตรวจรถหลายๆ ครั้ง แต่ไม่ได้โดนเรียกทุกทริป บางทริปก็โดนเรียกบ่อย บางทริปก็ไม่โดนเลย ขอเสริมนิดหนึ่ง...การตั้งด่านและเรียกตรวจรถของตำรวจ เราขอจำแนกออกเป็น 3 ข้อ ดังนี้ค่ะ 1. เทศกาลและวันหยุดนักขัตฤกษ์ เราไม่แน่ใจว่าช่วงที่คุณเดินทางตรงกับช่วงวันหยุดเทศกาลหรือเปล่า ถ้าตรงกับเทศกาลก็ไม่ต้องแปลกใจที่โดนเรียกตรวจบ่อยค่ะ เพราะคุณตำรวจเค้าต้องทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับผู้ที่เดินทางบนท้องถนนมากเป็นพิเศษ ซึ่งในช่วงวันปกติก็จะมีด่านตรวจตั้งรออยู่บริเวณรอยต่อของแต่ละจังหวัดงอยู่แล้ว แต่จะมีตำรวจมายืนเรียกให้รถหยุดตรวจหรือไม่นั้นขึ้นอยู่ว่าคุณตำรวจเค้าจะสะดวกตอนไหน 2. เจอแจ็กพ็อต ...รถ (ยี่ห้อ สี ทะเบียนจังหวัด)ไปตรงกลับรถของคนร้าย มีอยู่ครั้งหนึ่งเราเดินทางช่วงกลางคืน ออกจากภูเก็ต 6 โมงเย็น ตั้งใจจะให้ถึงกรุงเทพตี 2 ของอีกวัน ตอนนั้นเป็นช่วงวันธรรมดาและรถของเราก็ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง แต่โดนตำรวจเรียกตรวจหลายครั้งจนรู้สึกเป็นงงมาก ก็เลยโทรไปถามเพื่อนที่เป็นตำรวจว่าทำไมถึงถูกเรียกตรวจบ่อยจัง คำตอบที่ได้คือ...ลักษณะรถของเราไปตรงกลับรถของคนร้าย (พวกขนยาเสพติด หรือขนคนต่างด้าวเข้าเมือง ฯลฯ) ถึงได้โดนเรียกตรวจบ่อยๆ แต่เพื่อนตำรวจถามเราว่า "พอตำรวจเห็นหน้าเธอแล้วเค้าไม่ได้ให้เธอลงจากรถ แล้วค้นรถเธอใช่ไหม" เราตอบว่า "ใช่ๆ เค้าแค่ให้เปิดกระจกลง เอาไฟฉายมาส่องๆ ดูในรถ แล้วก็ถามว่าเรามาจากไหน กำลังจะไปไหน แล้วก็บอกให้เราขับรถดีๆ บางคนอวยพรให้ปลอดภัยในการเดินทางด้วยน๊ะ" เราถามกลับว่าทำไมเหรอ เพื่อนตำรวจบอกว่า "เพราะตำรวจเค้ารู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย คนร้ายส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย หรือถ้าเป็นผู้หญิงก็จะไม่ได้มาคนเดียว แต่ในเมื่อเค้าเรียกตรวจแล้วเค้าก็ต้องตรวจให้พอเป็นพิธีเท่านั้นแหละ" 3. อยู่ๆ ก็โผล่มา... เจอทีไรเสียตังค์ทุกที ด่านตรวจพวกนี้จะเกิดขึ้นตามสถานที่ที่เราไม่คิดว่าจะตั้งได้ เช่น เลยทางโค้งมาหน่อยหนึ่ง หรือไม่ก็เส้นทางระหว่างตัวจังหวัด ที่เราเคยเจอจะมี 2 ที่ คือ เส้นประจวบและสุราษฎร์ธานี ด่านพวกนี้มีขนาดกระทัดรัด องค์ประกอบไม่มาก แค่มีกรวยจราจรสีส้มสลับขาววางปิดถนนไปครึ่งค่อนเลนส์ มีตำรวจยืนกลางถนนคอยเรียกรถ 2 คน (หน่วยกล้าตาย) มีรถกระบะมีโล่ตำรวจแปะอยู่จอดเลยด่านขึ้นไปหนึ่งคัน มีมอร์ไซต์ตำรวจ 2 คัน มีโต๊ะพับกับเก้าอี้ 2 ชุด และมีตำรวจนั่งรอเขียนใบสั่งอยู่ 2 คน ข้อสังเกตุของเราคือก่อนจะถึงด่านตรวจพวกนี้เราจะเห็นรถตำรวจทางหลวงจอดอยู่ริมถนนหรือช่องวางกลางถนนสำหรับให้กลับรถ เราคิดว่าคุณตำรวจเค้าน่าจะทำงานเป็นทีม คือทีมตรวจวัดความเร็วโดยใช้ปืนจับความเร็ว (Radar Gun) อีกทีมก็คอยเก็บค่าปรับ ตอนที่ยังใช้วีออสเจอด่านแบบนี้เรียก 4 ครั้ง และต้องเสียค่าปรับทุกครั้ง คุณตำรวจเค้าจะให้เราดูกระดาษ (แผ่นเรียวยาวเหมือนใบเสร็จตามห้างสรรพสินค้า) ที่แสดงข้อมูลความเร็วของรถเราเรียบร้อย ...จำนนด้วยหลักฐาน (อิอิ) ตั้งแต่ใช้ซีวิค (เจ้าไวท์กี้) เจอตำรวจเรียกแต่ไม่ได้เรียกเพราะขับรถเร็ว เค้าแค่เรียกตรวจทั่วไปค่ะ ส่วนใบสั่งสำหรับขับรถเร็วจะถูกส่งมาที่บ้าน (ตามภาพประกอบ) ปีที่แล้วเค้าส่งมาให้ 5 ใบ (เห่อๆ ) รายละเอียดแม่นยำ ชัดเจนมั๊กมาก แม่เห็นทีไรก็จะโดนท่านบ่นว่าไปหลายวันค่ะ 555 หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: eak99 ที่ 14 มิถุนายน 2012, 11:47:29 เจ้าไวท์กี้หายไป อีกแล้วคับพี่น้อง
??? ??? หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: golf4338 ที่ 14 มิถุนายน 2012, 13:04:41 :D :D :D...สนุกคับ..อ่านแล้วเพลิน :-X :-X
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: wanger ที่ 14 มิถุนายน 2012, 13:15:21 สงสัยอยู่อย่างนึงครับ ขับรถไปกลับภูเก็ตบ่อยๆ นี่เคยโดนพี่จ่าเขาโบกบ้างไหม ผมเคยขับไป-กลับมีอยู่ทริปนึง ตอนขาลงโดนโบกให้จอดไป 2 ครั้ง ขากลับกทม.โดนโบกไป 4 ครั้ง ทริปนั้นจอดคุยกับพี่จ่า 6 ครั้งแน่ะ :-[ :) สวัสดีค่ะคุณ "coupe4wd" เส้นทางระหว่างกรุงเทพ-ภูเก็ต และ ภูเก็ต-กรุงเทพ เราโดนตำรวจเรียกตรวจรถหลายๆ ครั้ง แต่ไม่ได้โดนเรียกทุกทริป บางทริปก็โดนเรียกบ่อย บางทริปก็ไม่โดนเลย ขอเสริมนิดหนึ่ง...การตั้งด่านและเรียกตรวจรถของตำรวจ เราขอจำแนกออกเป็น 3 ข้อ ดังนี้ค่ะ 1. เทศกาลและวันหยุดนักขัตฤกษ์ เราไม่แน่ใจว่าช่วงที่คุณเดินทางตรงกับช่วงวันหยุดเทศกาลหรือเปล่า ถ้าตรงกับเทศกาลก็ไม่ต้องแปลกใจที่โดนเรียกตรวจบ่อยค่ะ เพราะคุณตำรวจเค้าต้องทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับผู้ที่เดินทางบนท้องถนนมากเป็นพิเศษ ซึ่งในช่วงวันปกติก็จะมีด่านตรวจตั้งรออยู่บริเวณรอยต่อของแต่ละจังหวัดงอยู่แล้ว แต่จะมีตำรวจมายืนเรียกให้รถหยุดตรวจหรือไม่นั้นขึ้นอยู่ว่าคุณตำรวจเค้าจะสะดวกตอนไหน 2. เจอแจ็กพ็อต ...