หัวข้อ: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: Bomberman ที่ 02 มิถุนายน 2011, 01:29:05 รถผมเป็นรุ่นekปี2000อยากแรงเลยเข้าไปลองสอบถามรายละเอียดการโม ช่างเค้าบอกมาหลายอย่างมากหนึ่งในนั้นคือลดน้ำหนักฟายวิล ผมอยากทราบว่าจะมีผลอย่างไรกับเครื่องยนต์ครับบบ ::)
หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: siwapon ที่ 02 มิถุนายน 2011, 07:10:29 เท่าที่รู้นะครับคือถ้าฟลายวิลเบาขึ้นก็จะสามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เร็วขึ้นกว่าเดิมครับ เอาแค่นี้ก่อนครับเท่าที่รู้ รอผู้ร้มาตอบอีกทีครับ :-[
หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: musachi ที่ 02 มิถุนายน 2011, 08:41:29 ตอนออกตัว รอบต่ำจะไม่ค่อยมีแรง
แต่รอบสูงๆ ไหลยาว ลื่นๆ ตอนออกตัว ถ้ามี ครัชทองแดง หวีเสริม ยางแท่นเครื่อง ยูริเทน รัยรอง สั่นทั้งคัน หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: Regis100 ที่ 02 มิถุนายน 2011, 10:14:23 อ้าว ไม่ใช่ว่า อัตราเร่งจะดีขึ้น แต่ ตีนปลายเท่าเดิม เพราะว่าเครื่องหมุนง่ายขึ้นแต่พอช่วงแรงม้าสูงสุดก็เท่าเดิม หรอครับ ::) ::) ::) ::)
หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: musachi ที่ 02 มิถุนายน 2011, 13:16:27 อ้าว ไม่ใช่ว่า อัตราเร่งจะดีขึ้น แต่ ตีนปลายเท่าเดิม เพราะว่าเครื่องหมุนง่ายขึ้นแต่พอช่วงแรงม้าสูงสุดก็เท่าเดิม หรอครับ ::) ::) ::) ::) อัตราเร่งตั้งแต่ 4,000 รอบ ดีกว่าเดิม (รอบกวาดไวมาก) รอบต่ำ หรือออกตัวจะไม่ค่อยมีแรง ตอบตามความรู้สึก ต้องลองครับ http://www.aeracingclub.net/forums/index.php?topic=43323.0 Flywheel ที่เขากว่าปกติ จะทำให้เครื่องยนต์มีภาระน้อยลง สามารถเร่งรอบได้เร็วขึ้น เหมาะสมกับ เครื่องยนต์ที่ต้องการรอบสูงไวๆ แบบเครื่องยนต์ NA และที่สำคัญ รถที่เหมาะสม น้ำหนักรวมของรถ ก็ต้องลดลงด้วย เนื่องจากแรงเฉื่อยจะน้อยลง ทำให้มีแรงขับเคลื่อนรถน้อยลง จะทำให้มีปัญหาเกี่ยว กับทางลาดชัน (ทางขึ้นนะ) โดยเฉพาะ ทางขึ้นห้างฯ นั่นแหล่ะ ตัวดีเลย คุณจะออกตัวได้ยาก ถ้ามัน เบากว่าปกติมากๆ แล้วยิ่งประสานกับครัชฝืดๆ ที่ยิ่งเลือกฝืดมากๆ ยิ่งลำบากเข้าไปอีก หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: musachi ที่ 02 มิถุนายน 2011, 13:23:15 webmaster@thaispeedcar.com
ครัชแต่งและฟลายวิลแต่ง หลังจากที่พวกเราแต่งเครื่องยนต์มาจนได้แรงม้ากว่า 1,000 แรงม้ากันแล้ว แต่ทำไมรถยังวิ่งไม่ดีเลย เครื่องแรงแต่ล้อไม่หมุนสงสัยครัชจะลื่นหรือปล่าว เอาเป็น 4 plate กันไปเลยละกัน ว่ากันไปใหญ่แล้ว ได้สักพันม้าก็ดีละสิแล้วจะเอาตังค์ไหนเติมน้ำมันกันล่ะทีนี้ คิดไปกันใหญ่ มาว่าเรื่องของครัชกันต่อ สำหรับท่านที่ใช้เกียรออโต้บอกว่าไม่น่าสนใจ รถเราไม่มีครัชนี่หว่า จะบอกให้ครับเกียรออโต้ก็มีครัชเหมือนกัน