ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
23 เมษายน 2024, 17:40:10
หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ข่าว: มีปัญหาการใช้งานเว็บไซต์ หรือติดต่อลงโฆษณา ติดต่อ admin [ไม่ใช่ผู้ขายสินค้า] ที่ 0876889988   หรือ theerachai@siamrx.com หรือ line id: @welovecivic




Custom Search
:::CIVIC CLUB THAILAND:::  |  Civic Club Classifieds => ประกาศซื้อ-ขาย  |  ซื้อ-ขายอะไหล่ ขายรถยนตร์ และประชาสัมพันธ์แนะนำธุรกิจ  |  หัวข้อ: สินเชื่อรถยนต์ ให้ยอดสุง 120% รถผ่อนอยู่ก็ทำได้ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ลงล่าง พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: สินเชื่อรถยนต์ ให้ยอดสุง 120% รถผ่อนอยู่ก็ทำได้  (อ่าน 37051 ครั้ง)
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #80 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2016, 17:01:25 »

ขับรถหน้าฝน เตรียมตัวอย่างไรให้ปลอดภัยหายห่วง
หมดร้อนแล้วอย่าเพิ่งสบายใจ เพราะหน้าฝนมีหลายอย่างที่ต้องกังวล ร้อนจัดอยู่ดี ๆ ในก็ตกไม่ลืมหูลืมตา การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศแบบกะทันหันตลอดเวลา ลักษณะนี้มีผลต่อรถยนต์อย่างที่คุณคาดไม่ถึง แม้ว่าจอดรถไว้เฉย ๆ ไม่ได้สตาร์ทหรือขับไปไหนก็ตามที มันก็ส่งผลให้ของเหลวและหลาย ๆ ส่วนในรถยนต์เกิดเสื่อมสภาพได้เช่นกัน ดังนั้นก่อนที่หน้าฝนจะมาเยือนอย่างเป็นทางการ เห็นควรว่าเราต้องเตรียมความพร้อมให้กับรถยนต์คันโปรดเสียก่อน จะได้ไม่ต้องมานั่งช้ำใจกันภายหลัง
ช่วงก่อนหน้าร้อน เจ้าของรถหลาย ๆ ท่านได้เตรียมความพร้อมรับลมร้อนกันมาบ้างแล้ว การเตรียมพร้อมในหน้าร้อนนั้นคนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าในฤดูไหน ๆ คิดว่าความร้อนของอากาศจะทำให้น้ำมันเครื่องน้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก ฯลฯ เกิดการเสื่อมสภาพอันเนื่องมาจากความร้อน ก็ถูกต้องเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะอีกครึ่งหนึ่งความชื้นภายในอากาศก็สามารถส่งผลให้ของเหลวต่าง ๆ เหล่านั้นเสื่อมสภาพได้ไม่แพ้ความร้อนเลยทีเดียว จึงอยากจะบอกว่า การเตรียมพร้อมในฤดูฝนก็เป็นสิ่งที่เจ้าของรถไม่ควรละเลยเช่นกัน ดังนั้น เรามาเตรียมรถรับมือฤดูฝนที่กำลังจะมาถึงกันเลยดีกว่า
น้ำมันเครื่อง
ส่วนใหญ่ก็จะเปลี่ยนกันตั้งแต่ก่อนหน้าร้อนจะมาเยือนกันไปรอบหนึ่งแล้ว นี่ก็ผ่านพันไป 4-5 เดือนแล้ว รวม ๆ ระยะทางของรถบางคันก็ถึงรอบที่จะต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องกันอีกครั้ง บางคันอาจใกล้ถึงระยะที่จะต้องเปลี่ยนแล้ว ก็น่าจะถือโอกาสนี้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องไปซะเลย เพราะหน้าร้อนที่ผ่านมาน้ำมันเครื่องต้องทำงานหนักมาก ทั้งความร้อนและความชื้นที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศอยู่บ่อย ๆ
หน้าฝนเครื่องยนต์ก็ต้องการน้ำมันเครื่องใหม่ ๆ มาช่วยปกป้องเครื่องยนต์เหมือนกัน เนื่องจากความชื้นในอากาศเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกับน้ำมันเครื่องทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ไม่แพ้ความร้อน ในพื้นที่ที่มีฝนตกชุกจึงต้องให้ความสำคัญกับน้ำมันเครื่องมากขึ้น

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #81 เมื่อ: 03 มิถุนายน 2016, 15:14:56 »

ตรวจสภาพใต้ท้องรถ
เป็นสิ่งสำคัญมากทีเดียว เพราะการปล่อยปละละเลยไม่ตรวจสอบอาจจะทำให้ความเสียหายเกิดมากกว่าที่คุณคิด โดยเฉพาะพื้นที่ซึ่งน้ำท่วมเป็นประจำ การเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง อะไรบ้างที่ต้องทำการตรวจสอบและตรวจเช็ก
อย่างแรกคือบรรดายางหุ้มแร็คและยางหุ้มเพลา เพราะการปริแตกหรือฉีกขาดเพียงเล็กน้อยจะส่งผลเสียหายตามมาเป็นอย่างมาก เพราะน้ำที่ท่วมนองนั้นมักจะมีโคลนทรายและสิ่งสกปรกมากมายปะปนอยู่ น้ำจะเข้าไปชะล้างจาระบีที่อยู่ภายในออกมา และทรายหรือดินที่อยู่ในน้ำก็จะเข้าไปแทนที่ปะปนอยู่กับจาระบีไม่นานก็จะเกิดความหายนะขึ้นกับชิ้นส่วนเหล่านั้น เนื่องจากเป็นชิ้นส่วนที่ต้องเคลื่อนไหว และมีการเสียดสีกันอยู่ตลอดเวลา ทรายและดินเม็ดเล็ก ๆ ที่เข้าไปแทรกอยู่ระหว่างหน้าสัมผัสจะทำให้เกิดการสึกหรออย่างรุนแรงและรวดเร็ว
เหมือนกับการที่คุณเอามือถูกไปมาบนพื้นถนนนั่นแหละ ทรายที่อยู่บนพื้นผิว จะทำให้มือถลอกเอาง่าย ๆ ไม่นานแร็คและเพลาขับก็จะเกิดเสียงดัง การซ่อมแซม จะเป็นเงินก้อนโตมากกว่าการเปลี่ยนยางหุ้มเพลาหรือยางหุ้มแร็คหลายเท่าตัว
การตรวจสอบร่องรอย
การรั่วซึมต่าง ๆ เช่น อ่างน้ำมันเกียร์ อ่างน้ำมันเครื่องซีลท้ายหรือหน้าเครื่อง ทำไมต้องตรวจสอบนั่นก็เพราะว่า การรั่วซึมที่เกิดขึ้นจะทำให้ของเหลวที่อยู่ภายในซึมออกมา เช่น น้ำมันเกียร์ น้ำมันเครื่อง เป็นต้น
ทางออกของน้ำมันเหล่านั้นมันก็กลายเป็นทางเข้าของน้ำและความชื้นได้เป็นอย่างดี และน้ำนี่แหละจะเป็นตัวการทำให้เกียร์ โดยเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ เกิดความเสียหาย โดยเริ่มจากการทำงานของเกียร์ที่ผิดปกติ
ในส่วนเครื่องยนต์ น้ำจะทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพไม่สามารถปกป้องเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อพบร่องรอยการรั่วซึมเกิดขึ้นต้องทำการซ่อมแซมก่อนที่หน้าฝนจะมาถึงโดยไม่ต้องรอ การซ่อมเกียร์หรือยกเครื่องออกมาโอเวอร์ฮอลนั้นค่าใช้จ่ายจะแพงมากกว่าอะไหล่และค่าแรงในการเปลี่ยนซีลหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #82 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2016, 15:41:26 »

การตรวจสอบร่องรอย
การรั่วซึมต่าง ๆ เช่น อ่างน้ำมันเกียร์ อ่างน้ำมันเครื่องซีลท้ายหรือหน้าเครื่อง ทำไมต้องตรวจสอบนั่นก็เพราะว่า การรั่วซึมที่เกิดขึ้นจะทำให้ของเหลวที่อยู่ภายในซึมออกมา เช่น น้ำมันเกียร์ น้ำมันเครื่อง เป็นต้น
ทางออกของน้ำมันเหล่านั้นมันก็กลายเป็นทางเข้าของน้ำและความชื้นได้เป็นอย่างดี และน้ำนี่แหละจะเป็นตัวการทำให้เกียร์ โดยเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ เกิดความเสียหาย โดยเริ่มจากการทำงานของเกียร์ที่ผิดปกติ
ในส่วนเครื่องยนต์ น้ำจะทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพไม่สามารถปกป้องเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อพบร่องรอยการรั่วซึมเกิดขึ้นต้องทำการซ่อมแซมก่อนที่หน้าฝนจะมาถึงโดยไม่ต้องรอ การซ่อมเกียร์หรือยกเครื่องออกมาโอเวอร์ฮอลนั้นค่าใช้จ่ายจะแพงมากกว่าอะไหล่และค่าแรงในการเปลี่ยนซีลหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
น้ำมันเบรก
ถ้าก่อนหน้าร้อนคุณเคยเปลี่ยนไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าห่วง น้ำมันเบรกนั้นส่วนใหญ่คู่มือประจำรถมักระบุว่าควรเปลี่ยนทุก ๆ 40,000 กิโลเมตรหรือทุก ๆ 2 ปี แต่สภาพอากาศร้อนขึ้นอย่างบ้านเราควรจะเปลี่ยนเร็วขึ้น
ลองสำรวจดูว่าถ้ายังไม่เคยเปลี่ยนน้ำมันเบรกในช่วงเกือบ ๆ 2 ปีที่ผ่านมา ถือโอกาสเปลี่ยนซะเลย ตอนนี้จะเป็นการดี เพราะความขึ้นในอากาศจะยิ่งทำให้น้ำมันเบรกที่ใกล้เสื่อม เสื่อมเร็วยิ่งขึ้น และอาจจะทำให้น้ำมันเบรกเดือดจากกรณีใช้เบรกหนัก ๆ เนื่องจากความชื้นที่ปะปนอยู่ในระบบเบรกนั่นเอง

ยาง
ความเปียกลื่นบนท้องถนนนั้นจะทำให้ประสิทธิภาพการทรงตัวและการยืดเกาะถนนลดลง ประการแรกที่ต้องทำคือตรวจสอบการสึกหรอของหน้ายางว่าอยู่ในระดับใดแล้ว โดยที่หน้ายางจะมีระดับบอกการสึกหรอต่ำสุดของยางอยู่
กรณีดอกยางสึกมากจนใกล้ถึงระดับดังกล่าว คุณจะต้องขับขี่ด้วยความระมัดระวังใช้ความเร็วต่ำลง และหลีกเลี่ยงการขับขี่ลุยแอ่งน้ำ เนื่องจากประสิทธิภาพในการรีดน้ำของหน้ายางลดลง ทำให้เกิดอาการเหินน้ำได้ง่าย
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าดอกยางใกล้หมด ถ้าคุณไม่รู้ว่าขีดบอกระดับต่ำสุดของดอกยางอยู่ตรงไหน สามารถทดสอบได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้ไม้บรรทัดเสียบลงไปในร่องของดอกยาง ถ้าร่องดอกยางมีความลึกน้อยกว่า 2 มิลลิเมตรถือว่าอยู่ในระดับอันตราย
ในฤดูฝนนั้นร่องลึกของดอกยางมีความสำคัญมากในการรีดน้ำ ถ้ายางมีสภาพไม่ค่อยดีก็ควรเปลี่ยนใหม่ทันที ยางที่หมดดอกจะทำให้การควบคุมพวงมาลัย การทรงตัว และประสิทธิภาพในการเบรกลดลงอยู่ในขั้นวิกฤติเลยทีเดียว
แม้ว่าสภาพคล่องทางการเงินของคุณจะไม่สู้ดีนัก อย่าคิดว่าการทนใช้ไปก่อนจะเป็นทางออกที่ดี การมีชีวิตอยู่เพื่อใช้หนี้ค่ายางใหม่สักชุดย่อมดีกว่า

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #83 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2016, 16:37:03 »

