:::CIVIC CLUB THAILAND:::

คุยคุ้ย Civic => Civic Club Cafe => ห้องนั่งเล่น => ข้อความที่เริ่มโดย: jojo-civic 96 ที่ 12 สิงหาคม 2007, 03:57:43



หัวข้อ: หนังแผ่นที่แนะนำให้หามาดูช่วงวันแม่นี้ครับ : Running Boy ปาฏิหาริย์รักจากแม่
เริ่มหัวข้อโดย: jojo-civic 96 ที่ 12 สิงหาคม 2007, 03:57:43
(http://www.bloggang.com/data/aorta/picture/1155575637.jpg)


 ชูวอน ป่วยเป็นออทิสติก

ออทิสติก คือ โรคที่มีกลุ่มอาการหลัก 3 กลุ่ม

1.ความบกพร่องในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น มีพัฒนาการด้านภาษาบกพร่อง อาจแสดงออกด้วยการพูดช้า หรือ ใช้ภาษาส่วนตัว ไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.ความบกพร่องในการสร้างปฏิสัมพันธ์ในสังคม พวกเขามีโลกส่วนตัวจนไม่ต้องการจะสื่อสารหรือติดต่อกับใคร เวลาพูดก็ไม่สบตา ไม่แสดงออกทางสีหน้า (ชูวอนไม่สามารถบอกได้ว่ารักหรือเบื่ออะไร ไม่บอกว่าตัวเองเหนื่อย ยิ้มไม่เป็น ) และ ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกของคนอื่น ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนอื่น (ชูวอน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนแม่ตกน้ำและกำลังจะตาย เขาบันทึกในไดอารี่ว่า แม่ลงไปว่ายน้ำ)

3. พฤติกรรมทำซ้ำๆ หรือ หมกมุ่นสนใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเป็นพิเศษ ( ชูวอน หมกมุ่นสนใจ ม้าลาย เขาวิ่งเข้าไปจับกระเป๋าหรือกระโปรงของเจ้าของที่มีลายทางสีขาว)

จากกลุ่มอาการหลัก 3 ข้อข้างต้น ในสายตาของ คนทั่วไป อาจมองว่าเป็น พฤติกรรม ไม่มีความหมาย และเหมารวมไปว่า เด็กออทิสติค หรือ เด็กที่เจ็บป่วยทางจิตกลุ่มอื่นๆ เช่น เด็กปัญญาอ่อน , ผู้ป่วยโรคจิต ที่มีพฤติกรรมแปลกๆ จะเป็น คนไม่มีหัวใจไร้ความรู้สึก จะด่าจะว่าไป ก็คงไม่รู้เรื่อง เพราะทำอะไรล้วนดูไม่มีจุดหมาย ไร้สาระ


(http://www.bloggang.com/data/aorta/picture/1155575848.jpg)   (http://www.bloggang.com/data/aorta/picture/1155578301.jpg)

...ชูวอน เป็น ตัวแทนของพวกเขาเหล่านั้นที่จะมาบอกคนดูให้รู้ว่า ไม่ใช่เลย แม้จะเจ็บป่วยทางจิตใจ แต่ หัวใจของพวกเขายังเต้นเหมือนคนอื่น และ ยังรู้สึกเป็น สิ่งที่ต่างไปคือ ข้อจำกัดในการสื่อสารออกมาต่างหาก

...ตัวอย่างพฤติกรรมการวิ่งเข้าหาอุปกรณ์ที่เป็นลายทางเหมือม้าลาย ของ ชูวอน อาจดูไร้สาระ แต่ เราจะพบว่า ม้าลาย ไม่ใช่ ความหมกมุ่นที่ไม่มีความหมายอันใด หลายๆพฤติกรรมของเด็กกลุ่มนี้ มี ความหมายในเชิงสัญลักษณ์(symbolic meaning) ที่ซุกซ่อนอยู่