รถ (ยี่ห้อ สี ทะเบียนจังหวัด)ไปตรงกลับรถของคนร้าย มีอยู่ครั้งหนึ่งเราเดินทางช่วงกลางคืน ออกจากภูเก็ต 6 โมงเย็น ตั้งใจจะให้ถึงกรุงเทพตี 2 ของอีกวัน ตอนนั้นเป็นช่วงวันธรรมดาและรถของเราก็ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง แต่โดนตำรวจเรียกตรวจหลายครั้งจนรู้สึกเป็นงงมาก ก็เลยโทรไปถามเพื่อนที่เป็นตำรวจว่าทำไมถึงถูกเรียกตรวจบ่อยจัง คำตอบที่ได้คือ...ลักษณะรถของเราไปตรงกลับรถของคนร้าย (พวกขนยาเสพติด หรือขนคนต่างด้าวเข้าเมือง ฯลฯ) ถึงได้โดนเรียกตรวจบ่อยๆ แต่เพื่อนตำรวจถามเราว่า "พอตำรวจเห็นหน้าเธอแล้วเค้าไม่ได้ให้เธอลงจากรถ แล้วค้นรถเธอใช่ไหม" เราตอบว่า "ใช่ๆ เค้าแค่ให้เปิดกระจกลง เอาไฟฉายมาส่องๆ ดูในรถ แล้วก็ถามว่าเรามาจากไหน กำลังจะไปไหน แล้วก็บอกให้เราขับรถดีๆ บางคนอวยพรให้ปลอดภัยในการเดินทางด้วยน๊ะ" เราถามกลับว่าทำไมเหรอ เพื่อนตำรวจบอกว่า "เพราะตำรวจเค้ารู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย คนร้ายส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย หรือถ้าเป็นผู้หญิงก็จะไม่ได้มาคนเดียว แต่ในเมื่อเค้าเรียกตรวจแล้วเค้าก็ต้องตรวจให้พอเป็นพิธีเท่านั้นแหละ" 3. อยู่ๆ ก็โผล่มา... เจอทีไรเสียตังค์ทุกที ด่านตรวจพวกนี้จะเกิดขึ้นตามสถานที่ที่เราไม่คิดว่าจะตั้งได้ เช่น เลยทางโค้งมาหน่อยหนึ่ง หรือไม่ก็เส้นทางระหว่างตัวจังหวัด ที่เราเคยเจอจะมี 2 ที่ คือ เส้นประจวบและสุราษฎร์ธานี ด่านพวกนี้มีขนาดกระทัดรัด องค์ประกอบไม่มาก แค่มีกรวยจราจรสีส้มสลับขาววางปิดถนนไปครึ่งค่อนเลนส์ มีตำรวจยืนกลางถนนคอยเรียกรถ 2 คน (หน่วยกล้าตาย) มีรถกระบะมีโล่ตำรวจแปะอยู่จอดเลยด่านขึ้นไปหนึ่งคัน มีมอร์ไซต์ตำรวจ 2 คัน มีโต๊ะพับกับเก้าอี้ 2 ชุด และมีตำรวจนั่งรอเขียนใบสั่งอยู่ 2 คน ข้อสังเกตุของเราคือก่อนจะถึงด่านตรวจพวกนี้เราจะเห็นรถตำรวจทางหลวงจอดอยู่ริมถนนหรือช่องวางกลางถนนสำหรับให้กลับรถ เราคิดว่าคุณตำรวจเค้าน่าจะทำงานเป็นทีม คือทีมตรวจวัดความเร็วโดยใช้ปืนจับความเร็ว (Radar Gun) อีกทีมก็คอยเก็บค่าปรับ ตอนที่ยังใช้วีออสเจอด่านแบบนี้เรียก 4 ครั้ง และต้องเสียค่าปรับทุกครั้ง คุณตำรวจเค้าจะให้เราดูกระดาษ (แผ่นเรียวยาวเหมือนใบเสร็จตามห้างสรรพสินค้า) ที่แสดงข้อมูลความเร็วของรถเราเรียบร้อย ...จำนนด้วยหลักฐาน (อิอิ) ตั้งแต่ใช้ซีวิค (เจ้าไวท์กี้) เจอตำรวจเรียกแต่ไม่ได้เรียกเพราะขับรถเร็ว เค้าแค่เรียกตรวจทั่วไปค่ะ ส่วนใบสั่งสำหรับขับรถเร็วจะถูกส่งมาที่บ้าน (ตามภาพประกอบ) ปีที่แล้วเค้าส่งมาให้ 5 ใบ (เห่อๆ ) รายละเอียดแม่นยำ ชัดเจนมั๊กมาก แม่เห็นทีไรก็จะโดนท่านบ่นว่าไปหลายวันค่ะ 555 หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: joepao ที่ 14 มิถุนายน 2012, 14:31:27 เจ้าไวท์กี้หายไป อีกแล้วคับพี่น้อง ??? ??? ประกาศหาคนหายเลยครับ ::) :P หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: coupe4wd ที่ 19 มิถุนายน 2012, 09:21:13 เป็นห่วงเจ้าไวท์กี้นะ
:-[ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: BeeR_ZeeD_ZaaD ที่ 20 มิถุนายน 2012, 13:25:49 สงสัยคับ ไอ้วิโก้สีดำ ที่ตามตูดมา แล้วมันแตะเบรคจนรถคุณคว่ำ เหมือนมันตั้งใจเบรคป่าว
หรือว่าขับมาเร็วเจอโค้งแล้วเบรคไม่ทันบวกกับไม่รู้จักเส้นทาง แล้วมันหายไปไหน แค่สังสัย เพื่อดันกระทู้คับ ;) ;) หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: toys1924 ที่ 21 มิถุนายน 2012, 12:53:17 อยากจะขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ ได้อะไรดีๆ เยอะเลย ความสนุก ปนความฮาบ้าง และที่สำคัญ ได้ประโยชน์จากประสบการจริง
ทั้งทางอุบัติเหตุ และความรักที่มีต่อ พ่อและ แม่ ซึ้งกินใจครับ ปล. ผมอินมาเลยครับ อยา่งกับดูหนัง 3 d เลย อิอิอิ :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: wanger ที่ 21 มิถุนายน 2012, 14:21:18 ไวท์กี้ ไวท์กี้ ไวท์กี้ จงออกมามอบตัวซะเหอๆๆๆๆ ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;)
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 22 มิถุนายน 2012, 14:55:03 ช่วงแวะทักทายเพื่อนๆ ค่ะ!
สวัสดีค่ะทุกคน.... และสวัสดีคุณเพื่อนๆ ที่น่ารักทั้งหลายเหล่านี้ ที่ช่วยประกาศหาคนหายนะเจ้าคะ :D อ้างถึง คุณ eak99 เจ้าไวท์กี้หายไป อีกแล้วคับพี่น้อง ??? ???------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างถึง คุณ joepao ประกาศหาคนหายเลยครับ::) :P ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างถึง คุณ coupe4wd เป็นห่วงเจ้าไวท์กี้นะ:-[ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างถึง คุณ wanger ไวท์กี้ ไวท์กี้ ไวท์กี้ จงออกมามอบตัวซะเหอๆๆๆๆ ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;)หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 22 มิถุนายน 2012, 17:53:46 :)ช่วงแวะทักทายเพื่อนๆ ค่ะ!