ใบปัดน้ำฝน
ควรเปลี่ยนทุกปีเมื่อฝนแรกเริ่มตกลงมา หรือถ้าคิดว่ามันยังได้อยู่ก็ควรตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงาน โดยทำความสะอาดกระจกและยางปัดน้ำฝนให้สะอาดก่อน จากนั้นฉีดน้ำแล้วลองปัดดูว่า ใบปัดน้ำฝนสามารถกวาดน้ำบนกระจกหน้าได้เกลี้ยงเกลาหรือไม่
ถ้ามีเส้นของคราบน้ำให้เห็นควรเปลี่ยนใหม่โดยไม่ต้องลังเล และถ้าขณะที่ปัดน้ำฝนทำงานแล้วมีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดหรือครืดคราดก็ต้องเปลี่ยนเช่นกัน เพื่อป้องกันกระจกเป็นรอยในภายหลัง
ไม่ควรซื้อแบบที่เปลี่ยนเฉพาะยางปัดอย่างเดียว เพราะจุดยืดระหว่างโครงใบปัดกับก้านปัดน้ำฝนนั้นส่วนมากเป็นพลาสติก เมื่อโดนแดดนาน ๆ จะกรอบแตกได้ง่าย ของถูกเนื้อยางจะแข็งทำให้กระจกเป็นรอยง่าย
เวลาเลือกซื้อต้องดูสภาพของยางปัดด้วยว่า มีรอยแตกลายงาหรือไม่ อย่าไว้ใจว่าเป็นของใหม่แล้วจะสบายใจ เพราะของเก่าเก็บถูกเอามาขายปนกับของดี ๆ ก็มี
ตรวจเช็กหัวฉีดน้ำและถังพักน้ำด้วยเช่นกัน ปัญหานี้มักจะเป็นกับรถอายุเยอะหรือรถที่ไม่ค่อยได้รับการดูแลเอาใจใส่ ลองสังเกตดูการฉีดของน้ำล้างกระจกว่าแรงดีหรือไม่ และฉีดอยู่ในแนวที่สมควรไหม ถ้าหัวฉีดอุดตันให้ใช้เข็มเล็ก ๆ แยงเข้าไปทำความสะอาดและปรับทิศทางให้ไปแนวกึ่งกลางกระจก
ถ้าทำความสะอาดแล้วพบว่าแรงดันน้ำเบาให้ตรวจเช็กว่ามีท่อทางรั่วหรือไม่ รวมทั้งเช็กสภาพถังพักและปั๊มน้ำฉีดกระจกด้วย หากพบว่ามีอุปกรณ์ชำรุดให้เปลี่ยนใหม่ เพราะของพวกนี้ราคาไม่แพง ซึ่งระบบน้ำฉีดกระจกจะช่วยได้มาก กรณีที่กระจกสกปรกมาก ๆ นอกจากนี้ต้องตรวจเช็กการทำงานของระบบไล่ฝ้าว่ายังทำงานตามปกติหรือไม่ ถ้าไม่ให้แก้ไขโดยเร็ว
Tip : คุณสามารถหาซื้อน้ำยาเคลือบกระจกมาใช้เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็นได้ เพราะในน้ำยาจะมีสารช่วยลดการเกาะตัวของหยดน้ำบนผิวกระจก
กระจกรถยนต์
วิธีการทำความสะอาดผิวหน้าของกระจก
กระจกหน้ารถเป็นส่วนที่ทำให้ใบปัดน้ำฝนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากเมื่อใช้งานไปนาน ๆ คราบแมลง ยางไม้ ละอองน้ำมันจากบรรดารถเมล์หรือรถบรรทุก ฯลฯ จะติดเป็นคราบแข็งที่ผิวหน้ากระจก ทำให้ผิวหน้าของกระจกขรุขระคล้ายผิวส้ม ก่อให้เกิดเสียงดังเวลาทำงานและรอยคราบเป็นเส้น ๆ
การทำความสะอาดโดยใช้น้ำยาเช็ดกระจกอย่างเดียวไม่สามารถทำความสะอาดได้หมดจดวิธีทำความสะอาดที่ได้ผลมากที่สุด คือใช้ใบมีดโกนขูดทำความสะอาดผิวหน้ากระจก โดยใช้ใบมีดโกนแบบแบน ๆ มีด้าม ค่อย ๆ ขูดไปบนผิวกระจกโดยตรง โดยทำมุมเอียงประมาณ 30 องศาเหมือนเวลาช่างตัดผมโกนหน้าให้คุณขูดเบา ๆ ใบในทิศทางเดียวกัน ใจเย็น ๆ ไม่ต้องกดแรง เดี๋ยวกระจกจะเป็นรอย เมื่อขูดจนเกลี้ยงแล้ว ใช้น้ำยาเช็ดกระจกเช็ดซ้ำ แบบนี้จะทำให้กระจกสะอาด ใบปัดน้ำฝนก็จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #84 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2016, 15:49:25 »

ไฟหน้า
การเปลี่ยนไฟหน้าให้สว่างกว่ามาตรฐาน ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยได้ดีเสมอไป โดยเฉพาะแสงสีขาวและสีฟ้า แม้ว่าจะดูสว่างมากขึ้น แต่เมื่อเกิดฝนตก แสงสีขาวและสีฟ้านั้นจะสะท้อนกับละอองฝน ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงเช่นเดียวกับการขับรถฝ่าหมอก และแทบไม่มีประโยชน์เลยด้วยซ้ำ ยามต้องวิ่งกลางฝนเวลากลางคืน แสงไฟโทนออกเหลืองนั้นจะส่องสว่างได้มากกว่า เพราะมีการสะท้อนแสงน้อยกว่า จึงมีความปลอดภัยมากกว่าในการขับขี่
ทั้งนี้ควรจะเลือกให้เหมาะสม อย่าตามแฟชั่นและต้องศึกษาให้ถี่ถ้วน ส่วนท่านที่ต้องเดินทางในพื้นที่ที่ฝนตกชุกเป็นประจำ แนะนำให้ติดสปอตไลท์สีเหลือง เพราะจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางได้มาก แต่จะต้องปรับตั้งลำแสงให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้กวนสายตาผู้ใช้รถท่านอื่น ๆ
มารยาทของการใช้สปอร์ตไลท์นั้นเมื่อเห็นแสงไฟของรถที่สวนมาต้องปิดทันที เพราะจะทำให้ผู้ขับขี่ที่สวนมานั้นตาพร่าเฉียบพลันซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุตามมาได้
รถรุ่นใหม่ ๆ มักจะมีไฟตัดหมอกหลังมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แต่ยังมีเจ้าของรถจำนวนหนึ่งที่ใช้ไม่ถูกกาลเทศะ เช่นเดียวกับพวกที่ชอบเปิดสปอตไลท์หรือไฟตัดหมอกหน้าในเมืองทั้ง ๆ ที่มีไฟถนนและฝนก็ไม่ได้ตก
กรณีฝนตกหนักควรเปิดไฟตัดหมอกหลัง เพื่อเป็นการแสดงตัว เพราะผู้ที่ขับตามหลังมา จะมองเห็นได้ชัดเจนและไกลกว่า ถ้าไม่มีสามารถซื้อมาติดตั้งเพิ่มเติมได้ และควรติดตั้งเพียงดวงเดียวในตำแหน่งที่เหมาะสม เช่น ใต้กันชนหลังด้านขวา (ด้านเดียวกับผู้ขับขี่) เพราะบ้านเราใช้รถพวงมาลัยขวาและขับชิดซ้าย
การติดตั้งด้านขวาเป็นการบ่งบอกถึงความกว้างของตัวรถได้อีกทางหนึ่งด้วย สามารถใช้ได้ทั้งตอนฝนตกและหมอกลงจัด เมื่อทัศนวิสัยเปิดและมองเห็นได้ชัดเจนก็ควรปิดทันที แม้ทัศนวิสัยแย่มาก ๆ ก็ไม่ควรใช้สัญญาณไฟกะพริบหรือไฟฉุกเฉินอย่างเด็ดขาด
อุปกรณ์จำเป็นสำหรับฤดูฝน
อุปกรณ์กันฝน เช่น ร่ม เสื้อกันฝน แม้กระทั่งหมวกต้องเตรียมเอาไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน และที่ขาดไม่ได้คือไฟฉายที่ควรแยกถ่านเอาไว้ต่างหาก และควรเก็บไว้ในช่องเก็บของหรือหลังเบาะ
อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น สเปรย์ไล่ความชื้น กระดาษทิชชู สายลากรถ ผ้าพลาสติกสำหรับปูกันเปื้อน สายพ่วงแบตเตอรี่ต้องมีเอาไว้ ที่ชาร์จแบตฯ มือถือแบบเสียบที่จุดบุหรี่ หรือเพาเวอร์แบงค์ อุปกรณ์เหล่านี้ถ้าเครื่องยนต์ไม่ดับกลางฝนคุณจะไม่นึกถึงความดีและความจำเป็นของมันแน่นอน
อีกอย่างที่พลาดไม่ได้คือเสื้อยืดและผ้าเช็ดตัว เก็บไว้ไม่เสียหาย เพราะหลังจากเปียกคุณคงไม่อยากเข้ามานั่งหนาวหรือเปียกในรถต่อแน่นอน
เมื่อต้องการเดินทางควรตรวจเช็กสภาพอากาศไว้ก่อน ฟังข่าวจราจรหรือพยากรณ์อากาศบ่อย ๆ เมื่อเห็นว่าฝนทำท่าจะตกหนัก ควรหาที่จอดพัก เช่น ปั๊มน้ำมัน ร้านอาหาร หรือจุดบริการของตำรวจทางหลวง รอให้ทัศนวิสัยดีพอแล้วค่อยเดินทางต่อ
การรอให้ฝนตกสักพักจะช่วยให้น้ำฝนชะล้างดินโคลนบนผิวถนนออกไปได้มาก ถนนก็จะลื่นน้อยลง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้อีกทางหนึ่ง เมื่อฝนตกต้องลดความเร็วลงและใช้การสังเกตให้มากกว่าปกติ เพราะมักจะมีน้ำท่วมขังบริเวณคอสะพาน ด้านเอียงในโค้ง ฯลฯ ต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก เพราะน้ำที่ท่วมขังสามารถทำให้รถเสียหลักได้ง่าย ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องไม่ประมาท และถ้าเลี่ยงการขับขี่เวลาฝนตกหนักได้จะเป็นการดีที่สุด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือ GM CAR
Vol.18 No.238 พฤษภาคม 2556
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก differ-autoparts.com , siamsubaru.com , weekendhobby.com , srdriving.com เเละ trekkingthai.com
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #85 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2016, 16:29:10 »

เปลี่ยนยาง ขณะรถยางแตก ผู้หญิงก็ทำได้
ยางรถยนต์เป็นชิ้นส่วนที่มีความสำคัญอันดับต้นๆของรถยนต์ ควรหมั่นเช็กสภาพยาง เติมลมยางทุกสัปดาห์ จะได้ไม่เกิดปัญหายางแตกกลางทาง ส่วนมากแล้วผู้ที่ประสบเหตุมักไม่เคยเปลี่ยนยางมาก่อนโดยเฉพาะคุณผู้หญิงแล้วละก็ เป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาไม่ว่าคุณจะขับรถใกล้หรือไกล ผู้ขับขี่ต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอเรามีขั้นตอนง่ายๆ เปลี่ยนยางรถยนต์ให้ถูกวิธี ไม่ว่าคุณผู้หญิงคุณผู้ชายก็ทำได้ไม่ยาก
ขั้นตอนเปลี่ยนยางรถยนต์
1.เช็กสภาพยางที่เสียหาย
2.รถเก๋ง เปิดฝากระโปรงท้าย นำยางอะไหล่ใต้พรหมออกมา
3.รถกระบะ ใช้เครื่องมือเฉพาะสำหรับนำยางที่อยู่ใต้ท้องรถด้านหลังออกมา (มีอยู่ในชุดเครื่องมือรถ)
4.คลายน็อตล้อก่อนขึ้นแม่แรง (ปลอดภัยกว่า)
5.ใช้แม่แรงค่อยๆยกรถขึ้น (ระวัง! วางแม่แรงผิด กลับหัวกลับหาง)
6.นำยางเก่าที่เสียหายถอดออก
7.นำยางอะไหล่ที่เตรียมใส่เข้าไป
8.ขันน็อตล้อกลับเข้าที่เดิมให้แน่นที่สุด
9.เก็บเครื่องมือ , แค่นี้ก็เรียบร้อย
การเกิดปัญหา ยางรั่ว ยางแตก เกิดได้ด้วยหลายปัจจัยแต่ที่สำคัญมักเกิดจากการปล่อยปละละเลย ไม่เช็กสภาพยาง เมื่อถูกใช้งานก็ย่อมสึกหรอไปตามระยะทางและระยะเวลา การดูแลรักษายางรถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นมีวิธีที่ถูกต้อง ดังนี้
วิธีดูแลสภาพยางรถยนต์
1.เติมลมยางอย่างสม่ำเสมอ
2.สลับยาง ระหว่างคู่หน้า – หลัง (เพื่อการสึกหรอที่เท่ากัน)
3.ถ่วงล้อ (เพื่อกระจายน้ำหนักที่ถูกต้อง)
4.ตั้งศูนย์ล้อทุกครั้งที่เปลี่ยนยาง
5.ใช้ยางรถยนต์ให้เหมาะกับการใช้งานของคุณ
ไม่เพียงเท่านี้ผู้ใช้รถ ผู้หญิงหรือผู้ชาย นิสัยการขับขี่ส่วนบุคลลก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ ยางสึกหรอ ยางรั่ว ยางแตก เช่น ออกรถ-หยุดรถอย่างรุนแรง ขับเบียดฟุตบาท ตกหลุม หักเลี้ยวอย่างรุนแรงกระทันหันบ่อยๆ หากทำตามคำแนะนำ ดังที่กล่าวมา จะลดปัญหา ยางแตก กลางทางได้ และหากเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมา ก็สามารถเปลี่ยนยางด้วยตัวคุณได้ไม่ยากอย่างที่คิด...จบปิ๊ง
http://auto.sanook.com/53597/
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #86 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2016, 11:14:32 »