และมีมากกว่าเขาอีกแต่ยังไม่ขอพูดถึง มาดูของพวกที่ใช้เกียรธรรมะ กันไปก่อนเพื่อจะได้รสพระธรรมกันติดตัวไปกับเขาบ้างครับ หน้าที่การทำงานของครัชก่อน ครัช ( Clutch ) เป็นอุปกรณ์สำคัญในระบบส่งกำลัง ไม่ว่าเกียรออโต้หรือเกียรธรรมดาต่างก็มีครัชทั้งสิ้น ครัชทำหน้าที่ตัดกำลังของเครื่องยนต์ที่ส่งไปยังเกียร ด้วยเหตุผลที่ว่าในการเปลี่ยนเกียรแต่ละเกียรนั้น ต้องมีการตัดกำลังจากเครื่องยนต์ที่จะส่งไปยังเกียรเสียก่อนเพื่อให้เฟืองเกียรหมุนช้าลง ถึงจะทำการสลับเปลี่ยนเฟืองเกียรได้ เพราะฟันเฟืองที่อยู่ในเกียรที่หมุนอยู่จะไม่สามารถแยกตัวออกมาเพื่อสลับไปยังฟันเฟืองของเกียรอื่นได้ (http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm8clutch/eq037.gif) ส่วนประกอบของชุดกดครัช 1 ขาเหยียบครัช เป็นส่วนที่รับแรงกดจากเท้าของคนขับ เมื่อเหยียบจะเกิดแรงกดแบบเดียวกับคานกระดก ซึ่งต่อกับสากครัชไปกดยังแม่ปั้มครัชบน 2. แม่ปั้มครัชบน เป็นส่วนที่สร้างแรงดันไฮโดรลิค เมื่อได้รับแรงกดจากขาครัช ชุดลูกยางแม่ปั้มครัชจะเคลื่อนตัวผลักดันน้ำมันครัชให้เกิดแรงดันส่งไปยังท่อน้ำมันครัช 3. ท่อน้ำมันครัชและสายอ่อนครัช ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำมันครัช ที่มีแรงดันสูงในแบบไฮโดรลิคส่งไปยังปั้มครัชล่าง 4. ปั้มครัชล่าง ทำหน้าที่รับแรงดันไฮโดรลิค เมื่อได้รับแรงดันจะเกิดอาการยืดตัวออกมา โดยส่งกำลังมายังสาก ครัชอีกที 5. ก้ามปูครัช ทำหน้าที่คล้ายกับคานกระดก เมื่อได้รับแรงกดจะดีดตัว ส่วนนี้จะต่อเข้ามายังหัวหมูเกียร ส่วนนอกจะต่อกับปั้มครัชล่าง ส่วนด้านในจะต่อกับลูกปืนครัชทำหน้าที่ไปกดกับลูกปืนครัช และหวีครัชให้เกิดการยกตัว 6. ลูกปืนครัช เป็นส่วนที่ได้รับแรงมาจากก้ามปูครัช เพื่อไปกดหวีครัช เนื่องจากหวีครัชต้องมีการหมุนอยู่ตลอดในขณะทีเครื่องทำงาน ส่วนนี้จึงต้องใช้ลูกปืนทำหน้าที่เป็นตัวส่งแรงกด เพราะต้องวิ่งตามไปพร้อมหวี ในขณะกดลงบนตีนผีของหวีครัช (http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm8clutch/100107-l.jpg) ส่วนประกอบภายในชุดครัช 1 ฟลายวิล ( Fly whell ) หรือล้อช่วยแรง ตัวนี้จะไขติดกับเพลาข้อเหวียงของเครื่องยนต์ มีน้ำหนักประมาณ 5 - 15 กิโลกรัม เป็นตัวช่วยสร้างแรงเหวียง หรือแรงบิดให้กับเครื่องยนต์ และยังเป็นตัวยึดติดกับหวีและแผ่นครัช 2. แผ่นครัช หรื่อผ้าครัช ( Clutch disc ) เป็นโครงเหล็กกลมๆ ตรงกลางเป็นฟันเฟืองที่ต้องมีขนาดพอดีกับ Spy gear หรือ เฟืองขับเกียร มีสปิง 3 - 4 ตัวทำหน้าที่ลดแรงกระชากของผ้าครัชจนโครงผ้าครัชได้รับการเสียหาย ด้านนอกสุดเป็นผ้าครัช เป็นลักษณกลมหรือเป็นก้อนๆ ถูกย้ำติดด้วยหมุด หรือกาวชนิดพเศษ ผ้าครัชจะมีส่วนผสมของคาร์บอน ใยแก้ว ทองเหลือง หรือทองแดง ทำหน้าที่ เมื่อได้รับแรงกดจกหวีครัช ผ้าครัชด้านหนึ่งจะจับตัวกับฟลายวิล อีกด้านหนึ่งจะจับตัวกับหวี ทำให้เฟืองกลางที่สวมกับเกียรหมุนตาม