สวัสดีค่ะ... อ้างถึง คุณ golf4338 :D :D :D...สนุกคับ..อ่านแล้วเพลิน :-X :-X------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างถึง คุณ toys1924 อยากจะขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ ได้อะไรดีๆ เยอะเลย ความสนุก ปนความฮาบ้าง และที่สำคัญ ได้ประโยชน์จากประสบการจริงทั้งทางอุบัติเหตุ และความรักที่มีต่อ พ่อและ แม่ ซึ้งกินใจครับ ปล. ผมอินมาเลยครับ อยา่งกับดูหนัง 3 d เลย อิอิอิ :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D :D ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- :D :) พอได้เห็นคอมเม้นแบบนี้แล้ว รู้สึกอยากรีบกลับมาเล่าเรื่องสนุกๆ ให้เพื่อนๆ อ่านกันต่อค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะคะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 22 มิถุนายน 2012, 17:57:30 "นอกเรื่อง"...แอบไปผ่าไส้ติ่งมาค่ะ
ลืมตาขึ้น...สิ่งแรกที่สายตาจับภาพได้หลังจากยาสลบหมดฤทธิ์คือ เพดานห้องพักคนไข้ ระบบประสาทยังทำงานไม่เต็มร้อย ร่างกายยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง โดยมีผ้าห่มสีขาวสะอาดคลุมทับอยู่ จากนั้นค่อยๆ กวาดสายตาไปรอบห้อง ทีวีจอแบนแปะติดอยู่ที่ผนังห้องด้านปลายเตียง ที่หัวเตียงมีดอกไม้สดหลายชนิดหลากสีสันคละกันอยู่ในแจกันขนาดเล็กกระทัดรัด โซฟาสีครีมดูนุ่มน่านั่งสองตัววางชิดติดกับผนังห้องด้านขวาของเตียง นอกนั้นยังมีเก้าอี้ 2 ตัว กับโต๊ะกลมขนาดเล็กวางอยู่อีกด้านของห้อง...อื้ม! ห้องคนไข้ของโรงพยาบาลเอกชนนี่มันน่าอยู่ไม่ใช่เล่นแฮะ ใจคิด...นี่เราหลับไปนานเท่าไหร่แล้ว กี่โมงแล้วหว่า มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นแต่ความมืด ระหว่างกำลังย้อนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่ คุณพยาบาลสาวสวยก็เคาะประตูแล้วเปิดพรวดเข้ามา เล่นเอาตกใจเลย “สวัสดีค่ะ ตื่นแล้วเหรอคะ เป็นยังไงบ้าง เจ็บแผลไหมคะ” คุณพยาบาลถามด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มเหมาะกับหน้าตา เราตอบกลับว่า “ไม่ค่อยเจ็บ แต่แน่นท้องมากค่ะ” คุณพยาบาลเดินมายืนข้างเตียงแล้วค่อยๆ เลื่อนผ้าห่มลงไปจนเห็นตำแหน่งแผลที่ผ่า ทันทีที่เห็นท้องตัวเอง...เฮ้ย! นี่ท้องเหรอ ทำไมมันถึงได้ดูบวมเหมือนศพขึ้นอึดแบบนี้ คุณพยาบาลบอกว่า “ไม่ต้องกังวลนะคะ ท้องจะค่อยๆ ยุบแฟบลงค่ะ และที่แน่นท้องเพราะเป็นอาการข้างเคียงของวิธีการผ่าตัดแบบส่องกล้อง ตอนผ่าคุณหมอจะต้องอัดก๊าซเข้าไปในช่องท้องเพื่อขยายพื้นที่ในช่องท้อง สามารถให้กล้องสอดเข้าไปได้สะดวกและมองเห็นไส้ติ่งได้ชัดเจน คุณพยาบาลค่อยๆ ปรับเตียงให้ตั้งขึ้นและบอกว่า “พรุ่งนี้ให้พยายามลุกขึ้นเดินและขยับตัวบ่อยๆ เพื่อให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว ไม่เกาะเป็นผังผืด (เห่อๆ เจ็บขนาดนี้ คงเดินหรอกนะ) เราถามคุณพยาบาลว่ากี่โมงแล้ว คุณพยาบาลตอบว่า “สี่ทุ่มแล้ว เดี๋ยวคุณนอนพักผ่อนนะคะ พรุ่งนี้เช้าคุณหมอจะขึ้นมาตรวจอาการและดูแผลประมาณ 9 โมงค่ะ” พอคุณพยาบาลพูดจบปุ๊บ เรารีบถามหามือถือของเราทันที คุณพยาบาลเดินไปเปิดตู้เซฟขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กที่วางอยู่ชั้นล่างของชั้นวางของที่ทำขึ้นในลักษณะ built in ติดกับผนังห้องด้านข้างประตูทางออก แล้วหยิบกระเป๋าเป้มาวางไว้ข้างเตียง คุณพยาบาลพูดว่า “ตอนที่แผนกผ่าตัดพาคุณขึ้นมาส่งก็มีแค่เป้ใบนี้ใบเดียวค่ะ มือถือน่าจะอยู่ในกระเป๋านะคะ” เรารีบเปิดดูข้าวของในเป้ทันทีแบบไม่เกรงใจพยาบาลเลย เฮ้อ!! โล่งอก ทุกอย่างอยู่ครบ...มือถือ กระเป๋าตังค์ สมุดบันทึก ทันทีที่คุณพยาบาลก้าวพ้นประตู เรารีบเปิดไอโฟนดูทันที ...โอ้ว แม่เจ้า! แม่โทรมาตั้ง 4 ครั้ง จะบอกว่าไงดีนะ ทำไมไม่รับสาย ขืนบอกว่าผ่าไส้ติ่งแล้วนอนอยู่โรงพยาบาล แม่ต้องตกใจ แล้วพรุ่งนี้พ่อกับแม่ต้องรีบมาภูเก็ตแน่ๆ โอ้ย! ไม่ให้มาเด็ดขาด ถ้าพ่อแม่มามีหวังเราไม่หายป่วยแน่เพราะมัวแต่เป็นห่วงพวกท่าน ตอนนี้ตัวเราเองยังดูแลตัวเองไม่ได้เลย แล้วจะไปดูแลพวกท่านยังไง ว่าแล้วก็ต้อง “โกหก” เฮ้อ! ไม่ดีเลย บาปอีกแล้วเรา “หวัดดีค่ะแม่ แม่โทรมาตั้งหลายที มีอะไรหรือเปล่าคะ” เราตั้งคำถามกับแม่ก่อน แม่บอกว่าไม่มีอะไร พ่อเค้าคิดถึงหนู แต่ไม่ยอมโทรเอง บอกให้แม่โทร (แล้วแม่ก็หัวเราะ) ...แล้วทำไมหนูไม่รับสาย นี่แม่โทรหาตั้งแต่เย็นแล้วนะ วันนี้หนูก็ไม่เห็นโทรหาแม่เลย” ดีนะที่ตั้งใจเตรียมคำตอบที่ไม่จริงไว้เรียบร้อย “วันนี้หนูลืมมือถือไว้ที่ห้องพักค่ะ นี่เพิ่งเสร็จงานแล้วเพิ่งกลับมาถึงห้องค่ะ”...ขอโทษนะคะแม่ ขอโทษนะคะพ่อ ที่หนูโกหกเพราะหนูรักพ่อแม่นะคะ หลังจากวางสายจากแม่ก็นอนคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ยังมีสติ 11 โมงกว่าๆ นั่งทำงานอยู่ดีๆ ก็ปวดท้องน้อยเยื้องไปทางขวาขึ้นมาเฉยเลย ทนปวดนั่งตัวงอเป็นกุ้งได้สักสิบนาที น้องโรสเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ถามขึ้น “เจ๊! เป็นอะไร นั่งตัวงออยู่ได้” พอหันไป แต่ยังไม่ทันจะตอบอะไร โรสรีบพูดขึ้น “เฮ้ยยย! เจ๊ ทำไมเหงื่อแตก หน้าซีดมากขนาดนั้น เจ๊ไม่สบายแน่ๆ ไปหาหมอมั๊ย” (หาหมอเหรอ ฝันไปเห่อ ไม่เอาหรอก) เราตอบกลับไปว่าไม่เป็นอะไร แค่ปวดท้องเฉยๆ เป็นแบบนี้บ่อย เดี๋ยวก็หายแหละ น้องโรสเลยหันไปทำงานต่อ โอ้ย! ไม่ไหวแล้วโว้ย เจ็บชิบหา...