ง่ายจริง ! ล้างหม้อน้ำรถยนต์ด้วยตัวเอง
หม้อน้ำเป็นส่วนสำคัญของรถยนต์ โดยมีหน้าที่ปกป้องเครื่องยนต์จากความร้อน ทำให้รถยนต์สามารถขับขี่ได้อย่างราบรื่นและยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ให้ยาวนานขึ้น ทั้งนี้ หม้อน้ำก็จำเป็นจะต้องทำความสะอาดเช่นเดียวกับส่วนอื่น ๆ ของรถยนต์
วิธีการตรวจสอบสภาพหม้อน้ำเบื้องต้น ให้บีบท่อยางยางน้ำ ถ้าพบว่าแข็งกว่าปกติ ก็ถึงเวลาที่จะต้องทำความสะอาดกันแล้ว กระปุกคาร์จึงขอแนะนำวิธีการทำความสะอาดหม้อน้ำรถยนต์ที่คุณสามารถทำเองได้มาฝากกันครับ
อุปกรณ์
1. น้ำยาล้างหม้อน้ำ (หาซื้อได้ที่ห้างสรรสินค้าทั่วไป)
2. สายยางฉีดน้ำ
3. ถุงมือกันน้ำ
4. แปรงล้างขวด (ล้างหม้อพักน้ำ)
5. น้ำสบู่
6. แว่นตานิรภัย (กันน้ำกระเด็นเข้าตา)
7. ภาชนะมิดชิดเพื่อทิ้งเก็บน้ำยาหล่อเย็นเก่า
8. ผ้าขี้ริ้ว
9. คีมและไขควง (สำหรับไขปลดหม้อพักน้ำและท่อยาง)
ขั้นตอนที่ 1
หลังจากปล่อยให้เครื่องยนต์และสารหล่อเย็นคลายความร้อนแล้ว เปิดกระโปรงหน้ารถเพื่อเปิดฝาหม้อน้ำและมุดลงใต้ท้องรถเพื่อเปิดหางปลาใต้หม้อน้ำออก ถ่ายเอาน้ำเดิมออกจนหมด โดยควรนำภาชนะมารองน้ำด้วยเนื่องจากสารหล่อเย็นมีพิษแถมมีกลิ่นหอมเรียกแมลงได้ จึงควรต้องกำจัดให้ถูกวิธี เมื่อน้ำในหม้อน้ำออกจนหมดแล้วก็ให้ปิดหางปลาหลวม ๆ ไว้
ขั้นตอนที่ 2
เริ่มทำความสะอาดด้านในหม้อน้ำด้วยเติมน้ำยาล้างหม้อน้ำและน้ำสะอาดลงไปในหม้อน้ำ แล้วจึงติดเครื่องยนต์เพื่อให้น้ำเข้าไปทำความสะอาดในระบบประมาณ 5-10 นาที
ขั้นตอนที่ 3
รอจนเครื่องยนต์เย็นลงแล้วปล่อยน้ำออกมาจากหม้อน้ำ จากนั้นเติมน้ำสะอาดและติดเครื่องอีกครั้ง ทำซ้ำสัก 2 รอบ จนกว่าน้ำที่ออกมาจะใส ไม่มีสีและคราบใด ๆ หลุดออกมา
ขั้นตอนที่ 4
เมื่อหม้อน้ำสะอาดแล้ว ให้ถอดหม้อพักน้ำและท่อยางมาทำความสะอาดด้านในให้เรียบร้อย
ขั้นตอนที่ 5
ติดตั้งหม้อพักน้ำและท่อน้ำเข้าที่ จากนั้นเติมน้ำยาหล่อเย็นผสมน้ำกลั่นในอัตราส่วนที่เหมาะสมจนเต็ม โดยน้ำยาหล่อเย็นจะช่วยถ่ายเทความร้อนของเครื่องได้ดีกว่าน้ำปรกติ ส่วนน้ำกลั่นจะทำให้หม้อน้ำเกิดตะกรันยาก
เป็นอย่างไรบ้างสำหรับวิธีการล้างหม้อน้ำรถยนต์ที่เรานำเสนอไปในวันนี้ นอกจากจะง่ายและช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ที่คุณรักแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการใช้บริการล้างหม้อน้ำ แต่หากทำบ่อยก็ไม่จำเป้นต้องใส่น้ำยาทุกครั้งเพราะอาจทำให้หม้อน้ำผุเร็ว ทั้งนี้คุณควรล้างหม้อน้ำประมาณ 6 เดือนต่อครั้ง เพื่อให้ระบบทำงานเต็มประสิทธิภาพ แต่อย่าลืมกำจัดสารเคมีอันตรายอย่างน้ำยาหล่อเย็นให้เรียบร้อยด้วยด้วยนะครับ
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก autoparts101.com และ pelicanparts.com


บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #87 เมื่อ: 27 มิถุนายน 2016, 15:50:41 »

5 เทคนิคจอดรถให้ปลอดภัยไม่โดนทุบ
การมีรถยนต์เป็นของตัวเอง แม้ว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันได้ขึ้นเยอะ แต่ก็อาจเป็นดาบสองคม ตกเป็นเป้าของมิชฉาชีพให้เสียทรัพท์ได้ด้วยเช่นกัน
ดังนั้น จึงขอแนะนำเทคนิคการจอดรถให้ปลอดภัย ไม่โดนทุบกระจกเอาของมีค่าไป จะทำอย่างไรได้บ้าง?
1.จอดรถในชั้นที่มีทางเข้าห้างฯ
ตามสถิติการโจรกรรมรถยนต์พบว่า มิจฉาชีพมักเลือกก่อเหตุกับรถซึ่งจอดอยู่ในชั้นที่ไม่มีทางเข้าห้างสรรพสินค้า เนื่องจากบริเวณดังกล่าวไม่มีผู้คนพลุกพล่าน สามารถหลบหนีไปได้โดยง่าย
2.จอดรถใกล้ทางเข้าห้างฯ
การจอดรถใกล้ทางเข้าห้างสรรพสินค้า ไม่เพียงแต่ช่วยให้สะดวกสบายยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ยังลดความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุร้ายกับรถของคุณด้วย เนื่องจากยิ่งใกล้ทางเข้ามากเท่าไหร่ ก็จะมีคนเดินผ่านไปผ่านมามากขึ้นเท่านั้น
3.จอดรถในที่ที่มีแสงสว่าง
บางครั้งการจอดรถในห้างสรรพสินค้า อาจมีจุดอับที่มีแสงสว่างไม่มากนัก ซึ่งจุดเหล่านี้เสี่ยงต่อการเกิดเหตุร้ายได้ง่าย ถ้าเป็นไปได้จึงควรเลือกจอดในจุดที่มีแสงสว่าง และไม่เป็นมุมอับจะดีกว่า
4.เก็บของมีค่าให้มิดชิด
ไม่ควรเก็บของมีค่า หรือกระเป๋าถือเอาไว้ในรถ เพราะแม้ว่าในกระเป๋าจะไม่มีของมีค่าอะไร แต่ก็อาจล่อตาหัวขโมยให้งัดแงะรถของคุณได้ ดังนั้นจึงควรเก็บกระเป๋าต่างๆ เอาไว้ในกระโปรงท้ายรถ หรือหากจะเก็บไว้ใต้เบาะ ก็ต้องมั่นใจว่าไม่มีสายกระเป๋าโผล่มาให้เห็นแม้แต่นิดเดียว
5.ตรวจสอบล็อคประตู 2 ครั้งเสมอ
ก่อนเดินออกไปจากรถ ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าทำการล็อกประตูเรียบร้อยแล้ว ด้วยการดึงที่เปิดประตูอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าประตูล็อคแล้วจริงๆ หากเป็นที่จับประตูที่มีสวิตช์สัมผัสระบบ Keyless Entry ก็ให้ใช้วิธีส่องดูตัวล็อคภายในรถ ว่าถูกล็อคเรียบร้อยเป็นอย่างดี
sanook.com
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #88 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2016, 14:23:20 »

อาการผิดปกติของ พัดลมหม้อน้ำ

 สำหรับรถยนต์ 1 คัน ต่างก็มีระบบมากมายแบ่งออกเอาไว้เป็นส่วนๆ และในเรื่องของเครื่องยนต์ก็มีแยกย่อยออกไปอีกเช่นกัน รวมไปถึงระบบระบายความร้อน ซึ่งหลักๆ แล้วเรามักจะนึกถึงแต่หม้อน้ำ เพราะมันถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด แต่ถ้าเกิดไม่มี พัดลมหม้อน้ำ มันก็คงจะเป็นงานหนักมากแน่ๆ สำหรับการทำงานของระบบระบายความร้อน

     และปัจจุบัน ส่วนมากพัดลมหม้อน้ำที่ใช้กันในรถรุ่นใหม่ๆ จะเป็นแบบไฟฟ้าแทบทั้งหมดแล้ว เพราะสามารถควบคุม และใช้ทำงานได้ง่ายกว่าแบบเก่า ที่ขับเคลื่อนด้วยสายพาน โดยใช้แรงหมุนจากเครื่องยนต์นั่นเอง แต่ถึงแม้จะเปลี่ยนเป็นรุ่นไหนก็ตาม หน้าที่ในการทำงานของพัดลมหม้อน้ำก็ยังคงเหมือนเดิม ซึ่งก็คือ ทำหน้าที่ระบายความร้อนให้เครื่องยนต์นั่นเอง

     ส่วนการดูแลรักษาพัดลมหม้อน้ำ จริงๆ แล้วแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่หมั่นตรวจดูสภาพ และการทำงานของพัดลมหม้อน้ำ ว่ายังทำงานปกติดีหรือไม่ ซึ่งการตรวจเช็กนั้น ควรทำพร้อมกันกับการตรวจระดับหล่อเย็น จากนั้นตรวจดูใบพัดว่ามีความเสียหาย แตก หัก ตรงไหนบ้าง ถ้าให้ดี ตรวจดูกรอบ และโครงยึดด้วย ว่ายังติดแน่นในตำแหน่งเดิมรึเปล่า หรือมีตรงไหนหลุด เคลื่อนที่ไปบ้าง