จึงมีแรงส่งไปยังเกียร 3 หวีครัช ( Clucth pressure plate ) เป็นโครงเหล็กกลม ยึดติดกับจานกดครัช โดยมีสปริงกครัชมีลักษณะเป็นแผ่นสปริง หรือตีนผี หลายๆตัวล้อมรอบอยู่ด้านใน การทำงานเมื่อได้รับแรงกดบริเวณตีนผี ( ในรุ่นจานกด ) จะทำให้จานกดครัชยกตัวขึ้น ไม่มีแรงกดไปยังผ้าครัชและฟลายวิล ทำให้ผ้าครัชเกิดการหมุนฟรี เกียรก็จะเกิดการตัดกำลังจึงสามารถเปลี่ยนเกียรได้ เมื่อปล่อยกลับ แรงกดจากตีนผีจะไปดันจานกดให้ไปกดทับผ้าครัช และฟลายวิล จึงมีการส่งกำลังขึ้นดังเดิม (http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm8clutch/2384.jpg) หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: musachi ที่ 02 มิถุนายน 2011, 13:29:36 webmaster@thaispeedcar.com
ครัชแต่งและฟลายวิลแต่ง การแก้ปัญหาครัชลื่น บ้างครั้งนิยมเปลี่ยนเป็นครัชแต่ง ที่บรรดาสำนักแต่งต่างๆ ได้ทำออกมาขายให้กับนักซิ่ง ที่แต่งเครื่องยนต์ให้รุนแรงขึ้น หรือการขับขี่ที่รุนแรงขึ้น ซึ่งแต่ละสำนักจะมีการออกแบบมามากมายหลายแบบแต่ที่นิยมในปัจจุบันจะมีลักษณะตามจำนวนผ้าครัชดังนี้ 1 . Single plate ชุดครัชแบบนี้เป็นลักษณะคล้ายกับของโรงงาน โดยมีผ้าครัชแผ่นเดียว และหวีครัชประกอบติดกับฟลายวิลเดิมของโรงงานได้เลย แบบนี้ทางสำนักแต่งจะทำการโมดิฟลาย หวีครัชให้มีแรงกดเพิ่มมากขึ้น ผ้าครัชจะเปลี่ยนเป็นแบบทองแดง ที่มีลักษณะเป็นก้อนๆ เช่น 3 ก้อน หรือ 5 ก้อนต่อด้าน ส่วนมากจะมีการกำหนดขนาดแรงกดของหวีครัชมาเช่น 800 ก.ก. หรือ 900 ก.ก รับแรงม้าได้ไม่เกิน 300 - 350 แรงม้า 2. Twin plate แบบนี้เป็นแบบที่นิยมกันมากขึ้น มีการออกแบบได้อย่างชาญฉลาดมาก ด้วยการออกแบบให้มีผ้าครัชถึง 2 แผ่น และจานกดครัชถึง 2 ตัว ทำให้ครัชแบบนี้สามารถลดอาการลื่นของครัชได้มากขึ้น แต่ด้วยความที่ชุดครัชมีอุปกรณ์ที่มากขึ้น ทำให้น้ำหนักเพิ่มมาก ครัชแบบนี้จึงต้องออกแบบฟลายวิลเสียใหม่ ให้มีน้ำหนักเบาขึ้นเพื่อมาชดเชยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ฟลายวิลจึงเป็นแบบลดน้ำหนัก นิยมใช้ วัสดุโคโมลี่ ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงมาก ราคาจึงแพงกว่าแบบธรรมดาอยู่หลายเท่าตัว 3. Tripple plate เป็นแบบที่พัฒนามาจาก twin plate โดยการเพิ่มชุดกดครัชให้มากขึ้นไปอีก 1 ชุดจึงทำให้มี ผ้าครัชและจานกดถึง 3 แผ่น แต่ในการจะกดชุดครัชให้อยู่นั้น ต้องเพิ่มแรงกดให้กับหวีครัชให้มากขึ้นขนาด 900 - 1,100 ก.ก. แบบนี้จะสามารถรับแรงม้าได้ตั้งแต่ 400 - 800 แรงม้าได้อย่างสบายๆ 4. Four plate มีลักษณะเดียวกับ twin plate และ tripple plate แต่จะมีผ้าครัช และจานกดครัชถึง 4 แผ่น หวีครัชมีแรงกดตั้งแต่ 1,200 ก.