ไปหล่ะคร๊าบ ว่าแล้วก็คว้ากระเป๋าเป้ แล้วลุกขึ้นพรึบ “โรส...เจ๊ปวดท้อง ไปหาหมอก่อนนะ มีอะไรก็โทรเข้ามือถือนะ” เรารีบเดินแบบไม่รอคำตอบไปที่รถ ออฟฟิตกับโรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลกันมาก เวลาเดินทางปกติประมาณ 10 นาที แต่วินาทีนั้น...เจ็บจนแทบจะทนไม่ไหว เหยียบมิดคันเร่งเลยค่ะ แต่ถึงจะเจ็บมากแค่ไหนก็ยังไม่วายห่วงรถ อุสาห์ขับไปจอดที่ลานจอดรถ แล้วค่อยๆ เดินตัวงอมาที่แผนกตอนรับของโรงพยาบาล พอพนักงานเห็นสภาพเราเดินเค้าก็รีบเอา Wheelchair มาให้นั่ง แล้วเข็นไปส่งที่แผนกทางเดินอาหารและตับ (อ่านตามป้าย) นอนรอในห้องตรวจสักครู่ คุณหมอผู้ชาย หน้าตาดี ใส่เจลซะผมตั้งมาเชียว เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับคุณพยาบาลรุ่นป้า (อิอิ) คุณหมอแนะนำตัวเอง “สวัสดีครับ ผมเป็นหมอที่ดูแลคุณนะ เดี๋ยวผมขอตรวจดูอาการหน่อยนะ” พูดจบคุณหมอก็เอา steth ที่ใช้จังหวะเต้นของหัวใจมาแนบที่หน้าอกเรา จากนั้นก็เปิดชายเสื้อเราขึ้นแล้วก็กดบริเวณที่เราเจ็บ พอคุณหมอกดถูกตรงที่เราเจ็บ เราร้องโอ้ยทันที คุณหมอตรวจเสร็จก็พูดขึ้น “น่าจะเป็นไส้ติ่ง” (เฮ้ยย! น่าจะไม่ได้สิ มันต้องชัดเจน ระบุมาเลยว่าเป็นอะไร) คุณหมอพูดต่อว่าต้องส่งเราไปทำอัลตร้าซาวน์และตรวจปัสสาวะ ไอ้ตรวจปัสสาวะมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ตอนที่ทำอัลตร้าซาวน์นี่สิปัญหาใหญ่ เพราะคุณหมอที่ทำอัลตร้าซาวน์ให้เราเธอเล่นกดบริเวณที่เจ็บหลายครั้งจนเราทนไม่ไหว เราเลยบอกคุณหมอว่าถ้ากดต่ออีกเราจะร้องแล้วนะ คุณหมอเลยหยุดแล้วบอกว่าน่าจะไส้ติ่งอักเสบค่ะ (เห่อๆ ใช้คำว่า “น่าจะ” เหรอ ไม่ดีมั้ง) แต่ยังไม่ทันพูดแย้งหมอ หมอก็ชิงพูดขึ้นก่อนว่า “หมอขอทำ CT scan นะคะ เพราะจะเห็นชัดเจนว่าเป็นอะไร” (เอ่อ! แค่นั้นแหละ จะทำอะไรก็รีบๆ ทำเถอะ ตรูเจ็บจะตายแล้วโว้ย) เรารีบพยักหน้าเป็นลิงตีฉาบ บุรุษพยาบาลพยุงเรานอนบนเตียงแล้วเข็นไปที่แผนกฉุกเฉิน รอผลอัลตร้าซาวน์...เอ่อ! ยังไงหล่ะนี่ ทำไมเอาตรูมาไว้ตรงนี้หว่า เอ้อ! ก็ดีเหมือนกัน เผื่อมีอะไรๆ ตื่นเต้นให้ดู และก็เป็นไปตามคำขอ...ได้เห็นวินาเป็นวินาทีตายของคนอื่นด้วย (นอนดูเพลินเลย หุหุ) แต่เชื่อเถอะค่ะว่าถ้าคุณเจ็บแบบที่เราเจ็บ แล้วได้เห็นคนอื่นที่ได้รับบาดเจ็บเลือดสาด คุณจะมีตื่นเต้นกับภาพที่เห็นได้ไม่เกินสามนาที คุณก็จะไม่สนใจมันอีก เพราะเจ้าความเจ็บมันจะดึงสติของคุณให้กลับมาหมกมุ่นอยู่กับมันอีก นอนปวดจนเกือบบ่ายสอง ก็มีคุณหมอผู้ชายหน้าออกตี๋ วัยกลางคน เดินมาหาที่เตียง “ผมเป็นหมอที่จะทำการผ่าตัดให้คุณ ผลอัลตร้าซาวน์มาแล้ว คุณเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่ผมอยากขอวัดไข้อีกครั้ง และขอตรวจปัสสาวะคุณด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไส้ติ่งแน่ๆ” (ลืมบอกไปค่ะ หมอคนแรกยังไม่ได้ตรวจปัสสาวะเรา) ใจคิด...เอ๊ะ! ยังไงกัน ก็ดูผลจากอัลตร้าซาวน์แล้วนิ ทำไมต้องตรวจฉี่อีก วุ่นวายจริงนิ๊ จะทำอะไรก็รีบทำๆ เห่อ เจ็บจะตายแล้ว นอนรอผลตรวจปัสสาวะอีกพักใหญ่ แล้วคุณหมอผู้ชายหน้าตี๋คนเดิมเดินมาหาแล้วบอกว่า “ผลตรวจปัสสาวะคุณมาแล้ว ผลคือติดเชื้อนะ ก็เป็นไส้ติ่งนั่นแหละ” เรางงและไม่เข้าใจกับคำว่า “ติดเชื้อ” เราเลยถามคุณหมอเพื่อให้หายข้องใจ “เอ่อ คุณหมอคะ ติดเชื้อหมายความว่ายังไงคะ คือหนูก็รักษาความสะอาดตัวเองดีมากนะคะ แฟนก็ไม่มีค่ะ” คุณหมอตอบกลับ “อ๋อ ไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ครับ เวลาที่ไส้ติ่งอักเสบจะมีหนองบริเวณไส้ติ่งแล้วทำให้ภายในติดเชื้อได้ และคุณก็มีไข้อ่อนๆ แล้ว” คุณหมอพูดจบก็หันไปบอกบุรุษพยาบาลว่า “เข็นไปห้องผ่าตัดเลย” ในห้องผ่าตัดดูทุกอย่างสะอาดไปหมด ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์การแพทย์ หรือแม้แต่คนที่อยู่ในห้องก็ดูสะอาด ทุกคนใส่ชุดคลุมสีเขียว มีผ้าปิดปากปิดจมูก ได้เห็นโคมไฟอันใหญ่สำหรับใช้ผ่าตัดของจริงแล้วเรา แสงในห้องดูสว่างมาก อากาศเย็นจนหนาว ตอนนั้นตื่นเต้นหรือเปล่าไม่แน่ใจ รู้แค่ว่า “เจ็บไส้” มีพยาบาลผู้หญิงคนหนึ่งมายื่นข้างๆ แล้วจับแขนเรากางออกทั้งสองข้าง จากนั้นก็เอาหน้ากากที่ให้ออกซิเจนมาครอบบนจมูก เวลาผ่านไปไม่กี่นาทีเราก็....คอกฟี้ (บ๊าย บายนะจ๊ะ เจ้าความเจ็บ) นี่แหละคะ...