 แต่ถ้าตรวจเช็กแล้ว พัดลมหม้อน้ำมีการทำงานผิดปกติดังนี้

     1. พัดลมหม้อน้ำทำงานตลอดเวลา ต้องมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับพัดลมหม้อน้ำแน่นอน อาจจะเกี่ยวกับระบบหล่อเย็น หรืออาจจะเป็นที่ตัวควบคุมการทำงานของพัดลมก็ได้ ดังนั้นขั้นแรก ให้ฉีดน้ำไปที่หม้อน้ำก่อน (ห้ามฉีดน้ำไปที่ตัวมอเตอร์เด็ดขาด เพราะจะทำให้ชิ้นส่วนภายในเสียหาย หรือถ้าร้ายแรงมากๆ อาจทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร) หากฉีดไปได้สักพักแล้วพัดลมหม้อน้ำหยุดทำงาน เป็นไปได้ว่า การระบายความร้อนของหม้อน้ำผิดปกติ เกิดความบกพร่อง เช่น สารหล่อเย็นมีไม่พอต่อการใช้งานในระบบ, ครีบระบายความร้อนมีอาการอุดตัน, ในหม้อน้ำมีสนิม หรือตะกรันเกิดขึ้น, ปั๊มน้ำเทอร์โมสตัทพัง ฯลฯ

     และหากฉีดน้ำไปพักนึงแล้ว จนรู้สึกได้ว่าความร้อนของเครื่องยนต์ลดลงเป็นปกติ แต่พัดลมยังไม่หยุดหมุน เป็นไปได้ว่า เทอร์โมสวิทช์ หรืออุปกรณ์ควบคุมการทำงานของพัดลมเจ๊งแน่นอน

     2. พัดลมหม้อน้ำไม่หมุนไม่ทำงาน ให้ไปตรวจดูฟิวส์ก่อนเป็นอันดับแรก ว่าเสียรึเปล่า (ดูตำแหน่งของฟิวส์ได้จากคู่มือรถยนต์รุ่นนั้นๆ) หากเช็กดูแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ไปดูขั้วเสียบ และสายไฟเป็นอันดับต่อไป แต่ถ้าตรวจแล้วไม่มีอะไรเสียหายอีก จุดต่อไปที่ต้องดูก็คือ ตัวพัดลม หรือวงจรควบคุม ซึ่งในส่วนนี้เราไม่สามารถซ่อมแซม หรือแก้ไขอะไรได้ คงต้องนำรถเข้าไปตรวจสอบดูที่ศูนย์บริการ หรือไม่ก็อู่ซ่อม เพื่อให้ช่างผู้ชำนาญงานเช็กดูให้

     เนื่องจากวงจรควบคุมของรถบางรุ่น ทำงานเชื่อมต่อร่วมกับกล่อง ECU หรือกล่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ ดังนั้นหากเราซ่อม หรือแก้ไขเองแล้วเกิดความผิดพลาดขึ้นมา มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะอาจได้เสียเงินเพิ่ม เพื่อซ่อม หรือซื้อกล่อง ECU ตัวใหม่นั่นเอง

http://auto.sanook.com/53801/
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #89 เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2016, 17:04:26 »

รวมวิธีไล่หนูในห้องเครื่องรถ หนูเข้ารถยนต์ทำอย่างไรดี


       รวมวิธีไล่หนูในห้องเครื่องรถ ช่วงหน้าฝนหลายคนเจอหนูหลบฝนวิ่งเข้าห้องเครื่องรถยนต์ หนูเข้ารถยนต์ทำอย่างไรดี วันนี้เรามีคำตอบ
อีกหนึ่งปัญหาที่เจ้าของรถยนต์ต้องเผชิญหนักในช่วงหน้าฝน หนูเข้าห้องเครื่องยนต์หรือบางท่านเจอหนูเข้าในตัวห้องโดยสาร จากร่องรอยการก่อกวนไว้ทั้งกลิ่นฉี่-อึหนู ที่ทิ้งไว้ใหเ้ป็นเรื่องน่ารำคาญใจแถมยังสกปรกเป็นที่สะสมของเชื้อโรค บางรายเจอปัญหาหนักที่หนูกัดสายไฟ สายเบรก
ก่อนจะแก้ปัญหาทั้งหมด เรามาทำความเข้าใจพฤติกรรมของหนูกันก่อนเพื่อการแก้ปัญหาได้ตรงจุด โดยได้ 2 กรณีใหญ่ ๆ คือหนูเข้ามาในรถเพราะได้กลิ่นเศษขนม (เข้ามาหาอาหารโดยตรง) กับหนูเข้ามาหลบเพราะเงียบและปลอดภัย แถมมีไออุ่นจากเครื่องยนต์ช่วงพักตัว จากนั้นรถคุณก็เหมือนที่เป็นพักหลับนอนของเหล่าหนูไปโดยปริยาย
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราก็ได้รวมวิธีป้องกัน วิธีไล่หนูเข้ารถยนต์ไว้ดังนี้
- ทำความสะอาดครั้งใหญ่ในห้องโดยสาร และห้องเครื่อง
เดี๋ยวนี้มีบริการที่คาร์แคร์ทั้งทำความสะอาดในห้องโดยสาร และห้องเครื่องยนต์เสร็จสรรพไม่ต้องเปลืองแรง โดยค่าบริการอยู่ที่ประมาณ 100-400 บาท หรือใครว่างทำเองก็ลองไปดูรายละเอียดที่ "ล้างห้องเครื่องให้เงางาม สะอาดเสมือนรถใหม่" ได้ครับ
- กำจัดแหล่งอาหารของหนู
เป็นวิธีการเบสิคใช้ป้องกันหนูคือไม่มีอาหาร ไม่มีแหล่งน้ำก็ไม่หนู ทำความสะอาดรอบ ๆ ที่จอดรถของคุณ การทิ้งขยะสดต้องมิดชิด ถังขยะแตกหรือไม่ฝาปิดให้เปลี่ยนเสีย แหล่งน้ำขังให้เทน้ำออก น้ำขังให้กวาดลงที่ระบาย ขาดอาหาร ขาดน้ำหนูก็ย้ายที่อยู่ไป ไม่มายุ่งกับรถคุณแน่นอน


บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #90 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2016, 16:19:20 »

 เปิดฝากระโปรงรถทิ้งไว้
วิธีนี้ทำก็ต่อเมื่อคุณจอดรถในที่ร่มแบบหลังคาเท่านั้น เพราะการเปิดฝากระโปรงรถทิ้งไว้เป็นการทำให้ในห้องเครื่องไม่เป็นที่สงบเกินไป หนูก็จะไม่ชอบและเลิกเข้ามาอาศัยห้องเครื่องเอง
- หาของสารพัดสิ่งที่หนูเกลียดมาวางไว้
หนูมีจมูกที่ดีและกลิ่นสิ่งฉุน ๆ แต่ก็ต้องรับผลข้างเคียงที่จะมีกลิ่นเหล่านี้ติดเข้ามาในรถด้วย เช่น
ทาน้ำมันก๊าดในห้องเครื่อง ข้อควรระวังคือน้ำมันก๊าดจะกัดวัสดุที่เป็นยาง วิธีทำคือนำแปรยงสีฟันเก่ามาจุ่มและทาบางพื้นที่เลี้ยงไม่โดนซีลยาง
วางลูกเหม็น วิธีที่ดีคือนำลูกเหม็นใส่ตาข่ายตาถี่ ๆ มัดวางไว้เป็นจุด ๆ ก่อนเราใช้รถก็หยิบออก
ยาไล่หนู ขอบอกว่ามีเพียบในตลาดและซูเปอร์มาเก็ต ทั้งของนอกของไทย แบบเม็ด แบบแผ่นแปะ หรือเป็นน้ำยา ก็เลือกมาใช้ได้แต่เช็กเรื่องกลิ่นกันหน่อยก็ดี เอาแบบที่ไม่ฉุนครับ
- ปิดใต้ทองรถให้สนิท
วิธีนี่เปลืองเงินมากหน่อยแต่ก็ได้ผลดีทีเดียว ในรุบางรุ่นก็เก็บใต้ท้องรถดีไม่มีช่องพอให้หนูมุดเข้าแน่นอน ลองไล่เช็กแผ่นใต่รถดูว่าติดจุดยึดครบทุกจุด หรือมีขาดก็เปลี่ยนเสีย หรืออีกวิธีคือเข้าร้านประดับยนต์ ถามหาแผ่นปิดใต่ท้องรถของแต่งสำหรับขาซิ่งทั้งหลาย ประโยชน์หลักคือเพิ่มค่าอากาศพลศาสตร์ของรถให้ดีขึ้นโดยการควบคุมอากาศให้ไหลผ่านใต้ท้องรถได้ดี และประโยชน์รองก็คือปิดหนูเข้าห้องเครื่องได้ครับ


บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #91 เมื่อ: 18 กรกฎาคม 2016, 15:42:08 »

- เลี้ยงแมวสู้
ไม่ว่าวิธีไหน ๆ ก็ยังแก้ไม่ได้ก็ลองหันมาเลี้ยงแมวดู โดยหนูมีสัญชาตญาณที่ไม่ชอบแมว แค่มีกลิ่นเจอแมวก่อกวนตลอด รับรองคุณจะไม่เจอหนูรบกวนอีกแน่นอน
- ย้ายที่จอดรถ
ถือว่าเป็นยอมแพ้เพื่อชนะ เพราะถ้าคุณไม่สะดวกเลี้ยงแมว หมดลูกเหม็นหนูมาใหม่ กำจัดเท่าไหร่หนูก็ไม่หมด จอดรถหน้าบ้านก็ย้ายมาจอดในบ้านเสียจะได้ควบคุมได้ หรือมีพื้นที่จอดในบ้านเยอะ ปรับตำแหน่งจอดให้ห่างท่อ ห่างครัว ห่างถังขยะ ก็ลดความเสี่ยงลงได้เยอะ
แน่อนว่าการป้องกันและกำจัดหนูในห้องเครื่องรถ หนูเข้ารถยนต์เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความอดทนและทำอย่างสม่ำเสมอ เพราะหนูชุดใหม่สามารถแวะมาเยี่ยมเยือนได้เรื่อย ๆ ถ้าสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยทางที่ดีเรามารักษาความสะอาดรอบ ๆ บ้าน รอบ ๆ ที่จอดรถให้ดีจะได้ปลอดหนูอย่างยั่งยืนครับ
http://car.kapook.com/view151786.html


บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #92 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2016, 15:32:01 »

ยอดขายรถยนต์พฤษภาคม 2016 เพิ่ม 16% เป็นบวกสองเดือนติด สัญญาณดีตลาดฟื้น
ยอดขายรถยนต์พฤษภาคม 2016 ขาย 66,035 คัน เพิ่มขึ้น 16.0% เป็นบวกต่อเนื่องสองเดือนติด สะสม 5 เดือนขาย 302,581 คัน ลดลง 2.0%
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนพฤษภาคม 2559 มีปริมาณการขายทั้งสิ้น 66,035 คัน เพิ่มขึ้น 16.0%
- รถยนต์นั่ง 25,050 คัน เพิ่มขึ้น 8.3%
- รถเพื่อการพาณิชย์ 40,985 คัน เพิ่มขึ้น 21.2%
- รถกระบะขนาด 1 ตัน 33,549 คัน เพิ่มขึ้น 29.8%
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนพฤษภาคม 2559
ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 66,035 คัน เพิ่มขึ้น 16.0%
อันดับที่ 1 โตโยต้า 22,307 คัน เพิ่มขึ้น 23.9% ส่วนแบ่งตลาด 33.8%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 12,757 คัน เพิ่มขึ้น 17.3% ส่วนแบ่งตลาด 19.3%
อันดับที่ 3 ฮอนด้า 9,812 คัน เพิ่มขึ้น 10.6% ส่วนแบ่งตลาด 14.9%
ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 25,050 คัน เพิ่มขึ้น 8.3%
อันดับที่ 1 โตโยต้า 8,896 คัน เพิ่มขึ้น 19.6% ส่วนแบ่งตลาด 35.5%
อันดับที่ 2 ฮอนด้า 7,177 คัน เพิ่มขึ้น 18.4% ส่วนแบ่งตลาด 28.7%
อันดับที่ 3 มาสด้า 2,230 คัน เพิ่มขึ้น 13.5% ส่วนแบ่งตลาด 8.9%
ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน* (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) ปริมาณการขาย 33,549 คัน เพิ่มขึ้น 29.8%
อันดับที่ 1 โตโยต้า 12,842 คัน เพิ่มขึ้น 32.2% ส่วนแบ่งตลาด 38.3%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 11,649 คัน เพิ่มขึ้น 19.1% ส่วนแบ่งตลาด 34.7%
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 2,950 คัน เพิ่มขึ้น 34.7% ส่วนแบ่งตลาด 8.8%
ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน: 4,645 คัน
โตโยต้า 1,832 คัน
มิตซูบิชิ 1,203 คัน
อีซูซุ 1,100 คัน
ฟอร์ด 460 คัน
เชฟโรเลต 50 คัน
ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 28,904 คัน เพิ่มขึ้น 22.4%
อันดับที่ 1 โตโยต้า 11,010 คัน เพิ่มขึ้น 20.6% ส่วนแบ่งตลาด 38.1%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 10,549 คัน เพิ่มขึ้น 20.2% ส่วนแบ่งตลาด 36.5%
อันดับที่ 3 ฟอร์ด 2,279 คัน เพิ่มขึ้น 30.5% ส่วนแบ่งตลาด 7.9%
ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 40,985 คัน เพิ่มขึ้น 21.2%
อันดับที่ 1 โตโยต้า 13,411 คัน เพิ่มขึ้น 26.9% ส่วนแบ่งตลาด 32.7%
อันดับที่ 2 อีซูซุ 12,757 คัน เพิ่มขึ้น 17.3% ส่วนแบ่งตลาด 31.1%
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ 2,950 คัน เพิ่มขึ้น 34.7% ส่วนแบ่งตลาด 7.2%
ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นการเติบโตที่เพิ่มขึ้นของตลาดรถยนต์ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 อีกทั้งเป็นการเติบโตที่เพิ่มขึ้นของตลาดรถยนต์นั่งครั้งแรกในรอบ 36 เดือน นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2556
และที่น่าสนใจคือยอดขายรถทุกกลุ่ม โตโยต้า กลับมาครองแชมป์ได้ทั้งหมดอีกครั้งหลังจากที่ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งเสียแชมป์ให้ฮอนด้ามาหลายเดือน กลุ่มกระบะเองก็โดนอีซูซุเบียดแซงอยู่อยครั้งครับ
http://car.kapook.com/view151284.html


บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #93 เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2016, 15:28:28 »

5 สิ่งเข้าใจผิดที่ทำให้เปลืองน้ำมันโดยไม่รู้ตัว

แม้ว่าราคาน้ำมันในช่วงนี้จะค่อนข้างถูก สามารถเติมเต็มถังได้อย่างสบายใจ แต่จะดีแค่ไหนถ้าสามารถขจัดความเชื่อผิดๆ ที่ทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ลองไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง
1.ปล่อยไหลเกียร์ว่าง กินน้ำมันมากกว่า!
หลายคนเข้าใจผิดว่าการปลดเกียร์ว่างแล้วปล่อยไหลให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ด้วยแรงเฉื่อย จะช่วยเซฟน้ำมันได้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เนื่องจากการขับขี่ในตำแหน่งเกียร์ D ตามปกตินั้น หากมีการปล่อยคันเร่ง หัวฉีดจะตัดการจ่ายน้ำมันทันที
แต่หากผลักคันเกียร์ไปตำแหน่ง N แล้วปล่อยไหลล่ะก็ หัวฉีดจะมีการจ่ายน้ำมันในปริมาณเทียบเท่ากับการจอดรถสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้ง ไว้เฉยๆ ซึ่งแน่นอนว่ากินน้ำมันมากกว่า แถมยังจะทำให้ชุดเกียร์ออโต้เกิดความเสียหายอีกด้วย
2.น้ำมันเครื่องน้อย เครื่องยนต์แรงกว่า
ทางที่ดีน้ำมันหล่อลื่นในเครื่องยนต์ควรอยู่ในระดับปกติ ไม่ควรต่ำเกินไปหรือสูงเกินไป หากน้ำมันเครื่องในระบบมีมากเกิน ก็จะทำให้ลูกสูบเคลื่อนที่ได้ช้าลง ทำให้เครื่องอืดแถมกินน้ำมัน แต่หากมีน้ำมันในปริมาณน้อยเกิน ก็ส่งผลต่อประสิทธิภาพการหล่อลื่น ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้เกิดความเสียหายได้
3.ยิ่งขับช้ายิ่งประหยัด
หลายคนเข้าใจผิดว่ายิ่งขับรถช้าลงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งประหยัดน้ำมันมากขึ้นเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง หากขับรถทางไกลด้วยความเร็วช้าจนเกินไป (เช่น 50-60 กม./ชม.) กลับจะทำให้กินน้ำมันมากขึ้น เพราะเครื่องยนต์ไม่ได้ใช้เกียร์สูงสุดในการขับเคลื่อน รวมถึงอาจยังมีการเปลี่ยนเกียร์ไปมาในจังหวะเหยียบคันเร่ง ซึ่งยิ่งทำให้กินน้ำมันเพิ่มขึ้นไปอีก ทางที่ดีควรใช้ความเร็วที่เหมาะสมประมาณ 90-100 กม./ชม. จะได้ความประหยัดมากกว่า
4.ใส่สารแต่งเติมลงในเครื่องยนต์
สารแต่งเติมประเภท Fuel Additive หรือที่เรียกกันติดปากว่า 'หัวเชื้อ' นั้น แทบไม่มีความจำเป็นต้องใช้เลย เนื่องจากยังไม่มีผลการทดสอบยืนยันจากหน่วยงานมาตรฐานที่ระบุว่าช่วยลดอัตรา สิ้นเปลืองได้จริง แถมหากเป็นสารหล่อลื่นสำหรับเติมในเครื่องยนต์ (Lubricant Additive) เหล่านี้มักก่อให้เกิดคราบเหนียว (Tar) ที่ทำให้กินน้ำมันเพิ่มขึ้นไปอีก แถมยังลดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ด้วย เสียเงินเพิ่มขึ้นโดยเปล่าประโยชน์
5.เติมลมยางมาก/น้อยกว่ามาตรฐาน
การเติมลมยางมากเกินไป จะทำให้หน้าสัมผัสยางกับถนนลดน้อยลง แม้จะได้ความประหยัดเพิ่มขึ้น (จิ๊ดเดียว) แต่ก็ต้องแลกกับการยึดเกาะถนนที่น้อยลงด้วย แต่หากลมยางอ่อนเกินไป ก็จะทำให้เกิดแรงเสียดทานกับพื้นถนนมากขึ้น ทำให้เปลืองน้ำมันมากขึ้น ทางที่ดีควรเติมลมยางตามมาตรฐานก็พอ
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #94 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2016, 11:36:13 »

4 เทคนิคเลี่ยงใบสั่งจับความเร็ว ได้ผลชัวร์!
รถยนต์รุ่นใหม่ๆในปัจจุบัน ถูกพัฒนาให้สามารถขับด้วยความเร็วสูงได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น แต่เพื่อความปลอดภัยของผู้ร่วมทาง กฎหมายก็ยังคงจำกัดความเร็วไว้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยที่สุด
จึงขอแนะเทคนิค 4 ข้อที่ช่วยให้รอดพ้นจากเครื่องตรวจจับความเร็วได้ จะมีอะไรบ้าง?
1.รู้จักกฎหมาย
ปัจจุบันพระราชบัญญัติจราจรทางบก ฉบับ 8 พ.ศ. 2551 กล่าวโดยสรุปได้ว่า รถยนต์ส่วนนั่งบุคคลให้ใช้ความเร็วในเขตเมืองไม่เกิน 80 กม./ชม. นอกเมืองไม่เกิน 90 กม./ชม. แต่สำหรับถนนบางเส้นได้มีการอนุโลมให้ใช้ความเร็วได้มากขึ้น เช่น ถนนมอเตอร์เวย์ไม่เกิน 120 กม./ชม. ทางด่วนและทางพิเศษบูรพาวิถีไม่เกิน 110 กม./ชม. เป็นต้น
2.รู้จักตำรวจ
หากเป็นเส้นทางที่เราคุ้นเคยและใช้เป็นประจำ ก็คงพอจะทราบว่ามีการตั้งกล้องจับความเร็ว หรือตั้งจุดสกัดเอาไว้ช่วงไหนบ้าง แต่ในกรณีที่ต้องใช้เส้นทางที่ไม่ชำนาญ ก็อาจลองค้นดูในกูเกิ้ลเอาก็ได้ ว่าถนนเส้นที่จะวิ่งนั้น มีการจับความเร็วตรงจุดไหนบ้าง ทางที่ดีควรเช็คข้อมูลที่ค่อนข้างอัพเดตนิดนึง เพราะคุณตำรวจมักมีการย้ายจุดตรวจอยู่บ่อยครั้ง
3.รู้จักสังเกต
การขับรถทางไกล หากเป็นคนรู้จักสังเกต ก็จะพบว่ารถที่วิ่งอยู่รอบข้างคุณนั้น (โดยเฉพาะรถบรรทุก) มักมีการส่งสัญญาณให้กันไปมาอยู่เรื่อยๆ เช่น ถ้ามีการกระพริบไฟสูงจากรถที่สวนมา อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าข้างหน้ามีด่านตรวจตั้งอยู่ หรือรถที่เพิ่งแซงเราไปด้วยความเร็วสูง จู่ๆก็ลดความเร็วลงต่ำกว่าปกติ อาจแปลได้ว่าเป็นรถเจ้าถิ่นที่รู้ตำแหน่งของกล้องจับความเร็วนั้นเอง
4.รู้จักปฏิบัติตามกฎหมาย
ไหนๆถ้าขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนดมันลำบากนัก ก็ใช้ความเร็วไม่เกินกฎหมายเสียเลยดีกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและควรปฏิบัติอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะไม่ทำให้เครียดแล้ว ยังไม่ต้องห่วงว่าจะโดนใบสั่งส่งตรงไปถึงหน้าบ้าน หรือต้องลงไปเจรจากับคุณตำรวจให้เสียเวลา
ทั้งนี้ เราไม่สนับสนุนให้คุณผู้อ่านทำผิดกฎหมายแต่อย่างใดนะครับ ยกเว้นเสียแต่มีความจำเป็นจริงๆ ก็พอใช้เทคนิคเหล่านี้หลีกเลี่ยงได้นั่นเอง

http://auto.sanook.com/54167/
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #95 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2016, 15:09:09 »

10 สัญญาณบอกเหตุเบรกมีปัญหา

 “เบรก” มีปัญหา หลายคนอาจมีความเชื่อเรื่องจิตสัมผัสลางบอกเหตุ หรือลางสังหรณ์ เวลาที่จะมีภัยหรือมีเรื่องร้ายเข้ามาใกล้ตัว บ้างก็บอกว่ารู้สึกแล้วต้องรีบแก้เคล็ด ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ แต่เรื่องที่เราจะคุยกันในวันนี้ ถ้าพูดแบบภาษาที่พวกช่างชอบใช้กันก็คือ ถ้าคุณสังเกตหรือเจออาการตามที่บอกมา แล้วไม่รีบแก้ไขล่ะก็ ภัยมาถึงตัวคุณแน่ ๆ

          1. เบรกดัง

          อาการ : มีเสียงดังขณะเบรกให้สังเกตว่าดังมาจากจุดใด ดังทุกล้อ หรือแค่ล้อใดล้อหนึ่ง ถ้าดังเป็นคู่ เช่น คู่หน้าหรือหลัง ส่วนใหญ่เกิดจากผ้าเบรกและจานเบรกที่อาจจะหมดแล้วเสียดสีกัน

          แต่ถ้าดังบางจุด อาจเกิดจากมีฝุ่นหรือหินหลุดเข้าไปเสียดสีระหว่างผ้าเบรกกับจานเบรก จึงควรตรวจสอบและแก้ไข บางกรณีก็อาจเกิดจาการใช้ผ้าเบรกที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน ทางที่ดีควรเลือกใช้ผ้าเบรกจากโรงงานหรือยี่ห้อที่มีมาตรฐานเท่านั้น

          2. เบรกสั่น

          อาการ : เหยียบเบรกเบา ๆ แล้วแป้นเบรกสั่นขึ้น-ลง ระยะเริ่มแรกจะส่งอาการมาเบา ๆ ที่แป้นเบรก แต่ถ้าเยอะมาก ๆ อาจรู้สึกสั่นถึงพวงมาลัย หากปล่อยไว้ถึงชั้นรุนแรงอาจสั่นสะท้านไปทั้งคัน สาเหตุเกิดจากจานเบรกคดบิดตัว สึกหรอไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเกิดขึ้นได้เมื่อใช้งานอย่างรุนแรงเกินไป หรือจานเบรกไม่ได้มาตรฐาน สาเหตุอื่น ๆ เช่น เบรกความร้อนสูงแล้วลุยน้ำ อาการนี้เกิดได้ทั้งระบบดิสก์เบรกและดรัมเบรก ควรไปตรวจเช็คและเจียรจานเบรก

        3. เบรกทื่อ

          อาการ : เหยียบเบรกแล้วรู้สึกไม่ค่อยอยู่ จะรู้สึกเบรกแข็ง ๆ ต้องออกแรงเหยียบเบรกมากกว่าปกติ อาการเบรกตื้อ ๆ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น หม้อลมเบรกเริ่มรั่วซึมจากชุดผ้าใบภายในหรือวาล์ว PVC หรือ Combo Vale เสีย ทำให้แรงสุญญากาศของหม้อลมน้อย สำหรับรถเครื่องยนต์ดีเซล อาจเป็นที่ปั๊มสุญญากาศที่บริเวณตูดไดชาร์จเสียรวมทั้งสายลมรั่ว เป็นต้น ควรรีบแก้ไขโดยด่วน

          4. เบรกจม

          อาการ : เหยียบเบรกแล้วแป้นเบรกจมลงต่ำกว่าปกติ หากเหยียบค้างไว้แล้วแป้นเบรกค่อย ๆ จมลง ๆ นั่นเป็นอาการของเบรกจมบ้างก็เรียกเบรกต่ำ ส่วนมากเกิดจากลูกยางแม่ปั๊มเบรกตัวบนสึกหรอ หรือบวม ทำให้แรงดันเบรกลดลง ต้องออกแรงเบรกมากขึ้น หรือทำให้ต้องย้ำเบรก ควรรีบแก้ไขโดยด่วน เพราะสิ่งที่จะตามมาคือเบรกแตก!!!