ในตอนต้น หนังบรรยายไว้แล้วว่า ชูวอน สนใจสารคดีสัตว์ป่าช่อง animal planet เป็นพิเศษ และ เนื้อความในสารคดีมีความสำคัญของม้าลายอยู่สองประการ หนึ่ง คือ การจำเป็นต้องใช้ชีวิตในป่าใหญ่ที่เต็มไปด้วยสัตว์ต่างๆที่หลากหลาย ม้าลายจำเป็นต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของสัตว์กินเนื้อ มันต้องหาทางใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับสัตว์อื่นๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายดายนักสำหรับม้าลาย เพราะลายทางบนตัวมันโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง ก็ เหมือนกับ ชีวิตเด็กออทิสติคอย่างชูวอนที่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ในการจะใช้ชีวิตเหมือนคนปกติอยู่ร่วมกับคนอื่นๆในสังคม เพราะ จากอาการของโรคของเขา ดูออกชัดเจน เหมือน ลายทางของม้าลายเวลาอยู่ในป่า

และ สอง ใจความในสารคดีที่บอกไว้ว่า แม่ม้าลายตั้งท้องครั้งหนึ่งนานเป็นปีๆ นั่นคือ ช่วงเวลาที่แม่ต้องปกป้องดูแลลูก ก็สะท้อนความผูกพันที่แม่และลูกมีต่อกัน เหมือนกับ ตัวของชูวอนที่มีแม่คอยห่วงใยดูแลมาตลอด


ไม่เพียงเท่านั้น หนังยังซ่อนความนัยของ ม้าลาย ไว้มาเฉลยในตอนท้าย ว่า จุดเริ่มต้นที่ทำให้ ชูวอน รู้จักม้าลาย ไม่ใช่ สารคดี แต่เป็นที่สวนสัตว์ที่ซึ่งเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ฝังอยู่ในใจของแม่และตัวเขาเอง

?.Running boy หรืออีกชื่อหนึ่งนั่นก็คือ Marathon เล่าเรื่องของ ชูวอน เด็กออทิสติก ที่มีแม่เป็นคนคอยดูแล เขาและแม่ อยู่กับ จุงวอน น้องชายอีกหนึ่งคน แม่ชูวอนสนับสนุนการวิ่งแข่งระยะไกล และ ทำให้ ชูวอนเป็นที่รู้จักโด่งดัง

ในฉากหนึ่ง ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์แม่ว่า ความหวังของแม่อยากได้อะไร เธอตอบว่า เธอหวังให้ลูกชายตายก่อนเธอ

คำตอบเช่นนี้ อาจทำให้คนเข้าใจเธอว่าเป็นแม่ใจร้าย แต่ นี่คือคำตอบในใจของพ่อแม่หลายๆคนที่ลูกมีความผิดปกติ มีความบกพร่องทางสติปัญญาหรือจิตใจ จนไม่สามารถดูแลตัวเองได้หากไม่มีพ่อแม่คอยช่วยเหลือ (เช่น เด็กปัญญาอ่อนระดับรุนแรง ผู้ป่วยโรคจิต ฯลฯ) การหวังให้ลูกตายไปก่อนเธอ เป็น ความหวังด้วยความรักที่ลูกตัวเองจะไม่ต้องทุกข์ทรมานกับการต่อสู้ชีวิตบนโลกที่โหดร้ายใบนี้

เพราะโลกใบนี้ ยังไม่ได้มีความพร้อม ไม่ได้มีสถานที่ไว้รองรับให้สำหรับกลุ่มคนอย่างพวกเขา ไม่ใช่แค่เรื่องที่ทาง แต่ คนส่วนใหญ่ในสังคมยังไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำ ว่า เด็กกลุ่มนี้เป็นอย่างไร เชื่อว่า หลายคนรู้จัก เด็กออทิสติก เหมือน กับที่โค้ชสอนวิ่งในหนังเข้าใจ คือ รู้จักออทิสติกมาจากในหนังที่เคยดู ว่า ออทิสติก ไม่อัจฉริยะเหมือนดัสติน ฮอฟแมนน์ใน Rain man ก็คง ปัญญาอ่อนแบบ ฌอน เพนน์ ใน I am Sam