เหตุการณ์ในวันที่เราผ่าไส้ติ่ง จากนั้นก็นอนโรงพยาบาลต่ออีก 2 วัน รวมเป็นอยู่โรงพยาบาล 2 คืน 3 วัน อ้อ! แล้วตอนที่นอนอยู่โรงพยาบาล คุณพยาบาลหลายคนก็ถามเราทุกวัน วันละหลายรอบ ว่าไม่มีใครมาเยี่ยมเหรอ ไม่มีญาติมานอนเฝ้าเหรอ ตอนแรกคิดว่าเค้าถามเพราะเป็นห่วง แต่พอถามบ่อยๆ เราชักไม่แน่ใจว่าพวกเค้าคิดอะไร แต่บางทีเราก็ตอบแบบขำๆ ว่า “กลางคืนไม่ต้องมีคนเฝ้าหรอกค่ะ มีผีเฝ้าอยู่แล้ว” สาเหตุที่เราไม่ได้บอกให้ใครรู้เพราะเราเกรงใจคนอื่นและก็อยากพักผ่อนด้วย นานเหลือเกินที่เราไม่ได้นอนเต็มอิ่มแบบนี้ ดังนั้นการเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการพักผ่อนอย่างแท้จริง (อิอิ) ตอนนี้หายเกือบเป็นปกติแล้ว เหลือแค่อาการท้องอืด และทานอาหารได้ไม่มากเหมือนเมื่อก่อน รวมถึงยังทานอาหารรสเผ็ดไม่ได้ วันนี้ทดลองทานพริกแล้ว โอ่ย! แสบไส้มากค่ะ ข้อคิดที่ได้รับ 1. การโกหกเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง แต่ในบางเหตุการณ์ และสำหรับบางคน ก็จำเป็นต้องทำ เพื่อผลลัพธ์ที่จะตามมา 2. อวัยวะบางอย่างก็ไม่น่าภิรมย์ ไร้ซึ่งประโยชน์ 3. ชีวิตจะดำเนินไปอย่างมีคุณภาพได้เช่นไร เมื่อร่างกายต้องเสื่อมสลาย ในขณะจิตใจยังคงแข็งแรง หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: dirtyshoes ที่ 22 มิถุนายน 2012, 18:15:13 ช่วงแวะทักทายเพื่อนๆ ค่ะ! ที่หายไปหลายวัน...แอบไปผ่าไส้ติ่งมาค่ะ ปล. ภาพประกอบอาจไม่น่าดู แต่ก็อยากให้เห็นภาพเวลาเล่าเรื่องค่ะ เคยสงสัยไหม ว่าไส้ติ่งมีประโยชน์อะไรในร่างกายเรา ทำไมธรรมชาติยังหลงเหลือมันไว้อยู่ ไม่หายไปตามวิวัฒนาการของคนเรา ใครรู้คำตอบช่วยบอกที หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 22 มิถุนายน 2012, 22:33:52 สงสัยคับ ไอ้วิโก้สีดำ ที่ตามตูดมา แล้วมันแตะเบรคจนรถคุณคว่ำ เหมือนมันตั้งใจเบรคป่าว หรือว่าขับมาเร็วเจอโค้งแล้วเบรคไม่ทันบวกกับไม่รู้จักเส้นทาง แล้วมันหายไปไหน แค่สังสัย เพื่อดันกระทู้คับ ;) ;) สวัสดีค่ะ คุณ BeeR_ZeeD_ZaaD เราไม่รู้ว่าเค้าเบรคด้วยจุดประสงค์ใด แต่รู้แน่ๆ ว่าเค้าควบคุมรถไปตามทางได้ แถมหายพ้นไม่หันมาเหลียวแลเราบ้างเลย ปล่อยให้เรากลิ้งแถกๆ อยู่คนเดียว (แง แง) หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: coupe4wd ที่ 23 มิถุนายน 2012, 09:35:41 อึ้งกับอาหารมื้อแรก
บะหมี่น้ำ! ผมแค่คิดว่าน่าจะเป็นอาหารอ่อนๆมากกว่าน่ะครับ ปล.หายไวๆนะคร้าบบ :) :) :) หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: eak99 ที่ 23 มิถุนายน 2012, 11:01:32 นึกว่าแอบไปซิ่งรถ ที่แท้ก็แอบไปนอนพักผ่อนที่โรงบาลนี่เอง ;D ;D
แล้วเป็นไงบ้าง ขอให้หายเร็วๆ นะครับ :) :) หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 23 มิถุนายน 2012, 16:11:05 สวัสดีค่ะ...
อ้างถึง คุณ coupe4wd อึ้งกับอาหารมื้อแรกบะหมี่น้ำ! ผมแค่คิดว่าน่าจะเป็นอาหารอ่อนๆมากกว่าน่ะครับ ปล.หายไวๆนะคร้าบบ :) :) :) ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ตอนแรกที่เห็นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่พอถามน้องคนที่เอาอาหารมาให้ เค้าบอกว่าคุณหมอไม่ได้สั่งว่าคนไข้ต้องทานอาหารอะไรเป็นพิเศษ เราก็เลยทานตามเมนูที่ รพ. จัดให้ ส่วนใหญ่จะซดน้ำมากกว่าทานเนื้อ ทานได้นิดหน่อยก็ไม่ไหวแล้ว มันเกิดอาการแน่นท้องมาก แน่นจนเจ็บ ตอนนั้นเป็นจังหวะที่คุณหมอมาตรวจเราพอดี เราเลยถามคุณหมอว่าอาการที่เราเป็นอยู่มันผิดปกติหรือเปล่า คุณหมอบอกว่าเป็นผลข้างเคียงของการผ่าตัดแบบส่องกล้อง (คำตอบเดียวกับที่คุณพยาบาลบอกเมื่อวานเลย) อาการแน่นท้องแบบนี้จะเป็นอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ก็จะหาย สุดท้ายคุณหมอสั่งยาทานสำหรับลดอาการท้องอืดและยาฉีดเข้าสายน้ำเกลือที่ช่วยให้หลับสนิทเพื่อให้เราได้พักผ่อน ยาตัวหลังคิดว่าเป็นมอร์ฟีน พอฉีดได้ไม่ถึงนาทีก็เริ่มมีอาการ...อาหารที่ทานเข้าไปย้อนกลับออกมาหมด น้ำลายฟูมปาก แต่เป็นแค่แปบเดียวก็หาย จากนั้นหนังตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนลืมไม่ขึ้นแล้วก็หลับไปเลย :Dปล. ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ จะรีบหายให้เร็วที่สุดค่ะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 23 มิถุนายน 2012, 16:13:39 สวัสดีค่ะ...
อ้างถึง คุณ coupe4wd อึ้งกับอาหารมื้อแรกบะหมี่น้ำ! ผมแค่คิดว่าน่าจะเป็นอาหารอ่อนๆมากกว่าน่ะครับ ปล.หายไวๆนะคร้าบบ :) :) :) ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ตอนแรกที่เห็นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่พอถามน้องคนที่เอาอาหารมาให้ เค้าบอกว่าคุณหมอไม่ได้สั่งว่าคนไข้ต้องทานอาหารอะไรเป็นพิเศษ เราก็เลยทานตามเมนูที่ รพ. จัดให้ ส่วนใหญ่จะซดน้ำมากกว่าทานเนื้อ ทานได้นิดหน่อยก็ไม่ไหวแล้ว มันเกิดอาการแน่นท้องมาก แน่นจนเจ็บ ตอนนั้นเป็นจังหวะที่คุณหมอมาตรวจเราพอดี เราเลยถามคุณหมอว่าอาการที่เราเป็นอยู่มันผิดปกติหรือเปล่า คุณหมอบอกว่าเป็นผลข้างเคียงของการผ่าตัดแบบส่องกล้อง (คำตอบเดียวกับที่คุณพยาบาลบอกเมื่อวานเลย) อาการแน่นท้องแบบนี้จะเป็นอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ก็จะหาย สุดท้ายคุณหมอสั่งยาทานสำหรับลดอาการท้องอืดและยาฉีดเข้าสายน้ำเกลือที่ช่วยให้หลับสนิทเพื่อให้เราได้พักผ่อน ยาตัวหลังคิดว่าเป็นมอร์ฟีน พอฉีดได้ไม่ถึงนาทีก็เริ่มมีอาการ...อาหารที่ทานเข้าไปย้อนกลับออกมาหมด น้ำลายฟูมปาก แต่เป็นแค่แปบเดียวก็หาย จากนั้นหนังตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนลืมไม่ขึ้นแล้วก็หลับไปเลย :Dปล. ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ จะรีบหายให้เร็วที่สุดค่ะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 23 มิถุนายน 2012, 16:16:53 สวัสดีค่ะ...