          5. เบรกแตก

          อาการ : เหยียบเบรกแล้วแป้นจมเบรกไม่ทำงาน มีหลายสัญญาณที่จะเตือนผู้ใช้ก่อนเกิดอาการเบรกแตก หากละเลยใช้งานจนเกิดปัญหาอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อาการเมื่อกดแป้นเบรกจนสุดถึงพื้นรถ หรือนุ่มหยุ่น ๆ ก่อนแล้วจมลงติดพื้น แต่รถยังคงไม่ลดความเร็ว เหมือนไม่มีเบรก สาเหตุอาจมาจากการรั่วของน้ำมันเบรก ท่อทางระบบเบรกแตก หรือน้ำมันเบรกรั่วซึมมาเป็นเวลานาน ลูกยางแม่ปั๊มเบรก และตัวแม่ปั๊มเบรกเสียหายจนน้ำมันเบรกรั่วไหลออกจนหมด หรืออาจเกิดจากชิ้นส่วนของระบบเบรกหลุดหลวม หรือเกิดจากสายอ่อนเบรกแตกการลดความเร็วอย่างปลอดภัยขึ้นอยู่กับความเร็วของรถและเส้นทางขณะที่เกิดเหตุ การค่อย ๆ ลดตำแหน่งเกียร์ควบคู่ไปกับการค่อย ๆ ดึงเบรกมือ (ที่เป็นเบรกมือแบบสาย แบบไฟฟ้าห้ามใช้) จะช่วยลดความเร็วลงได้


บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #96 เมื่อ: 09 สิงหาคม 2016, 15:50:53 »

ห้องโดยสารสกปรก ส่งผลร้ายมากกว่าที่คุณคิด
ห้องโดยสารรถยนต์เมื่อผ่านการใช้งานไปสักระยะหนึ่ง ย่อมต้องมีสิ่งสกปรกเกิดขึ้น ทั้งบริเวณเบาะนั่ง คอนโซล แพงประตู ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และเป็นหน้าที่โดยปกติเช่นกันที่เจ้าของรถจะต้องทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
แต่ถึงกระนั้นผู้ที่ใช้รถทุกวันจะให้มานั่งเช็ดถูทำความสะอาดอยู่บ่อย ๆ ก็คงไม่มีเวลา (บางท่านนาน ๆ กว่าจะล้างรถสักที) หรือแม้แต่พฤติกรรมของคนที่ไม่ใส่ใจรักษาความสะอาดปล่อยให้ฝุ่นจับหนาหรือมีกลิ่นอับ ท่านเหล่านั้น จะทราบหรือไม่ว่า...สิ่งสกปรกที่สัมผัสหรือที่เห็นอยู่รอบตัวในห้องโดยสารสามารถส่งผลเสียต่อสุภาพของผู้โดยสารมากกว่าที่คิด
สิ่งสกปรกที่จะอยู่ในห้องโดยสารหลัก ๆ แล้วก็คือ "ฝุ่น" เกิดขึ้นได้ง่ายจากการเล็ดลอดมาทางระบบปรับอากาศ หรือแค่เพียงเปิดประตู หน้าต่าง ด้วยขนาดที่เล็กมาก ๆ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ฝุ่นจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในห้องโดยสาร และเจ้าฝุ่นที่ว่านี้ ไม่ได้มาแค่เพียงหนึ่งเดียว ยังพาเพื่อนตัวน้อย ๆ ติดสอยห้อยตามมาด้วย ท่านทั้งหลายพอจะเดาออกมั้ยครับว่าฝุ่นมากับใคร? ถ้ายังคิดไม่ออก บอกให้เลยก็ได้ว่า มากับ "ไรฝุ่น" ไงครับ...!!!
"ไรฝุ่น" มันคืออะไร? ใช่แล้ว มันคือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ดูจากชื่อแล้วไม่น่าจะมีพิษสงอะไร แต่ที่ไหนได้ สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ มันคือของแสลงที่สุด ไรฝุ่นเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เป็นสัตว์จำพวกแมลงแต่มีลักษณะคล้ายกับแมงมุมเห็บ หมัด มีขา 8 ขา ขนาดของไรฝุ่นจะวัดได้ 1 ส่วน 100 ของความยาวที่เป็นนิ้ว ซึ่งเทียบแล้วคือเล็กกว่าหัวปากกาลูกลื่นที่จุดลงบนกระดาษเสียอีก อาหารของไรฝุ่น คือ เซลล์ผิวหนังของคนและสัตว์เลี้ยงที่หลุดลอกออกมา
ผิวหนังของคนนั้นโดยทั่วไปจะหลุดลอกวันละประมาณ 1.5 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่มากพอที่จะเลี้ยงตัวไรฝุ่นให้เจริญเติบได้เป็นอย่างดี นอกจากอาหารที่ได้จากคน ไรฝุ่นยังอาศัยพวกใยผ้าและขนสัตว์กินเป็นอาหารได้ด้วย ไรฝุ่นมีตา หายใจทางผิวหนัง ไรฝุ่นชอบอยู่ในที่อุ่น ขึ้น และเต็มไปด้วยฝุ่นละออง เช่น หมอนที่นอน พรม และเฟอร์นิเจอร์ผ้า เป็นสถานที่เหมาะที่สุดสำหรับครอบครัวไรฝุ่น
ภายในห้องโดยสาร วัสดุที่ทำจากผ้าไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งกำมะหยี่ ผ้าบุแผงประตู เพดานห้องโดยสาร ฯลฯ จุดด่าง ๆ เหล่านี้ หากเราปล่อยให้มีสิ่งสกปรกสะสมมาก ๆ เช่น เส้นผม ขนสัตว์ เศษใบไม้ รถของเราก็จะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อให้กับ "โรคภูมิแพ้" ไปโดยปริยาย
โดยปกติแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์มีหน้าที่ที่จะจดจำสิ่งแปลกปลอมที่จะทำร้ายร่างกายของเรา เช่นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ฯลฯ โดยการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อสู้กับเชื้อโรค สำหรับโรคภูมิแพ้นั้น เป็นภาวะที่ภูมิของร่างกายมีปฏิกิริยากับโปรตีนหรือสารก่อภูมิแพ้ Allergen จากสิ่งแวดล้อม
ซึ่งปกติจะไม่มีอันตรายสำหรับผู้ที่ไม่แพ้ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นโรคที่เกิดจาก "ปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้" ปฏิกิริยานี้เริ่มเมื่อเราได้รับสารก่อภูมิแพ้ก็จะเกิดการสร้างภูมิที่เรียกว่า IgE Antibody ตัว Antibody นี้จะกระตุ้น Mast Cell ให้มีการหลั่งสาร Histamin ขึ้นที่เนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น ผิวหนัง ปอด จมูก ลำไส้ ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะ เช่น ลมพิษที่ผิวหนัง คัดจมูกแน่นหน้าอกเนื่องจากหอบหืดบางรายอาจจะรุนแรงถึงกับเสียชีวิตได้ ซึ่งสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นตัวแสบอันดับต้น ๆ มีที่มาจาก "ไรฝุ่น" นั่นเอง

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #97 เมื่อ: 19 สิงหาคม 2016, 11:06:00 »

   สำหรับคำถามที่ว่า "ไรฝุ่นทำให้เกิดภูมิแพ้ได้อย่างไร ?" คำตอบคือ คนที่แพ้ไรฝุ่น หมายถึงคนที่มีปฏิกิริยาต่อโปรตีนในตัวและในมูลของไรฝุ่นที่ตายแล้ว โปรตีนดังกล่าวจะมีผลเสียต่อทางเดินหายใจทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบ และโรคหอบหืด อีกทั้งยังทำให้คนที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคผิวหนังอักเสบมีอาการของโรคมากขึ้น
ซึ่งตัวไรฝุ่นที่ตายแล้วจะมีโปรตีนจำนวนมาก เมื่อเราสูดลมหายใจ หรือผิวหนังของเราสัมผัสกับตัวไรฝุ่นที่ตาย ร่างกายองเราก็จะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา ภูมิต้านทานนี้จะปล่อยสารเคมี ซึ่งทำให้เกิดการบวมและการระคายเคืองของทางเดินหายใจตอนต้น นั่นก็คืออาการของโรคทางเดินหายใจอักเสบ และโรคหอบหืด ที่สำคัญคือ โรคภูมิแพ้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้อีกด้วย
วิธีที่จะป้องกันไรฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง นอกเหนือจากการทำความสะอาดผิวสัมผัสต่าง ๆ ในห้องโดยสารแล้ว ยังต้องทำความสะอาดดูแลรักษาระบบปรับอากาศในรถยนต์ด้วย โดยเฉพาะตู้แอร์ ที่ใครหลายคนบอกว่า "มันคือแหล่งซ่องสุมเชื้อโรค" ไรฝุ่น เชื้อรา แบคทีเรีย ยุ่บยั่บไปหมด
บริการคาร์แคร์ต่าง ๆ หรือร้านแอร์จึงต้องมีบริการล้างตู้แอร์และฆ่าเชื้อโรคเหล่นี้ ปีละ 1 ครั้งก็ยังดี เพราะฝุ่นจากภายนอกจะเข้ามาในระบบปรับอากาศทุกครั้งที่เปิดแอร์ เมื่อฝุ่นละอองมาเกาะอยู่ตามแผงคอยล์เย็นในตู้แอร์ ทุกครั้งที่เปิดแอร์ ลมก็จะพัดเอาฝุ่นเล็ก ๆ เข้ามาในตัวรถ ยิ่งนั่งอยู่ในรถนาน ๆ ก็ยิ่งสุดฝุ่นสะสมเข้าไปในร่างกายมากขึ้น รวมทั้งสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดกลิ่นอับ โรคภูมิแพ้หวัดเรื้อรัง
เชื้อราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบความชื้นเป็นพิเศษ วันไหนรถเจอน้ำเจอฝน ลืมปิดกระจก รถมีรอยรั่วซึมจนน้ำเล็ดลอดเข้ามาสร้างความชื้นสะสมได้ หรือการขับรถลุยน้ำ ก็จะต้องโดนความชื้น และตามมาด้วยเชื้อราถ้าไม่รับทำความสะอาด
การกำจัดเชื้อราสำหรับพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวกไม่ยากอะไร ไล่ความชื้นตากแดดปล่อยให้ลมโกรกหลังทำความสะอาด เท่านี้ก็ไล่เจ้าตัวร้ายไปได้ แต่ถ้าเป็นในห้องโดยสารรถยนต์ที่มีซอกมุม ต้องถอดรื้อออกมาทำความสะอาดกันยกใหญ่
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #98 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2016, 15:13:35 »