(http://www.bloggang.com/data/aorta/picture/1155576272.jpg)  (http://www.bloggang.com/data/aorta/picture/1155576569.jpg)


โค้ชในเรื่อง จึงแกล้งทดสอบโจทย์คณิตศาสตร์ยากๆ กับ ทำท่าแปลกๆหวังให้ชูวอนทำตาม  แต่สุดท้ายแล้ว คนที่กลายเป็นคนโง่และตัวตลกคือเขาเอง เพราะ ชูวอนไม่ใช่ปัญญาอ่อน ไมใช่อัจฉริยะ เขาเป็นแค่คนธรรมดาที่เจ็บป่วยเป็นออทิสติก

...สำหรับหัวอกคนเป็นแม่ แค่เลี้ยงลูกปกติธรรมดาให้อยู่รอดในสังคมทุกวันนี้ ก็ยากอยู่แล้ว ยิ่งลูกมีข้อจำกัดต่างไปจากเด็กทั่วๆไป ยิ่งยากเย็นเสียกว่า ในความเป็นจริง เราจึงจะเห็น พ่อแม่ของเด็กที่ดูแลตัวเองไม่ได้ เช่น เด็กออทิสติก เด็กปัญญาอ่อน เด็กพิการ เด็กที่เป็นโรคเรื้อรัง ฯลฯ จะมีวิธีการเลี้ยงลูกไปสุดขั้วใดขั้วหนึ่ง ระหว่าง ปกป้อง ควบคุม ดูแลมากเกินไป (over-protection / over-control) จนเด็กขาดอิสระ และ ไม่เติบโตทางสังคม กับ เลี้ยงดูแบบทอดทิ้งไม่ใยดี (neglect) หรือ ในบางคนก็อาจมีทั้งสองแบบผสมกัน คือ ใจหนึ่งก็อยากปกป้องให้มากที่สุดโดยไม่ได้สนใจว่าลูกต้องการอะไร อีกใจหนึ่งก็แอบคิดอยากทิ้งลูกไป หรือ บางคนที่ต้องเจ็บปวดและรู้สึกผิดกับความคิดตัวเองเหมือนแม่ของลูกสมองพิการในหนัง the keys to the house ที่เคยคิด อยากให้ลูกตายไปเสียจะได้ไม่ต้องทรมาน

แม่บางคนก็อาจเลี้ยงลูกเพื่อชดเชยบางสิ่งในตัวเองอย่างไม่รู้ตัว เช่น แม่ของชูวอนเอง เมื่อโค้ชมาตอกย้ำสิ่งที่แม่พร่ำสอนให้ลูกวิ่งอยู่ทุกวันนี้ เป็นการทำเพื่อลูก หรือ ทำเพื่อตัวเอง มันยิ่งทำให้เธอยิ่งไม่มั่นใจ และ เมื่อครูในโรงเรียนเสนอว่า ทำไมเธอเองจึงไม่เคยส่งเสริมให้ลูกเรียนด้านอื่นเช่นด้านวิชาชีพเลย ทำไมจึงมุ่งมั่นแต่เรื่องวิ่งอย่างเดียว ทั้งที่ชีวิตคนไม่ได้อยู่รอดในสังคมได้แค่เพียงการวิ่ง

แม่ของชูวอนต้องพบกับคำถามที่เธอเองก็ไม่กล้าตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า ทุกวันนี้ที่เธอทำอยู่ เพราะกลัวว่าลูกจะอยู่รอดไม่ได้เมื่อขาดเธอไป หรือ เป็นเธอกันแน่ที่จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ หากไม่มีชูวอน นอกจากเส้นด้ายความรักที่ผูกเธอไว้กับชูวอน มันยังมีเส้นเชือกที่มองไม่เห็น ที่เธอเองผูกมัดชูวอนไว้ไม่ให้เขามีอิสระในตัวเอง