อ้างถึง คุณ eak99 นึกว่าแอบไปซิ่งรถ ที่แท้ก็แอบไปนอนพักผ่อนที่โรงบาลนี่เอง ;D ;Dแล้วเป็นไงบ้าง ขอให้หายเร็วๆ นะครับ :) :) ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- :D อุ๋ย!! ขอบคุณมากมายสำหรับความห่วงใยนะคะ ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ไม่นานก็คงตะลุยทานได้เหมือนเดิม ;) หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 23 มิถุนายน 2012, 16:31:27 "การชนครั้งที่ 3"....ชีวิตเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง (ตอน 4: หาที่ซ่อมรถ)
วันนี้หยุดค่ะ เลยมานั่งเล่นริมทะเลที่แหลมกาน้อยค่ะ แหลมกาน้อยเป็นหาดเล็กๆ อยู่ก่อนถึงหาดราไวน์ เส้นทางจากถนนใหญ่เข้ามาริมหาดค่อนข้างลำบากสักหน่อย ถนนขลุขละมากทีเดียว แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเจ้าไวท์กี้ค่ะ ก่อนจะขนข้าวของจากรถมาวางบนเสื่อ ขอไปเดินเล่นให้เท้าสัมผัสกับน้ำทะเลสักหน่อย.... แสงแดดไม่ร้อนจนเกินรับได้ มีลมพัดอ่อนๆ อากาศกำลังสบาย โย้วว! น้ำใสแจ๋วจนมองเห็นพื้นทรายเลย เสียดายที่ไม่มีปลาว่ายไปว่ายมาให้เห็น เพราะมีเรือสปีดโบ๊ทค่อยจอดรับ-ส่งนักท่องเที่ยวไปตามเกาะต่างๆ แต่ยังไงน้ำทะเลก็ยังใสสวยอยู่ดี...อยากให้เพื่อนๆ ได้มาเห็นจังเลยค่ะ เอาหล่ะ...ถึงเวลากลับมาเล่าเรื่องของเจ้าวีออสสักที ว่าแล้วก็ต้องเตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือก่อน เราปูเสื่อผืนเล็กใต้ต้นไม้ที่ขึ้นและเติบโตอยู่ริมหาด (ที่ประจำ) จากนั้นก็ขนโน๊ตบุค Dell จอ 15 นิ้ว ตัวเดิม กล้อง canon 550D และก็เป้ใบใหม่ที่เพิ่งถอยมาจากห้างโรบินสัน (ลดราคาค่ะ) ในเป้มีสมุดบันทึก ปากกาหมึกซึม แดง ดำ น้ำเงิน พร้อมด้วยขนมปังใส้หมูหยองผสมลูกเกดอีก 1 ปอนด์ น้ำเปล่า 1 ขวด โอเค เริ่มเลยนะคะ.... 16 กพ. 2552 ....วันนี้จะทำยังไงกับปัญหาดีน๊ะ เมื่อคืนกว่าจะกลับถึงอพาต์เม้นที่บริษัทเช่าไว้ให้ก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว ทั้งที่เหนื่อยมากอยากพักอยากนอน แต่ก็นอนไม่หลับ สมองคิดหมกมุ่นอยู่กับเรื่องรถ ปัญหาครั้งนี้แปลกใหม่และใหญ่หลวงสำหรับเรามาก เพราประเมินดูแล้วไม่มีตังค์มากพอจะซ่อมรถแน่ อย่าพูดถึงซ่อมทั้งคันเลย เอาแค่กระจกไฟฟ้าที่หักห้อยต่องแต่งยังไม่รู้จะมีปัญญาหรือเปล่า (อิ อิ)... เฮ้อ! จะหาเงินจากไหนดีน๊ะ? เราอออบัตรเครดิตที่อยู่ตามซอกกระเป๋าตังค์ออกมาวางเรียง ดูว่ามีกี่ใบ แล้วก็คิดคำนวนดูว่าแต่ละใบมีวงเงินเหลือกี่บาท รวมยอดแบบคร่าวๆ แล้วยังไงก็ไม่พอแน่ ไอเดียใหม่ปิ้งขึ้นมา...ขายข้าวของที่ไม่จำเป็นทั้งหมด เอาเงินมาใช้ก่อน ...มองดูไปรอบๆ ห้องอย่างพินิจพิเคราะห์ ดูว่าจะขายอะไรได้บ้าง... เห่อๆ ทีวี ตู้เย็น ไมโครเวฟ แอร์ ตู้เสื้อผ้า ราวตากผ้า ฯลฯ เป็นของใช้ของอพาต์เม้นทั้งนั้น เฮ้อเซ็ง! ขายไม่ได้สักอย่าง ...เฮ้ย! นี่ไง กล้องถ่ายรูป Canon 40D น่าจะขายได้สักสองหมื่นแหละ “เค้าบอกให้ทำ เค้าบอกให้ดู เค้าบอกว่าดี พอสักทีเถิด อยากทำตามฝัน ก็ฉันนั้นห้ามไม่ไหว ใจอยากลอง ผู้ใหญ่ก็มองผู้ใหญ่ก็เตือน คุณอาจจะดูว่าฉันเหลว ไม่คิดไม่แคร์ แต่อยากบอกให้รู้ ชีวิตฉันไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้น......” เสียงมือถือดังขึ้น (เพลง...เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย...ชอบค่ะ) ทำให้ตกใจตื่น (เฮ้ย! หลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย) ค่อยๆ เลิกหนังตาข้างขวาขึ้นดูเบอร์ที่โทรเข้ามา “แพตตี้” อ๋อ! เพื่อนสาวคนสนิท (เจ้าเก่า) เราคุยปรึกษากับเพื่อนว่าควรจะเอารถไปซ่อมที่กรุงเทพดีหรือเปล่า ส่วนคุณเพื่อนก็แนะนำให้เราหาช่างไปดูรถก่อนว่าต้องซ่อมอะไรบ้าง เสียหายแค่ไหน บางทีอาจไม่มากอย่างที่คิด จะได้ไม่ต้องเสียค่ารถที่ต้องบรรทุกรถเราเข้ากรุงเทพด้วย คุยจบว่าจะหลับต่ออีกนิด แต่เสียงมือถือเพลงเดิมดังขึ้นมาอีก เหลือบตาดู เห็นแต่ตัวเลข ไม่มีชื่อโชว์ แปลว่าไม่รู้จัก “สวัสดีค่ะ” ตอบรับสาย แล้วรอฟังว่าฝ่ายโน้นคือผู้ใด “ขอโทษที่โทรมาแต่เช้าครับ แต่ผมเห็นรถคุณแล้วตกใจมาก เลยโทรมาถามว่าคุณบาดเจ็บมากหรือเปล่า อยู่โรงพยาบาลไหนครับ แล้วเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง...เค้าพูดถามสาระทุกข์สุขดิบอีกยาวเชียว” (ใจคิด...เฮ้ย! ใครว๊ะ รู้ได้ไงว่ารถพัง เมื่อคืนเจอแค่พี่บีตอนลากรถไปจอดที่บ้านพักแกคนเดียวนิ นอกนั้นไม่เจอใครสักหน่อย ว่าแล้วรีบถามกลับสั้นๆ) “ขอโทษนะคะ ใครพูดสายอยู่คะ แล้วไปเห็นรถเราที่ไหนเหรอคะ” เค้าตอบกลับมาว่า “อ๋อ! ผมโกต้นไง (“โก” เป็นภาษาภูเก็ต ใช้แทนคำว่าพี่) เป็นลูกค้าที่เคยให้คุณออกแบบโบว์ชัวร์ขายคอนโดที่ปากคอกให้ไง พอดีผมไปติดต่อธุระที่ ตม. (บ้านพักของพี่บีเป็นบ้านพักราชการที่อยู่ในรั้วเดียวกับสำนักงาน ตม. เพราะสามีแกเป็นสารวัตร ตม ค่ะ) แล้วเห็นรถคุณจอดอยู่ ผมจำทะเบียนได้ 6696 กรุงเทพ ก็เลยโทรมาถามดูว่าคุณปลอดภัยดีมั๊ย” เราเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณลูกค้าฟัง รวมทั้งเรื่องประกันขาดด้วย โกต้นเลยอาสาช่วยหาอู่ซ่อมรถที่ราคาไม่แพงให้ อู่ที่ว่าเป็นอู่เล็กๆ ซ่อนอยู่กลางใจเมืองภูเก็ต เจ้าของอู่ชื่อ “โกดำ” รูปร่างแกอ้วน เตี้ย ล่ำ ส่วนผิวก็ตามชื่อนั่นแหละค่ะ ชอบเวลาแกยิ้มมากค่ะ ฟันแกขาวจั๊วตัดกับสีผิวอย่างชัดเจน เวลาคุยกับแกต้องตั้งใจมากเป็นพิเศษ เพราะแกจะพูดภาษาและสำเนียงภาคกลางผสมกับภาคใต้ (พัทลุง) แถมพูดเร็วจนบางประโยคเราฟังไม่รู้เรื่อง ต้องขอให้แกพูดใหม่อีกรอบ และพูดช้าลงด้วย (ตอนนี้...