ก. ขึ้นไป สามารถรับแรงม้าได้มากกว่า 1,000 - 1,300 แรงม้า แบบนี้เนื่องจากมีแรงกดมาก ชุดแรงดันไฮโดรลิคกดครัชมักใช้แบบ direct clutch คือเป็นแบบไม่มีก้ามปูกดครัช แต่จะใช้ชุดแรงดันไฮโดรลิคติดตั้งไว้ในเสื้อเกียรเลย เพราะการใช้ก้ามปูอาจทำให้หักได้ และลดแรงเหยียบของผู้ขับ แบบนี้จะช่วยผ่อนแรงในการเหยียบครัชได้มาก (http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm8clutch/2507.jpg) ฟลายวิลแต่ง เครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับแต่งให้แรงขึ้นมักนิยมลดน้ำหนักที่ฟลายวิล ให้มีน้ำหนักเบาขึ้น วิธีการลดน้ำหนักเริ่มตั้งแต่ นำฟลายวิลเดิมมาทำการขึ้นแท่นกลึง แล้วกัดผิวด้านต่างๆให้บางลง โดยเจียรจุดต่างๆและไม่จำเป็นทิ้งไป คำนึงถึงน้ำหนักเป็นหลักเช่นจากเดิมมีน้ำหนักที่ 8 ก.ก ก็กลึงทิ้งเสีย 2 ก.ก เหลือเพียง 6 ก.ก แบบนี้เป็นวิธีที่นิยม แต่จะทำให้สูญเสียความแข็งแรงอาจเกิดการแตกร้าวได้ อีกวิธีคือการเปลี่ยนเป็นฟลายวิลแต่ง ซึ่งเกือบทุกสำนักจะมีฟลายวิลแต่งแบบน้ำหนักเบาออกมาจำหน่าย ซึ่งส่วนมากจะนิยมใช้ เหล็กแบบโคโมรี่ ที่มีคุณสมบัติคือน้ำหนักเบาทนความร้อนสูง และมีความแข็งแรงมากกว่า หรือบางรุ่นทำจากวัสดุอย่างอลูมิเนียมผสมเกรดดี ที่สามารถทนความร้อนและแรงกดได้มากขึ้น การลดน้ำหนักฟลายวิลจะมีผลทำให้แรงบิดของเครื่องยนต์ลดลง หรือเพิ่มขึ้นในรอบเครื่องยนต์ต่างๆ เช่นอาจจะทำให้แรงบิดในรอบต้นหายไป แต่แรงบิดในรอบปลายดีขึ้น มีผลต่อความเร็ว และน้ำหนักของรถด้วย การช่วยทำให้เหยียบครัชนิ่มขึ้น ส่วนมากแล้วหลังจากที่เราโมดิฟายครัชใหม่ให้มีแรงกดมากขึ้น หรือการเปลี่ยนครัชแต่ง ปัญหาที่ตามมาคือการเหยียบครัชจะต้องออกแรงเพิ่มขึ้น ครัชแข็ง ออกตัวยาก หรือเวลาเห็นรถติดๆแล้วไม่ค่อยอยากไปไหน เพราะกลัวการเหยียบครัชจนขาชา วิธีทีนิยมกันส่วนมากมีหลายวีธีเช่น เปลี่ยนแม่ปั้มครัชบนให้มีขนาดโตขึ้น ส่วนมากนิยมยืมแม่ปั้มมาจากรถ 6 ล้อหรือ 10 ล้อ ทำให้มีแรงดันไฮโดรลิคเพิ่มมากขึ้น หรือหาปั้มครัชแบบที่มีหม้อลมช่วยแรง แบบของ Nissan Skyline การดามตัวถังหน้าแปลนครัชให้แข็งแรงขึ้น การเปลี่ยนสายอ่อนครัชเป็นสายถักแสตนเลส แบบนี้จะช่วยให้มีแรงดันส่งไปยังแม่ปั้มครัชล่างได้แบบเต็มๆ สายน้ำมันไม่โป่งตัวออก การสร้างก้ามปูให้ยาวขึ้น การเปลี่ยนปั้มครัชล่างให้มีขนาดโตขึ้น หรือการเปลี่ยนไปเป็นแบบ direct clutc ที่มีชุดไฮโดรลิคติดตั้งในหัวหมูเกียร์เลย (http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm8clutch/mt_nissan_clutch_1.jpg) การดูแลรักษาครัชและการแก้ไข อย่าลืมครับว่าถึงเครื่องจะดี แต่ถ้าครัชพังครัชรั่วเมื่อไหร่ก็ต้องแย่งอาหารลิงกันทีเหมือนกัน อาการที่เกิดกับครัชส่วนใหญ่ เช่น ครัชรั่ว มักเกิดจากแม่ปั้มครัชบน หรือ ล่าง ลูกยางรั่วซึม หรือสายอ่อนครัชแตก จะไม่มีแรงดันน้ำมันไปกดชุดครัช ถ้าสังเกตเห็นอาการซึมๆของน้ำมันครัชตามกระบอกครัชบนล่างเมื่อไหร่ สายอ่อนครัชเก่าร้าว หรือน้ำมันครัชเริ่มลดลงอย่าเติม ให้เช็คดูหารอยรั่วและรีบแก้ไขทันที ครัชลื่น มักเกิดจาการขับขี่ที่รุนแรง