(http://www.bloggang.com/data/aorta/picture/1155577333.jpg)  (http://www.bloggang.com/data/aorta/picture/1155576969.jpg)

...นอกจากนี้ เธอยังลืมไปว่า ชีวิตในโลกใบนี้ของเธอ ไม่ได้มีแค่ ชูวอน

แม่หลายๆคนต้องสูญเสียลูก เสียครอบครัว เสียคนรักไป เพราะเอาเวลาทั้งชีวิตไปทุ่มกับลูกที่เจ็บป่วยเพียงคนเดียว แม่ชูวอนไม่ได้บกพร่องในความเป็นแม่ที่มีให้ชูวอน แต่ในสายตาของน้องชูวอน แม้มีคนเป็นแม่อยู่ข้างๆ แต่ เขาสูญเสียความเป็นแม่ไปถาวรตั้งแต่เขาโตมา ดังที่เขาบอกว่า "ชูวอนเป็นลูกรักเพียงคนเดียวของแม่ แม่ไม่เคยฟังผม เพราะแม่ฟังแต่ชูวอน"

แม่หลายคนมักบอก ให้ ต้องอดทน เพื่อลูกคนที่ป่วย และ นั่นมักจะตามมาด้วย ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในลูกคนที่ไม่ป่วย ไม่ว่าจะเป็นอิจฉาริษยากัน หรือ การแยกตัวออกจากครอบครัวไปเพราะรู้สึกน้อยใจ เสียใจ ที่ไม่มีใครในบ้านเห็นคุณค่าของตัวเอง

...แง่มุมต่างๆเหล่านี้ คือ ความยอดเยี่ยมที่ Running boy ถ่ายทอดออกมาให้เราเห็นได้ครบทุกมุมมอง ซึ่งต่างจากหนังเรื่องอื่นๆที่แค่หยิบยกลักษณะพิเศษ ของ ความเป็นออทิสติก มาเป็นจุดขายในหนัง แต่หนังเรื่องนี้กระเทาะเข้าไปถึงความรู้สึกนึกคิดของ คนที่เป็นออทิสติก และ คนที่ต้องดูแล รวมไปถึง ผลกระทบต่อคนรอบข้าง อย่างเข้าอกเข้าใจ เป็นการทำการบ้านที่ต้องให้คะแนนเต็ม 10 สำหรับตัวผู้กำกับ

คะแนนเต็ม 10 ในหนังนั้นก็ต้องแบ่งปันไปให้กับ นักแสดงนำ โซเซ็งวู ด้วย เพราะ พระเอกหนุ่มจาก The Classic เล่นได้เหมือนจริงมากๆ จนเรียกได้ว่านี่เป็นบทบาทออทิสติกที่สมจริงที่สุดในจอภาพยนตร์ที่ได้ดูมา เช่นเดียวกับบทบาทแม่ ที่ปกป้องลูกจนสุดชีวิตในหลายๆเหตุการณ์ก็แสดงอารมณ์อัดอั้นแล้วระเบิดใส่คนอื่นได้อย่างชวนให้เจ็บปวดตามคนเป็นแม่

ตัวบทหนังนอกจากยอดเยี่ยมในการนำเสนอด้านต่างๆใน โลกออทิสติกแล้ว การเล่าเรื่องที่แอบขมวดปมแอบไว้ตอนต้น เป็นการแอบซ่อนที่มีความหมายและน่าชื่นชม เพราะเมื่อเฉลยออกมา ยิ่งตอกย้ำให้เราได้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่า เด็กออทิสติก พูดไม่ได้ ไม่ใช่ ไม่รู้ ไม่จำ ไม่รู้สึก ทุกสิ่งเขาจดจำได้และรู้สึกเจ็บเป็น ไม่ต่างจากคนทั่วไป เพียงแต่แสดงออกมาไม่เป็นเท่านั้นเอง