ยิ่งในกรณีของรถที่ได้รับความชื้นนาน ๆ อาจมีเชื้อราขึ้นตามเบาะ เพดานหลังคา พรมปูพื้น ช่องเก็บของท้ายรถ วัสดุหุ้มพวงมาลัย คอนโซล และที่มองไม่เห็นคือในระบบปรับอากาศ วิธีกำจัดเชื้อราในรถยนต์ที่จะนำมาบอกกล่าวกินในวันนี้ คือ การใช้น้ำส้มสายชูกลั่นชนิดใสไม่มีสี (อย่าใช้น้ำส้มสายชูกลั่นชนิดใสไม่มีสี (อย่าใช้น้ำส้มสายชูปลอม) ซึ่งมีกรดอะซิดิกหรือกรดน้ำส้มประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ นำมาใส่ในกระบอกฉีดพ่นละอองน้ำที่สะอาดจอดรถในที่โล่งห่างไกลคน และมีการระบายอากาศที่ดีเปิดประตูออกทั้งหมด
ขณะทำความสะอาดให้สวมหน้ากากกันฝุ่นชนิดที่กรองสปอร์ของเชื้อรา ฉีดพ่นสเปรย์น้ำส้มสายชูไปตามบริเวณที่มีราขึ้นภายในรถ ฉีดให้ทั่วแล้วทิ้งไว้ ต้องระวังอย่าสูดดม หรือให้ปลิวเข้าตา ความเป็นกรดของน้ำส้มสายชูจะฆ่าเชื้อรา และจะระเหยหมดไปเองโดยไม่มีสารตกค้าง เมื่อระเหยหมดแล้วอาจฉีดสเปรย์ซ้ำอีกรอบเพื่อให้มั่นใจว่าฆ่าเชื้อราได้อย่างสิ้นซาก!!! ถ้าเห็นว่ามีคราบเชื้อราที่ตายแล้วติดอยู่ตามพื้นผิวก็ใช้ผ้าชุบน้ำยาทำความสะอาดเช็ดออกและทิ้งผ้านั้นไป ถ้าเป็นเผ้ากำมะหยี่อาจต้องใช้แปรงพลาสติคขัดและใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดออก ควรสวมหน้ากากกันฝุ่นตลอดเวลา เพราะเศษซากของเชื้อราที่ตายแล้วถ้าหายใจเข้าไปก็อาจทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้
หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว ช่วงแรกนี้ให้หมั่นตรวจสอบว่ามีความชื้น หรือเชื้อราเกิดขึ้นที่อื่นที่มองไม่เห็นหรือไม่ เพราะความชื้นจะค่อย ๆ ออกมา เชื้อราจะใช้เวลา 24-50 ชั่วโมงในการเจริญเติบโต ถ้าขึ้นอีกให้ทำซ้ำในวิธีการเดิม ในช่วงนี้อาจจะต้องนำรถไปจอดตากแดดเพื่อไล่ความชื้นอาจใช้ไดร์เป่าผมช่วยเป่าอีกแรง สำหรับการทำความสะอาดวัสดุที่ผิวแข็ง
สุดท้ายสิ่งสกปรกในรถยนต์ ใช้ว่าจะมีเพียงแต่ตาเห็น! หรือมองไม่เห็นใช่จะหมายความว่าไม่มี ทางที่ดีป้องกันไว้ หมั่นทำความสะอาดภายในห้องโดยสาร อย่าให้ความสำคัญกับความสวยงามภายนอกเพียงอย่างเดียวเพราะมันอาจหมายความถึงโรคหรืออาการทรมานไม่มีที่สิ้นสุด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือยานยนต์
ปีที่ 46 เล่มที่ 577 มิถุนายน 2557
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #99 เมื่อ: 26 สิงหาคม 2016, 15:03:10 »

วิธีรับมือเมื่อรถยางแตก – ระเบิด ขณะขับรถ
ทุกวันนี้การขับขี่บนท้องถนน มักมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นบ่อยๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความประมาท ซึ่งหากไม่เกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง ก็อาจเป็นเพราะคนอื่น โดยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ และบางครั้งมันก็อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้งานแบบไม่ทันตั้งตัว อย่างเช่น ยางแตก ยางระเบิด
โอกาสที่จะเกิด ยางแตก ยางระเบิด ถือว่ามีน้อยมากกว่าการเกิดอุบัติเหตุประเภทอื่นๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย และถ้ามันเกิดขึ้น ในขณะที่คุณขับรถมาด้วยความเร็ว จะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งคุณคงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้น แต่ถ้ามันสุดวิสัย เกิดขึ้นมาจริงๆ ล่ะ คุณจะทำยังไง?
เอาเป็นว่า มาดูวิธีรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉิน ยางแตก ยางระเบิด เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดกันดีกว่า
1. ควบคุมสติของตนเอง อย่าตื่นตกใจเกินไป เพราะหากคุณควบคุมสติได้ดี เปอร์เซ็นต์ความปลอดภัยก็จะมีมากขึ้น
2. ใช้มือทั้ง 2 ข้าง จับพวงมาลัยให้แน่น และมั่นคง เพื่อประคองรถให้กลับมาอยู่ในเลน เพราะรถอาจเกิดอาการส่ายไปมาจากแรงระเบิด บวกกับความเร็วที่ใช้อยู่ในขณะนั้น
3. มองดูกระจกหลังว่ามีรถตามมาหรือไม่ และเปิดไฟฉุกเฉิน (ห้ามดึงเบรกมือเด็ดขาด เพราะจะทำให้รถหมุนกลางถนน)
4. กดเบรคแต่ไม่ต้องแรงมาก ค่อยๆ ผ่อน ค่อยๆ กดลงไป เพราะหากกดเบรคแรงๆ อาจทำให้รถหมุนได้ (ในรถเกียร์ธรรมดา ห้ามเหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้รถไม่เกาะถนน ควบคุมได้ยากขึ้น จนอาจเสียหลักได้)
5. เมื่อความเร็วลดลงแล้ว ให้ประคองรถเข้าไหล่ทางด้านซ้าย (ระวังรถที่ขับตามหลังมาด้วย)
6. เมื่อสามารถควบคุมรถได้แล้ว ให้จอดบริเวณที่ปลอดภัย (ไหล่ทางที่กว้างพอ เพื่อไม่ให้รถที่ขับมาจากด้านหลังเฉี่ยว ชน ฯลฯ)
และหลังจากจอดรถเข้าข้างทางเรียบร้อย สิ่งต่อไปที่ต้องทำก็คือ เปลี่ยนยางเส้นที่แตกด้วยยางอะไหล่ หรือถ้าไม่มียางอะไหล่สำรอง ก็ต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เช่น เพื่อนร่วมทาง, ครอบครัว, รถยก, รถลาก ฯลฯ
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ยางรถยนต์เกิดแตก หรือระเบิดขึ้นมา มีหลายอย่าง แต่หลักๆ จะมีดังนี้
1. บรรทุกของจนน้ำหนักเกินมาตรฐานมากเกินไป
2. ลมยางอ่อนมากเกินไป เพราะแรงดันลมยางที่อยู่ภายในยางมีน้อย จึงทำให้ยางรถผิดรูป ไม่กลมแบบที่ควรจะเป็น
3. หลุม บ่อ ถนนพัง ที่มีอยู่ทั่วไปบนท้องถนนเมืองไทย
4. ไม่ได้ดูแล ตรวจสภาพยางรถยนต์ จนยางเสื่อมสภาพ หมดอายุการใช้งาน
สุดท้ายนี้ ขอย้ำเตือนเลยว่า สติ สำคัญที่สุดในกรณีที่เกิด ยางแตก ยางระเบิด และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้น คุณสามารถทำได้ด้วยการ ตรวจเช็กยางรถยนต์อยู่เสมอ คอยสังเกต คอยดูว่ายางมีปัญหา หรือมีอาการผิดปกติอะไรหรือไม่ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสี่ยงกับอันตรายแบบนี้
http://auto.sanook.com/
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #100 เมื่อ: 01 กันยายน 2016, 16:41:10 »

สัญญาณอันตราย น้ำมันใต้ท้องรถ
การดูแลรักษารถยนต์ นอกจากจะต้องใส่ใจ ตรวจเช็กระยะให้ตรงตามกำหนดแล้ว คุณยังต้องช่างสังเกตอีกด้วย เพราะบางครั้งการสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ เช่น คราบน้ำมันบนพื้นที่จอดรถของคุณ ก็อาจช่วยคุณได้ทันเวลา
เนื่องจากหากพบความผิดปกติช้าเกินไป มันอาจส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ของคุณบางส่วน หรือทั้งระบบก็ได้ แถมยังต้องเปลืองเงินซ่อมเมื่อตอนที่สายไปอีกด้วย เอาเป็นว่า หากพบเจอคราบน้ำมันที่พื้น ให้สังเกตดูว่า น้ำมันเหล่านั้นมีสีอะไร เพราะเครื่องยนต์แต่ละส่วนใช้น้ำมันหล่อลื่นไม่เหมือนกัน แต่ก่อนอื่น มาดูกันก่อนดีกว่าว่า ปัญหาเหล่านี้เกิดจากอะไรได้บ้าง
สาเหตุที่ทำให้เกิดน้ำมันหยดรั่ว
1. ซีลยางต่างๆ เสื่อมสภาพ เนื่องจากอายุการใช้งาน
2. เกิดเหตุจากการใช้งาน เช่น ครูด กระแทก ใต้ท้องรถ ฯลฯ
3. การดัดแปลงเครื่องยนต์ การเปลี่ยนชิ้นส่วนที่ไม่เข้ากัน และขันน็อตยึดต่างๆ ไม่แน่น
จุดสังเกตุอีกอย่างที่จะทำให้เรารู้ว่า น้ำมันที่หยดลงพื้นเป็นอะไรก็คือ ตำแหน่งของห้องเครื่องรถเรานั่นเอง ซึ่งโดยปกติทั่วไปตามรถตลาดบ้านเรา สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า ถ้ามีรอยหยดอยู่ทางด้านขวาของรถ (ฝั่งคนขับ) ให้คิดไว้เลยว่าน้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันเบรก แต่ถ้าเป็นทางด้านซ้าย (ฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ) ก็อาจเป็นพวกระบบส่งกำลัง น้ำมันเกียร์ หรือน้ำมันเพาเวอร์ และหากเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง ตำแหน่งต่างๆ ตามที่กล่าวมา จะอยู่ในแนวเดียวกันตรงกลาง ทำให้แยกปัญหายากกว่าเดิม ดังนั้นจึงต้องสังเกตสีน้ำมันที่หยดแทน
สีน้ำมันที่หยดลงพื้นคืออะไร
1. สีน้ำมันที่หยดเป็นสีใส หรือขุ่นดำ อาจเป็นน้ำมันเครื่อง หรือน้ำมันเบรก
2. สีน้ำมันที่หยดเป็นสีแดงใส อาจเป็นน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ หรือน้ำมันเพาเวอร์
3. สีน้ำมันที่หยดเป็นสีใส หรือขุ่นดำ มีความเหนียวหนืดมากกว่าปกติ อาจเป็นน้ำมันเกียร์ธรรมดา
4. สีน้ำมันที่หยดเป็นสีใส หรือขุ่นดำ มีความเหนียวหนืดมากกว่าปกติ อาจเป็นน้ำมันเฟืองท้าย
หากพบเจอน้ำมันหยดใต้ท้องรถตามนี้แล้ว ให้เช็กอาการดูให้ดี แม้บางครั้งจะหยด หรือรั่วน้อยก็ยังสามารถขับต่อไปได้ แต่ถ้าเกิดขับๆ อยู่แล้วรั่วเป็นน้ำก๊อก เสียหายมากกว่านั้นขึ้นมา มันไม่คุ้มค่าแน่นอน ทางที่ดีเข้าอู่ซ่อม หรือศูนย์บริการดีกว่า เพื่อตรวจเช็กให้ละเอียด จะได้ซ่อมแซม แก้ไขได้ทัน ไม่อย่างนั้นแทนที่จะซ่อมแค่จุดเดียว อาจลามไปทั้งหมด หรือแย่สุดๆ ต้องเปลี่ยนยกเครื่องใหม่ไปเลยก็ได้
และอีกอย่างที่ต้องระวังไม่แพ้กันก็คือ น้ำมันเชื้อเพลิง เพราะถ้าหากรั่วขึ้นมา อันตรายมากกว่าแน่ๆ ซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถสังเกตได้ง่าย เพราะกลิ่นจะเด่นชัดที่สุด หากขับรถอยู่แล้วได้กลิ่นมากผิดปกติ ควรรีบจอดข้างทางแล้วดับเครื่องทันที และอย่าทำให้เกิดประกายไฟ หรือความร้อน จากนั้นติดต่อศูนย์บริการให้ไวที่สุด เพื่อนำรถไปตรวจสอบให้ละเอียด ว่าน้ำมันเชื้อเพลิงรั่วได้อย่างไร
http://auto.sanook.com/
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #101 เมื่อ: 03 กันยายน 2016, 11:30:23 »

ถ้าเราขับรถชนคนเดินเล่น Pokémon GO ผิดไหม?