พอมีเวลาแล้วคิดย้อนไปก็ฮาดีค่ะ ในช่วงหนึ่งของชีวิตเราได้เจอเรื่องราวมากมาย รู้จักผู้คนมากหน้า ต่างถิ่น หลายภาษา หลากวัฒนธรรม) โกดำประเมินราคาเบื้องต้นอยู่ที่ 35,000 – 40,000 บาท ไม่รวมกระจกหน้าและหลังที่ต้องเปลี่ยน แกบอกว่าแกไม่รับใส่กระจกแต่มีร้านแนะนำให้ แต่เราไม่เอาร้านที่แกแนะนำ เพราะเราเช็คราคาแล้ว ราคาของแกแพงกว่าของศูนย์โตโยต้าเกือบสองพัน ซึ่งเราคิดส่วนต่างนี้ว่าน่าจะเป็นค่าน้ำชาที่ร้านให้กับโกดำที่ช่วยแนะนำลูกค้าให้ ระหว่างที่รถซ่อมอยู่ เราแวะเวียนไปดูเป็นระยะๆ ไม่สิ เรียกว่า “ถี่” น่าจะถูกต้องกว่า เราไปบ่อยจนช่างซ่อมบอกว่า “อาทิตย์หรือสองอาทิตย์คุณค่อยมาดูก็ได้ มาวันเว้นวันแบบนี้งานมันก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าหรอก” (แหม! ก็มันห่วงนิ จะให้รอเป็นอาทิตย์แล้วค่อยมาดูเหรอ...แค่คิดเถียงในใจ) เรารับฟังที่ช่างเค้าแนะนำ แต่จะให้ปฏิบัติตามนั้นคงยากส์อ่ะนะ (อิอิ) เราตั้งใจว่าทันทีที่เอารถออกจากอู่เราจะขับไปไหว้พระตามวัดต่างๆ ในเกาะภูเก็ต เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้ตัวเองและอยากให้เจ้าวีออสไปอาบน้ำมนต์อีกสักครั้ง เวลาหนึ่งเดือนกับอีก 20 วัน ที่ถูกใช้ไปในการซ่อมรถ...ทั้งรออะไหร่มือสองจากกรุงเทพไปจนถึงการซ่อมแซม ตัดหลังคาเก่าทิ้ง ประกอบหลังคาใหม่เข้าไป เปลี่ยนกระจกมองข้างที่หักออกแล้วใส่อันใหม่เข้าไป เคาะบริเวณที่บุบออกมาให้คล้ายของเดิม ขัดสีเก่าออกแล้วพ่นสีใหม่ทับ ทุกครั้งที่เห็นรถก็ต้องคอยปลอบใจตัวเองว่า “ต้องยอมรับสัจจะธรรมความจริงนะ...ของถูกและดีไม่มีในโลกใบนี้”เพราะสภาพก็เป็นไปตามที่ควรจะเป็น อู่เล็กๆ อุปกรณ์เก่าไม่ทันสมัย ช่างสูงอายุ 2 คน ที่ต้องดื่มน้ำเมาระหว่างทำงาน จะไปคาดหวังอะไรมากไม่ได้ เดี๋ยวผิดหวังจะยิ่งเศร้าเข้าไปอีก เฮ้อ! “เค้าบอกให้ทำ เค้าบอกให้ดู เค้าบอกว่าดี พอสักทีเถิด....” เพลงมือถือเพลงเดิมดังขึ้น โกดำโทรมาแต่เช้า ก่อนรับสาย โค ต ร ตื่นเต้นเลยค่ะ... ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง 55 หุหุ อิอิ ไม่รู้จะหัวเราะเป็นภาษาอะไรดี “สวัสดีค่ะโกดำ ไปรับรถได้เลยใช่ไหมคะ” โกดำพูดขึ้นว่า “รถซ่อมเสร็จแล้ว แต่ยังขับไม่ได้ เครื่องยนต์มันทะลุ” เราฟังแล้วงงๆ ไม่เข้าใจ เครื่องทะลุแปลว่าอะไร แต่รู้สึกไม่สะบายใจเลย เราถามกลับไปว่ามันหมายความว่ายังไงเหรอ เครื่องยนต์ทะลุ แกบอกว่าให้เราไปดูเองดีกว่า แกอธิบายไม่ถูก “ก้มลงไปดูใต้ท้องรถสิ” เป็นคำพูดของโกดำ เราก็ทำตาม “เฮ้ย! ทำไมตรงเครื่องยนต์มีรูเบ้อเล่อเลย” โกดำบอกว่านั่นแหละที่แกบอกไว้ตอนต้นว่าเครื่องยนต์ทะลุ ...แล้วต้องทำยังไงต่อหล่ะ ? แล้วต้องใช้เงินอีกเท่าไหร่เนี๊ยะ” โอ้ย! คิดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูกเลย หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: Tom-Keyray ที่ 23 มิถุนายน 2012, 19:47:25 "การชนครั้งที่ 3"....ชีวิตเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง (ตอน 5: เครื่องทะลุ)
:)ก่อนจะเล่าต่อ ขอแทรกเรื่องอื่นนิดนุงนะ....เรามีภาพน่ารักมาฝากเพื่อนๆ ด้วยค่ะ ระหว่างที่นั่งพิมพ์เรื่องเจ้าวีออสอยู่ก็หันไปเห็นผู้ชายแก้ผ้า...โอ้ว! แม่เจ้า พลาดไม่ได้ ต้องรีบถ่ายเก็บเอาไว้ (อิอิ) จากนั้นก็เห็นเหตุการณ์ที่ทำให้เรานั่งอึ้ง (แอบอิจฉานิดๆ ปนเศร้าใจหน่อยๆ) :'(คู่ชีวิต...บางคนเกิดมาและจากไปพร้อมกับความรัก แต่บางคนก็ไม่มีโชคด้านนี้เอาซะเลย...เฮ้อ! กลับเข้าเรื่องเจ้าวีออสต่อค่ะ... ยืนนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ ให้เวลากับสมองได้คิด ...ต้องทำยังไงต่อ ...ต้องใช้เงินอีกกี่บาท ...คือคำถามที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น เราตัดสินใจเอารถเข้าศูนย์โตโยต้า ซึ่งติดต่อเรื่องติดกระจกไว้ก่อนหน้านี้แล้ว พอถึงศูนย์เราก็ไปคุยกับเจ้าหน้าที่ให้ช่วยประเมินราคาค่าซ่อมเครื่องยนต์ก่อน เพราะอยากรู้ว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ พนักงานบอกว่ายังให้คำตอบไม่ได้ ต้องให้ช่างตรวจดูความเสียหายก่อนว่ามีมากน้อยแค่ไหนก่อน (ใจคิด...