สุดท้ายแล้ว แม้ชูวอนจะไม่บอกว่าเขาเหนื่อยแม้วิ่งแทบขาดใจ แม้ชูวอนจะไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองรักหรือเกลียดอะไร แต่ เราก็จะได้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นชูวอน เป็นเด็กออทิสติก เป็นเด็กสมองพิการ หรือ ใครก็ตาม


มนุษย์ทุกคนล้วนมีหัวใจ ที่ยังเต้นได้ เหนื่อยได้ รู้สึกเป็น และ รักเป็น ไม่แตกต่างกัน



การวิ่งครั้งสุดท้ายในหนัง บ่งบอกถึงหัวใจของชูวอนที่ต้องการสื่อสารให้แม่และคนอื่นๆได้รับรู้ ว่า เขาเติบโตขึ้นแล้ว เขาสามารถดูแลตัวเองได้ , เขารู้เบอร์โทรศัพท์ , เขารู้ที่อยู่ของบ้าน และ เขารู้ความต้องการของตัวเอง

ฉากที่เขาทิ้งขนมที่วางอยู่ตรงหน้าขณะวิ่ง ซึ่งเป็นขนมที่ใช้ล่อเขาตอนเด็กๆให้เขาออกวิ่ง บอกให้เราได้รู้ว่า เขามาที่จุดปล่อยตัวครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะแม่ ไม่ใช่เพราะอาการของโรค เขามาที่นี่เพราะเขาอยากจะวิ่ง เขามาวิ่งด้วยหัวใจ สำหรับ คนอื่นเหตุการณ์นี้อาจเป็นเรื่องเล็กๆ แต่สำหรับคนที่มีข้อจำกัดในการสื่อสารและแสดงอารมณ์อย่างเขา นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะสื่อสารให้คนภายนอกได้รับรู้

จริงอยู่ ออทิสติก อาจไม่ได้หายขาดไปไหน แต่การวิ่งครั้งนี้ นอกจากจะเป็น การ?พูด? ความต้องการของตัวเองผ่านการกระทำ เขาเองยังปลดปล่อยแม่จากความรู้สึกผิด และปลดเส้นด้ายบางเส้นที่ผูกเขากับแม่ไว้ด้วยกัน





ด้ายเส้นที่แม่ของเขาเข้าใจว่าคือความห่วงใย แต่มันกลับเป็น ด้ายที่ผูกติดความเป็นอิสระไม่ให้ชูวอนได้มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่ คนเป็นแม่เองก็ไม่สามารถตัดใจปลดด้ายเส้นนี้ได้ด้วยตัวเอง การออกวิ่งของชูวอนนี้เองที่เป็นการตัดเชือกเส้นนี้ออกไป โดยยังคงมีเส้นด้ายแห่งความผูกพันอีกหลายเส้นที่ยังอยู่ครบและคล้องเขากับแม่ไว้ด้วยกัน

... Running boy ไม่ใช่หนังที่ต้องเตรียมทิชชู่ไปซับน้ำตา หนังไม่ได้ทำให้คนดูต้องร้องไห้น้ำตาพรั่งพรู แต่หนังจะพาคนดูไปพบเรื่องราวของชีวิตอีกด้านที่เราไม่เคยสัมผัส แม้ ฉากหน้าจะเป็นหนังหรือเรื่องราวของเด็กออทิสติก แต่เนื้อความที่เล่าถึง ความผูกพันของคนที่มีให้กัน , ความรักที่แม่มีให้กับลูก , การใช้ชีวิตของคนที่มีข้อจำกัด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คือ เรื่องราวร่วมในสังคมของทุกๆชีวิต และ Running boy ก็ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างซาบซึ้งและอบอุ่นหัวใจ นี่เป็นหนังที่คนดูๆจบแล้วจะพบว่า หัวใจ ของเราเกิดความรู้สึกดีๆกลับออกมาอีกหนึ่งเรื่อง