การที่เครื่องรับภาระหนัก ขับขี่รุนแรง หรือขึ้นเขา การตั้งสากครัชไม่เหมาะสมจนครัชยัน จะทำให้เกิดการลื่นทันที ผ้าครัชที่ลื่นจะเกิดอาการไหม้ ผ้าครัชอาจด้าน หวีและฟลายวิลเกิดรอยไหม้ ครัชจะเกิดอาการลื่นตลอด ต้องทำการเปลี่ยนผ้าครัช , หวีครัชใหม่ , เจียรฟลายวิล หรือหาชุดครัชแต่งให้เหมาะสมกับกำลังเครื่องยนต์ ครัชสั่น มักเกิดจากความไม่เรียบสม่ำเสมอของ ผ้าครัช หวีครัช และฟลายวิล หรือผ้าครัชแต่งแบบเป็นก้อนๆ จะทำให้การออกตัวของรถสั่นๆกระตุก ต้องทำการเปลี่ยนผ้าครัช และเจียรหน้าฟลายวิล หรือเปลี่ยนหวีครัช หรือเอาหวีครัชไปเจียรใหม่ ครัชแตก มักเกิดจากการขับขี่ที่รุนแรง โครงผ้าครัชไม่ดีไม่เหมาะกับกำลังเครื่องยนต์ สปิงจานครัชเสียหดตัวจนเฟืองกลางผ้าครัชให้ตัวมากเกินไป ผ้าครัชที่ย้ำด้วยหมุดแตกออก เรียกว่าครัชแตก จะทำให้รถเข้าเกียรไม่ได้ ต้องทำการเปลี่ยนผ้าครัชใหม่ให้เหมาะกับการใช้งาน และกำลังของเครื่องยนต์ น้ำมันครัช เป็นส่วนหนึ่งที่ต้องดูแลเปลี่ยนถ่ายบ้าง เพราะการใช้งานที่ยาวนานจะทำให้น้ำมันสกปรก มีน้ำผสมอยู่ เศษลูกยางปั้มครัชปะปนอยู่ จะทำให้การสึกหรอในปั้มครัชเร็วขึ้น ลูกยางปั้มครัชเสื่อมเร็ว ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายบ้าง การเลือกใช้ต้องเลือกให้ถูกต้องของข้อกำหนดในการผลิตลูกยางในปั้มครัช เช่นปั้มครัชกำหนด DOT 3 แต่เอาน้ำมัน DOT 4 - 5 ใส่ลูกยางจะบวมพังอย่างรวดเร็ว หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: Regis100 ที่ 02 มิถุนายน 2011, 13:33:12 อ้อ พอเข้าใจล่ะ มันต้องมองสองแบบคือ ตอนรถยังไม่วิ่งกับ ตอนวิ่งไปได้ซักนิด :-* :-* :-* :-*
หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: onepiece_04 ที่ 02 มิถุนายน 2011, 13:54:05 ตอนออกตัว รอบต่ำจะไม่ค่อยมีแรง แต่รอบสูงๆ ไหลยาว ลื่นๆ ตอนออกตัว ถ้ามี ครัชทองแดง หวีเสริม ยางแท่นเครื่อง ยูริเทน รัยรอง สั่นทั้งคัน น้ากาญครับ...ไอ้อาการที่ผมทำตัวหนังสือสีแดงเนี่ย ถ้าใช้ฟายวีลเดิม แต่ เป็นคลัชทองแดง หวีเสริม จะเป็นมั้ยคับ? ::) ขอบคุณครับ หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: musachi ที่ 02 มิถุนายน 2011, 13:58:33 น้ากาญครับ...ไอ้อาการที่ผมทำตัวหนังสือสีแดงเนี่ย ถ้าใช้ฟายวีลเดิม แต่ เป็นคลัชทองแดง หวีเสริม จะเป็นมั้ยคับ? ::) ขอบคุณครับ เป็นนิดๆครับ เพราะครัชทองแดง จับแล้วจับเลย พยายามอย่าเลียครัชออกนะ มันจะไหม้ หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: Regis100 ที่ 02 มิถุนายน 2011, 14:08:37 คลัสทองแดงมันต้องกระโจรออกตัว ผมขับทีไร ออกดับตลอด ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D
หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: Bomberman ที่ 03 มิถุนายน 2011, 02:41:24 แล้วตกลงเราควรจะต้องลดน้ำหนักลงสักเท่าไรดีครับบบ ???
หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: Regis100 ที่ 03 มิถุนายน 2011, 10:05:21 แล้วตกลงเราควรจะต้องลดน้ำหนักลงสักเท่าไรดีครับบบ ??? เท่าที่รู้มันไม่มีสูตรตายตัวครับ :-\ :-\ :-\ :-\หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: musachi ที่ 03 มิถุนายน 2011, 11:37:17 แล้วตกลงเราควรจะต้องลดน้ำหนักลงสักเท่าไรดีครับบบ ??? แล้วแต่ ทอร์คเครื่อง และ น้ำหนักของรถคันนั้นๆ ถ้าเอาของเดิมไปทำ ก็ ลดลงสัก 10-15% มากกว่านี้ จะมีปัญหาเรื่องความแข็งแรงแล้วครับ หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: musachi ที่ 03 มิถุนายน 2011, 11:38:57 http://www.mitsusport.com/forum2/index.php?topic=2938.0 ถ้าเข้าใจถึงบทบาทและหน้าที่การทำงานของมันก็ไม่น่ายากครับ เครื่องยนต์เรามีสี่สูบ จะต้องจุดระเบิดทีละสูบ ใน 720องศาเท่ากับจะจุดระเบิดทุก 180 องศา เมื่อมีการจุดระเบิดก็ย่อมเกิดแรงกระทำ เมื่อเกิดแรงกระทำในลักษณะไม่ต่อเนื่องเช่นนี้ก็จะเกิดแรงกระชาก หรือที่เราเรียกว่า swing แน่นอนย่อมไม่สามารถเอากำลังงานอย่างนั้นมาใช้งานให้ได้ประสิทธิภาพ Flywheel หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า "ล้อช่วยแรง" มันก็มีหน้าที่ตามชื่อเลย แต่เพื่อความเข้าใจที่ดีกว่า เราจะมาขยายความมันให้ฟัง เจ้าล้อช่วยแรงนี้ก้จะมาทำหน้าที่ สร้างแรงเฉื่อยให้กับเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์เดินได้แบบราบเรียบ แน่นอนยิ่งมีน้ำหนักมากก็ยิ่งนุ่มนวลมากเพราะ เครื่องยนต์ต้องสร้างแรงมากระทำต่อน้ำหนักของFlywheel ยิ่งเจ้า Flywheel หนักมากเท่าไหร่เครื่องยนต์ก็ต้องสร้างแรงมาให้มากเท่านั้น เพื่อเอาชนะน้ำหนักของมัน ฉนั้น เมื่อเราทำให้เจ้า Flywheel มีน้ำหนักที่เบามากๆ จะเห็นว่าตอบสนองของเครื่องยนต์ไม่ว่าจะเป็นการเร่งหรือเบา จะดีกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด การไต๋ขึ้นรอบจะรวดเร็วกว่าเดิมเป็นอย่างมาก และก็แน่นอนก็จะใช้พลังงานน้อยลงเพราะไม่ต้องไปเอาชนะพลังงานจนนี้ เมื่อเห็นดังนี้แล้วก็ต้องบอกว่า มีแต่ข้อดีสิครับ ฉนั้นมาเอาFlywheel ออกกันเลยดีกว่า ไม่ได้ครับ เพราะอะไรนะหรือ ก็ต้องบอกว่าตามชื่อของมันนั้นแหละเค้าเรียกว่าล้อช่วยแรง หมายถึงมันเอามาช่วยให้เกิดแรง หรือพลังงานจล มนุษย์เรารู้จัก "ล้อ"(Wneel) มาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลเสียอีก เราจึงรู้จักที่จะเอามาประยุกค์ใช้ให้เกิดประโยชน์ ต้องขอขอบคุณมนุษย์หิน ฟิลสโตน จริงๆ ถ้าไม่มีล้อช่วยแรงอะไรจะเกิดขึ้น ด้วยการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ที่เป็นจังหวะ แต่ไม่ต่อเนื่องนี้เอง เครื่องยนต์สามารถสร้างแรงออกมาได้แต่ไม่สามารถนำใช้งานกับรถยนต์ได้ เริ่มจากจะเครื่องยนต์จะไม่มีกำลังเพียงพอที่จะออกตัวด้วยซ้ำ กำลังที่เครื่องยนต์สร้างขึ้นจะหายไปทันที่ที่ถุกปล่อยออกมา จากตัวเครื่องยนต์เองด้วยซ้ำ อย่าลืมว่าเครื่องยนต์มี4สูบ(สมมุติ) เมื่อลูกสูบที่1 เกิดแรงระเบิด(งาน) จะได้พลังงานออกมาแต่ก็ต้องเอาชดเชยกับพลังงานที่ต้องสูญเสียไปลูกสูบที่ 3 ที่กำลังจะอัดขึ้น เมื่อได้งานออกมาแล้วจะต้องสูญเสียไป เตจ้าล้อช่วยแรงเลยเข้ามาทำหน้าที่ให้เกิดแรงเฉื่อยและสะสมพลังงานไว้ใช้ด้วย ทำไม รถที่มีโหลดมากๆจึงต้องมีล้อช่วยแรงที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะรถยิ่งหนักก็ยิ่งต้องการแรงบิดมากๆ เพื่อที่จะสามารถนำพาน้ำหนักนั้นไปได้ บางทีอาจจะพูดได้ว่าจะสร้างแรงม้าหรือแรงบิดมาโชว์กันได้จากการสร้าง Flywheel เลยก้ว่าได้ เอาละ คงพอเข้าใจถึงหน้าที่เบื้องต้นแล้ว ก็ลองคิดต่อเอาว่าเราจะจัดการกับเจ้า Flywheel นี้อย่างไร ที่สำคัญต้องเหมาะกับน้ำหนักรถ และระยะชักของข้อเหวี่ยงด้วยน่ะครับ มันมาสัมพันธ์กันอีกด้วย หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: nus.ek ที่ 03 มิถุนายน 2011, 11:45:23 http://www.mitsusport.com/forum2/index.php?topic=2938.0 ถ้าเข้าใจถึงบทบาทและหน้าที่การทำงานของมันก็ไม่น่ายากครับ เครื่องยนต์เรามีสี่สูบ จะต้องจุดระเบิดทีละสูบ ใน 720องศาเท่ากับจะจุดระเบิดทุก 180 องศา เมื่อมีการจุดระเบิดก็ย่อมเกิดแรงกระทำ เมื่อเกิดแรงกระทำในลักษณะไม่ต่อเนื่องเช่นนี้ก็จะเกิดแรงกระชาก หรือที่เราเรียกว่า swing แน่นอนย่อมไม่สามารถเอากำลังงานอย่างนั้นมาใช้งานให้ได้ประสิทธิภาพ Flywheel หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า "ล้อช่วยแรง" มันก็มีหน้าที่ตามชื่อเลย แต่เพื่อความเข้าใจที่ดีกว่า เราจะมาขยายความมันให้ฟัง เจ้าล้อช่วยแรงนี้ก้จะมาทำหน้าที่ สร้างแรงเฉื่อยให้กับเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์เดินได้แบบราบเรียบ แน่นอนยิ่งมีน้ำหนักมากก็ยิ่งนุ่มนวลมากเพราะ เครื่องยนต์ต้องสร้างแรงมากระทำต่อน้ำหนักของFlywheel ยิ่งเจ้า Flywheel หนักมากเท่าไหร่เครื่องยนต์ก็ต้องสร้างแรงมาให้มากเท่านั้น เพื่อเอาชนะน้ำหนักของมัน ฉนั้น เมื่อเราทำให้เจ้า Flywheel มีน้ำหนักที่เบามากๆ จะเห็นว่าตอบสนองของเครื่องยนต์ไม่ว่าจะเป็นการเร่งหรือเบา จะดีกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด การไต๋ขึ้นรอบจะรวดเร็วกว่าเดิมเป็นอย่างมาก และก็แน่นอนก็จะใช้พลังงานน้อยลงเพราะไม่ต้องไปเอาชนะพลังงานจนนี้ เมื่อเห็นดังนี้แล้วก็ต้องบอกว่า มีแต่ข้อดีสิครับ ฉนั้นมาเอาFlywheel ออกกันเลยดีกว่า ไม่ได้ครับ เพราะอะไรนะหรือ ก็ต้องบอกว่าตามชื่อของมันนั้นแหละเค้าเรียกว่าล้อช่วยแรง หมายถึงมันเอามาช่วยให้เกิดแรง หรือพลังงานจล