เอาหล่ะ! ซ่อมมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องทำต่อให้เสร็จ และในเมื่อเราไม่รู้จะไปปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือจากใครแล้ว เราก็ต้องจัดการกับปัญหาเองสิ) “ตกลงให้ช่างดูได้เลยค่ะ แต่ถ้าดูแล้วไม่ซ่อมได้ใช่ไหมคะ” พนักงานตอบว่าได้ค่ะ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนที่ช่างตรวจเช็ค ประมาณพันกว่าบาทค่ะ แล้วแต่เวลาในการตรวจเช็ค (อ๋อเหรอ เดี๋ยวนี้เค้าคิดค่าซ่อมรถตามเวลาทำงานของช่างเหรอ แล้วถ้าช่างดึงงานหล่ะ ไม่ต้องจ่ายอ้วกรึ) ตอนแรกว่าจะคิดเฉยๆ แต่ด้วยความอยากรู้ก็เลยตัดสินใจถาม พนักงานตอบกว่าว่าเรามีมาตราฐานอยู่แล้วว่าอุปกรณ์ส่วนต่างๆ ต้องใช้เวลาตรวจ เช็ค ซ่อมนานเท่าไหร่ (อ๋อ! ค่อยยังชั่ว) เราตัดสินใจซ่อมเครื่องยนต์ที่ทะลุและติดกระจกที่ศูนย์ โดยขอความเห็นใจจากพนังงานบางคนให้ช่วยซ่อมแบบประหยัดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งมันก็ได้ผลเมื่อเราเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมถึงสถานการณ์การเงินของเราให้เค้าฟัง สรุปคือเราจ่ายเงินให้กับศูนย์ค่าซ่อมเครื่องและค่ากระจกประมาณหกหมื่นกว่า และจ่ายค่าติดกระจกต่างหากอีก 500 บาทให้กับพนักงาน ...รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่วันที่รถคว่ำจนถึงวันที่รถซ่อมเสร็จประมาณแสนกว่า (นิดๆ) อ้อ! ขอเกรินล่วงหน้านิดนุงว่า...ตอนนั้นเพิ่งผ่อนเจ้าวีออสมาได้แค่ 24 งวด จาก 48 งวด เดี๋ยวมาดูกันว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นตอนที่ขายรถ เมื่อขายแล้วมีตังค์เหลือกี่มะน้อย ขอบอกว่า...เศร้าสวดยอด แถมร้องไห้ขี้มูกโป่งเลยแหละ (อิอิ) แต่ตอนนี้...มาดูเบื้องหลังของเงินที่เราหามาจ่ายค่าซ่อมรถกันดีกว่า เพื่อนๆ จะได้เห็นความพยายามของชะนีนางหนึ่งที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงินมา ขอบอกว่า...ทั้งฮาทั้งทุเรศตัวเองค่ะ 1. เงินสดที่มีอยู่ทั้งหมดในตอนนั้น... 24,750 บาท (อายุไม่น้อยแล้ว เก็บตังค์ได้แค่เนี๊ยะ ...อายจัง อิอิ) 2. ขายกล้อง Canon 40D ให้เพื่อน... 25,000 บาท (ขาดทุนย่อยยับ) 3. ขายกล้องฟูจิ (จำรุ่นไม่ได้ แต่เก่าแล้ว) ให้น้อง... 10,000 บาท (อ้อนวอนมันตั้งนานกว่าจะยอมซื้อราคานี้) 4. ขายขนมปังปิ้ง (แบบมนต์นมสด แต่หน้าตากับรสชาติคนละเรื่อง)...1,120 บาท (หักทุนแล้วไม่เวิร์ค ร้อนด้วย) 5. ขายเสื้อผ้าที่ใส่แล้วแต่ยังสภาพดี (มือสอง) ที่ตลาดนัด... 3,200 บาท (เปลี่ยนแผนหลังจากขายหนมปังไม่รุ่ง) 6. รูดบัตรเครดิต หมดหน้าตักจ่ายค่าซ่อมเครื่องและกระจก... 60,000 บาท (ดอกเบี้ยมหาศาล) ;D ;D ;D หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: s.chart ที่ 24 มิถุนายน 2012, 15:15:48 1. เงินสดที่มีอยู่ทั้งหมดในตอนนั้น... 24,750 บาท (อายุไม่น้อยแล้ว เก็บตังค์ได้แค่เนี๊ยะ ...อายจัง อิอิ)
ไม่ต้องอายครับ ผมอายุสี่สิบกว่าแล้ว ยังไม่มีเงินเก็บสักบาท อ่านสนุกมากครับ รีบมาเขียนต่อนะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: chira711 ที่ 27 มิถุนายน 2012, 22:49:36 8) 8) 8) 8) 8) 8)...................อ้าวไปๆ มาๆ ไปนอนให้คุณหมอ ชำแหละ เครื่อง ใน ซะงั้นครับ.....ส่วนผมก็หายไป ซะ 2 เดือน เหมือนกันครับ....ที่เคยบอกจะได้ทุนเรียน แต่ต้อง
สอบ ตอนนี้สอบติด และได้ทุน สมใจครับ เริ่มเรียน มา เดือนกว่า ๆ บวกกับทำงานด้วย....หนักเอาเรื่อง ครับ ... หลังจากมาสัมผัส ชีวิต เรียน ด้วย ทำงาน ด้วย แล้วเข้าใจ ชีวิต น้องๆ รู่น หลัง ๆ ที่เรียนด้วยทำงานด้วย เลยว่า ไม่หมู กว่าจะจบ....หลังจากได้สัมผัสเอง ที่สำคัญ มันเหนื่อย ที่ต้องขับรถ จากอยูธยา ไปเรียน ที่แจ้ง วัฒน นี่สิครับ ..โชคดี มีทางด่วน ไม่งั้นจบ เห่ ......ส่วนเรื่องราว ที่ว่ามา ผมก็ยังไม่ได้อ่านเลย เน้น มาทักทายก่อน ก็่ขอให้หาย ไวๆ นะครับ เพื่อน พี่ น้อง เป็นกำลังใจให้ครับ.... :) :) :) หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: dirtyshoes ที่ 28 มิถุนายน 2012, 13:41:42 เดาต่อได้เลยว่า ขายรถแล้วไม่ได้ตังค์สักบาท แถมยังไม่พอปิดยอดที่กู้มา ต้องหาเงินใช้หนี้เพิ่ม
มันจะขายแล้วมีเงินเหลือเมื่อผ่อนถึงงวดท้ายๆโน่นล่ะ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: nu_tspc ที่ 28 มิถุนายน 2012, 23:16:09 มารอฟังต่อ
ผมก็เป็นอีกหนึ่งคนล่ะครับที่ทำงานมา10ปีแล้ว แต่ไม่มีเงินเก็บซักบาท :( :( :( หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: JP@PB ที่ 28 มิถุนายน 2012, 23:17:30 อ่านแล้วเพลินดี ชอบการนำเสนอ จิงๆๆ :) :) :) :)
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: wanger ที่ 29 มิถุนายน 2012, 10:28:32 และแล้วเจ้า ไวท์กี้ ก้อหายไปอีกแระ ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;)
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: BeeR_ZeeD_ZaaD ที่ 29 มิถุนายน 2012, 11:05:07 ไอย๊ะ หนุกๆๆๆ
ปูเสื่อ ปอกถั่วต้ม รอพระเอกของเรื่องต่อไป(เหมือนเดิม) ;D ;D ;D ;D ;D ขอให้หายมาม่านะคับ หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: patpat ที่ 29 มิถุนายน 2012, 11:07:21 จากกันไม่ไกล..ไปไม่นาน ไม่กี่วันคงกลับมา ;)
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: eak99 ที่ 06 กรกฎาคม 2012, 08:10:23 หายไปไหน หลายวันแล้วคร้าบ ::) ::)
หัวข้อ: Re: การเดินทางกับเจ้า "ไวท์กี้" เริ่มหัวข้อโดย: neang ที่ 06 กรกฎาคม 2012, 08:22:31 สวัสดีคับ ชอบจัง อ่านเพลินดีคับ เหมือนนั่งอ่านนิยายอยู่เลย... :-* :-*
|