(http://www.nangdee.com/photoThumbnail/mpictures/Runningboy02_UHHcICdFri40406.jpg)

สิ่งที่ชอบ

1.สนุก ... หนังเล่าเรื่องได้สนุกและชวนติดตาม อาจมีอืดไปบ้าง แต่ ไม่มีช่วงเวลาที่ทำให้รู้สึกเบื่อ

2.ซาบซึ้งและกินใจ ... หนังไม่ได้บีบน้ำตาหรือจงใจทำให้คนดูต้องร้องไห้ หนังดำเนินเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป ความซาบซึ้งกินใจจะถูกแทรกใส่ในหนังอย่างเป็นธรรมชาติตลอดเวลา ก่อนที่จะจบลงเงียบๆแต่รู้สึกดี (ฉากที่ผมซึ้งมากที่สุดคือ ฉากที่ชูวอนพูดแทนแม่ที่สถานีรถไฟ เพื่อปกป้องแม่และอยากบอกให้คนอื่นรับรู้ กับ ฉากที่กำลังจะออกวิ่งตอนท้ายที่ทวนคำพูดประจำตัว ที่แม่กระตุ้นเป็นกำลังใจมาตลอด)

3.เข้าใจออทิสติก ... หนังจะช่วยให้คนได้เห็นภาพของออทิสติกจริงๆส่วนใหญ่ ไม่ใช่เหมือนกับหนังเรื่องอื่นๆที่จับเฉพาะ ออทิสติก ส่วนน้อยมาให้เราได้เห็น และ หนังจะทำให้เราได้เข้าใจพวกเขาได้มากยิ่งขึ้น เพราะอาการทั้งหลายในเรื่อง ทุกพฤติกรรม ล้วนเป็นอาการที่แท้จริงแทบทั้งนั้น

4.เข้าใจคนดูแล(เด็กออทิสติก) + ทำให้คนดูแล(เด็กออทิสติก) ได้เข้าใจตัวเอง ... เป็นอีกด้านที่หนังเผยให้เห็นอย่างเข้าใจ และ จริงใจ ไม่ปั้นแต่ง ไม่จงใจทำให้สวยงาม หรือ มองด้านเดียว

5.นักแสดงนำชายและผู้กำกับ ... ยอดเยี่ยมชนิดต้องยกนิ้วให้ทั้งคู่

สรุป ... ดีใจ ที่หนังเรื่องนี้มีคนนำเข้าเป็นเรื่องเป็นราว เพราะกำลังรออยากให้ออกดีวีดีลิขสิทธิ์ (กะว่าถ้าลิขสิทธิ์ไม่มีจะหาแหล่งผีไปแนะนำคนอื่นแล้วเชียว) เนื่องจาก Running boy เป็นหนังที่เหมาะมากชนิดควรมีเป็นยาสามัญประจำบ้าน สำหรับคนที่ต้องดูแลเด็กออทิสติกหรือกลุ่มอาการใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง หรือ ครู หรือ แพทย์ ฯลฯ

หนังไม่ใช่ตำราที่จะมาบอกวิธีดูแลรักษา แต่จะมา ทำให้เราได้เข้าใจ ตัวเด็ก เข้าใจ ตัวเอง และ เข้าใจ คนที่ดูแลอยู่ ได้เป็นอย่างดี และ สำหรับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ ออทิสติก เลย ก็เป็นหนังอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด แม้จะไม่ถึงขั้นยาสามัญประจำบ้าน แต่ก็เหมือนเป็น วิตามินบำรุงหัวใจ อีกเรื่อง ที่ดูจบแล้วอิ่มเอมและไม่รู้สึกเสียดายเงินกับเวลาแม้แต่น้อย

 +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++