มนุษย์เรารู้จัก "ล้อ"(Wneel) มาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลเสียอีก เราจึงรู้จักที่จะเอามาประยุกค์ใช้ให้เกิดประโยชน์ ต้องขอขอบคุณมนุษย์หิน ฟิลสโตน จริงๆ ถ้าไม่มีล้อช่วยแรงอะไรจะเกิดขึ้น ด้วยการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ที่เป็นจังหวะ แต่ไม่ต่อเนื่องนี้เอง เครื่องยนต์สามารถสร้างแรงออกมาได้แต่ไม่สามารถนำใช้งานกับรถยนต์ได้ เริ่มจากจะเครื่องยนต์จะไม่มีกำลังเพียงพอที่จะออกตัวด้วยซ้ำ กำลังที่เครื่องยนต์สร้างขึ้นจะหายไปทันที่ที่ถุกปล่อยออกมา จากตัวเครื่องยนต์เองด้วยซ้ำ อย่าลืมว่าเครื่องยนต์มี4สูบ(สมมุติ) เมื่อลูกสูบที่1 เกิดแรงระเบิด(งาน) จะได้พลังงานออกมาแต่ก็ต้องเอาชดเชยกับพลังงานที่ต้องสูญเสียไปลูกสูบที่ 3 ที่กำลังจะอัดขึ้น เมื่อได้งานออกมาแล้วจะต้องสูญเสียไป เตจ้าล้อช่วยแรงเลยเข้ามาทำหน้าที่ให้เกิดแรงเฉื่อยและสะสมพลังงานไว้ใช้ด้วย ทำไม รถที่มีโหลดมากๆจึงต้องมีล้อช่วยแรงที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะรถยิ่งหนักก็ยิ่งต้องการแรงบิดมากๆ เพื่อที่จะสามารถนำพาน้ำหนักนั้นไปได้ บางทีอาจจะพูดได้ว่าจะสร้างแรงม้าหรือแรงบิดมาโชว์กันได้จากการสร้าง Flywheel เลยก้ว่าได้ เอาละ คงพอเข้าใจถึงหน้าที่เบื้องต้นแล้ว ก็ลองคิดต่อเอาว่าเราจะจัดการกับเจ้า Flywheel นี้อย่างไร ที่สำคัญต้องเหมาะกับน้ำหนักรถ และระยะชักของข้อเหวี่ยงด้วยน่ะครับ มันมาสัมพันธ์กันอีกด้วย 8) 8) 8) 8) 8) หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: ตุ้ยนุ้ย ที่ 03 มิถุนายน 2011, 12:38:12 แล้วตกลงเราควรจะต้องลดน้ำหนักลงสักเท่าไรดีครับบบ ??? ทำอย่างอื่นก่อนดีกว่าไหม ระบบไฟ ลิ้นปีกผีเสื้อ ท่อรวมไอดี มูเล่ลดน้ำหนัก กรองอากาศ พอตไอดี ไอเสีย ถ้าไม่กลัวพังก็กดฝา ถ้ากลัวก็เปลี่ยนลูก เอาลูกหัวนูน ของ ZC มาใสก็ได้ เพิ่งแรงอัด แคม ครัชทองแดง แล้วก็ไปจูนเรลทาม :-[ :-[ :-[ :-[ หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: KaMmYz ที่ 03 มิถุนายน 2011, 12:44:57 ถ้าลงน้ำหนักมากๆ เวลาขึ้นทางชันๆ รถจะไม่มีแรงใช่มั้ยครับ ::)
หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: musachi ที่ 03 มิถุนายน 2011, 13:01:22 เคยเอารถ ครัชทองแดง flywheel เบาๆ ไปลากรถ ek อีกคันนึง
ออกตัวไม่ได้เลยครับ ก้อฝืนออกนะ จนได้นะสุดท้าย ครัชพังทั้งชุด Flywheel ร้าว ซ่อมไปแพงกว่าเรียก Slide on อีกอ่ะ หัวข้อ: Re: ลดน้ำหนักฟายวิน เริ่มหัวข้อโดย: Regis100 ที่ 03 มิถุนายน 2011, 13:07:18 เคยเอารถ ครัชทองแดง flywheel เบาๆ ไปลากรถ ek อีกคันนึง :o :o :o :o :oออกตัวไม่ได้เลยครับ ก้อฝืนออกนะ จนได้นะสุดท้าย ครัชพังทั้งชุด Flywheel ร้าว ซ่อมไปแพงกว่าเรียก Slide on อีกอ่ะ |