 เปิดตัวมาแล้ว อาทิตย์กว่าๆแล้วกับโปเกมอน โก เป็นอย่างไรบ้างเหล่าโปเกมอนโกเทรนเนอร์ เลเวลเท่าไหร่กันแล้ว? โปเกมอน การ์ตูนขวัญใจของเด็กๆ ยุค 90 จนถึงเด็กๆ ยุคปัจจุบัน เพราะการผจญภัยตามล่าโปเกมอนที่น่าติดตามของซาโตชิและก๊วนเพื่อนและตัวการ์ตูนที่น่ารักอย่างเช่น ปิกาจูและผองเพื่อน เมื่อมาเป็นเกมโปเกมอน โกแล้วจึงเรียกเสียงฮือฮาได้ทั่วโลก ทุกวันนี้ที่เมืองไทย ไม่ว่าไปไหนก็เจอคนก้มหน้าก้มตาจับโปเกมอน

     อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมขับรถไปลงประชามติมา ด้วยความที่วันอาทิตย์เป็นวันพักผ่อน ผมจึงนอนตื่นสาย ตื่นมาประมาณเกือบเที่ยง กว่าจะอาบน้ำกินข้าว รู้ตัวอีกที คูหาเกือบปิด! ผมเลยรีบบึ่งไปลงประชามติ ช่วงเวลาฉุกละหุกนั้น ผมดันเจอคนก้มหน้าเล่นโปเกมอน โกเดินข้ามถนน ตอนไฟข้ามถนนเป็นสีแดงคร้าบบบบ ผมเกือบชนโปเกมอนเทรนเนอร์ตายแล้ว!! ผมหงุดหงิดมากเลย ผมขับรถดีๆ เจอเทรนเนอร์เดินไม่ดูทาง ถ้า ผมชนไปจริงๆ แล้วใครผิดกันล่ะนี่!

     ผมกลับมาคิดๆ ดูแล้ว ผมผิด! ขับรถชนคน ไม่ว่าอย่างไรรถก็ผิด! ใช่แล้ว โลกไม่เท่าเทียม โชคดีนะที่ ผมทำประกันรถยนต์ชั้นไว้ ถึงแม ผมจะผิดแต่ประกันก็จ่ายค่ารักษาเทรนเนอร์ (ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก)  แต่จ่ายเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับประกันแต่ละประเภทที่เราซื้อไว้ ส่วนใหญ่คุ้มครอง 1 ล้านบาท และ 500,000 บาทต่อคน และ 10,000,000 ต่อครั้ง

     หมายความว่า ถ้าเราขับรถชนเทรนเนอร์ ถ้าเขาบาดเจ็บ ประกันจะจ่ายค่ารักษาตามจริงให้ แต่ถ้าเขามีอันตรายถึงชีวิต ประกันก็จะต้องจ่ายตามมูลค่าชีวิตของเขาคนนั้นโดยให้ศาลเป็นคนประเมินมูลค่าชีวิตให้

     โอโห ฟังแล้วก็เหนื่อยเลย ถ้าขับรถชนเทรนเนอร์มีเเต่เรื่องวุ่นวายทางที่ดีเราต้องตั้งใจขับรถนะ ไม่ควรจับโปเกมอนระหว่างขับรถ มองทางดีๆ เพราะตอนนี้เหล่าเทรนเนอร์เขาจริงจังเหลือเกิน

 

     ข้อมูลจาก:  https://www.frank.co.th/
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #102 เมื่อ: 05 กันยายน 2016, 20:19:48 »

ทำไมเวลาจอดรถต้องเอาหน้าออก? ไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัย ยังมีสาเหตุที่สำคัญกว่านี้อีก
เวลาจอดรถ เพื่อนๆหลายคนชอบเอาหน้าเข้าเพราะสะดวกและรวดเร็ว แต่วิธีที่ถูกต้องคือต้องเอาหน้าออก ไปดูกันเลยว่าทำไม?
สาเหตุที่ว่าทำไมเวลาจอดรถต้องเอาหน้าออก มี 5 สาเหตุด้วยกัน
1.เวลาจะขับรถออกสะดวกและรวดเร็ว
เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น เราต้องรีบขับรถออกไป ถ้าเราจอดรถโดยเอาหน้าออก มันจะช่วยให้เราออกตัวได้เร็ว เป็นเหตุให้ในหลายประเทศตำรวจจะจอดรถโดยการเอาหน้าออกเสมอ
2.ป้องกันขโมย
ณ ปัจจุบัน มีการขโมยของในรถเกิดขึ้นบ่อยมาก เวลาเอารถหันหน้าออก เราจะสามารถเห็นการกระทำของโจรจากกระจกข้างรถได้
3.ความปลอดภัย
ในโรงจอดรถ ถ้าต้องจอดในที่จอดแคบๆ แล้วเราจะจอดโดยการเอาหน้ารถเข้าจะมีโอกาสสูงมากที่จะไปชนรถคนอื่น หรือมีคนเดินผ่านมาก็อาจจะชนเขาได้ด้วย แต่ถ้าเอาหลังเข้าโอกาสเสี่ยงพวกนี้จะลดน้อยลง
4.ประหยัดน้ำมัน
เมื่อเพื่อนๆได้ทำการสตาร์ทรถ แล้วกำลังจะขับออก เครื่องยนต์ยังอยู่ในสภาพที่เย็นอยู่ ถ้าเราจอดรถโดยการเอาหน้าเข้า เครื่องยนต์ที่อยู่ในสภาพที่เย็นอยู่ เวลาขับด้วยเกียร์ถอยหลังจะเป็นการกินน้ำมันมาก ในทางตรงกันข้าม รถยนต์กำลังใช้งานอยู่ แล้วเราต้องการจะจอดรถ เครื่องยนต์อยู่ในสภาพร้อนอยู่ ถ้าเราขับด้วยเกียร์ถอยหลังจะไม่กินน้ำมันมาก เพราะฉะนั้นการจอดรถด้วยวิธีเอาหน้าออกเป็นวิธีที่สามารถประหยัดน้ำมันได้
5.กรณีพิเศษ
ถ้ารถของเพื่อนๆแบตหมด สตาร์ทไม่ติด ปัญหาแบบนี้จะแก้ไขยังไง ปกติก็จะขอให้รถคันอื่นมาช่วยพ่วงแบตเตอรี่ใช้ไหมล่ะครับ แต่ถ้ารถของคุณจอดแบบเอาหน้ารถเข้า รถคนอื่นจะมาพ่วงแบตกับรถคุณลำบากมาก แต่ถ้าจอดรถโดยการเอาหน้าออกก็จะไม่เกิดปัญหาแบบนี้
เพราะฉะนั้นอย่ามองข้ามเรื่องเล็กๆเช่นเรื่องการจอดรถให้ถูกวิธี เพื่อที่จะสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ ย้ำ! เวลาจอดรถให้เอาหลังเข้านะครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก : liekr
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #103 เมื่อ: 08 กันยายน 2016, 20:30:11 »

4 สิ่งห้ามทำหลังฝนตก อาจต้องทำสีรถใหม่ไม่รู้ตัว


 หน้าฝนแบบนี้ถือเป็นตัวการที่ทำให้สีรถเกิดความเสียหายได้ง่าย ทั้งสิ่งสกปรกที่ติดมากับน้ำฝน ละอองน้ำจากพื้นถนน รวมถึงยังเป็นสาเหตุให้ตัวถังเกิดสนิมได้เร็วยิ่งขึ้นด้วย

      จึงมีข้อแนะนำในการดูแลรักษาสีรถช่วงหน้าฝน เพื่อป้องกันไม่ให้สีรถสุดที่รักเป็นรอยหรือสนิมก่อนวาระอันควร จะมีอะไรบ้าง?

 

1.เช็ดรถด้วยผ้าแห้งขณะรถเปียกฝน

      หลังจากที่ขับรถฝ่าสายฝนมาใหม่ๆ หลายคนคงอยากให้รถกลับมาแห้งเหมือนเดิมโดยเร็ว แต่การใช้ผ้าแห้งเช็ดบนตัวถังที่เปียกในทันที จะทำให้รถเป็นรอยได้ เนื่องจากน้ำมีสิ่งสกปรกเกาะตัวอยู่ เช่น ดิน, ทราย, เศษไม้ เป็นต้น ทางที่ดีควรล้างรถไปเลยจะดีกว่า หรืออย่างน้อยก็ใช้น้ำแรงดันสูงฉีดสิ่งสกปรกเหล่านั้นให้หลุดออกไปเสียก่อน

 

2.จอดรถกลางแดดจัดขณะเปียกฝน

      หลังจากฝนตกใหม่ๆ ไม่ควรจอดรถไว้กลางแดดทันทีหากเลี่ยงได้ เพราะจะทำให้คราบน้ำฝนเหล่านั้นกลายเป็นรอยฝังแน่น ส่งผลต่อชั้นสีรถได้

 

3.ไม่ล้างรถเลย

      หลายคนคิดว่าหน้าฝนไม่จำเป็นต้องล้างรถ เพราะอย่างไรเดี๋ยวฝนก็ตกอยู่ดี ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะการล้างรถจะช่วยป้องกันคราบฝังแน่นที่เกิดบนผิวรถ ซึ่งอาจทำให้สีรถเกิดความเสียหาย โดยเฉพาะคราบมูลนกที่ทำให้เกิดรอยด่าง ซึ่งจะไหลย้อยไปตามจุดต่างๆเมื่อโดนฝน ดังนั้นจึงควรล้างรถอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง แม้ว่าจะเป็นช่วงหน้าฝนก็ตาม

 

4.สีถลอกต้องรีบทำสี

      หากผิวรถมีรอยถลอกชนิดเปิดหน้าเหล็กด้านในให้เห็น แบบนี้ควรรีบทำสีทันที เพราะคราบน้ำจะไปสะสมที่เนื้อเหล็กโดยตรง หากใช้ไปนานๆ อาจทำให้สีบริเวณปูด และลอกออกเป็นแผ่นๆได้

 
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #104 เมื่อ: 13 กันยายน 2016, 20:44:12 »

ระวัง! ขับรถป้ายแดงอาจโดนปรับ 1 หมื่นบาท
ช่วงนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะเจอกับรถป้ายแดงอยู่เสมอ เพราะยังมีรถใหม่น่าซื้อให้ได้เป็นเจ้าของกันอย่างไม่ขาดสาย
แม้ว่าหลายคนจะภูมิใจกับการใช้รถป้ายแดง แต่รู้หรือไม่ว่า ตามกฎหมายแล้วการขับรถป้ายแดงมีข้อห้ามสารพัด ซึ่งหากคุณตำรวจบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ก็อาจต้องเสียค่าปรับหลักหมื่นโดยไม่รู้ตัว คราวนี้ Sanook! Auto จะพาไปรู้จักการขับขี่รถป้ายแดงที่ถูกต้องตามกฎหมายกัน
1.ต้องลงคู่มือป้ายแดงเสมอ
รถป้ายแดงจะมาพร้อมกับสมุดคู่มือประจำรถ ซึ่งการขับรถทุกครั้งจะเป็นต้องลงรายละเอียดให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นชื่อผู้ขับรถ, เวลาใช้รถ, จุดหมายปลายทาง ฯลฯ ซึ่งปกติแล้วตำรวจจะอนุโลมไม่ตรวจเช็คสมุดดังกล่าว แต่อย่าลืมว่าตามกฎหมายแล้วคุณต้องลงเล่มทะเบียนทุกครั้งที่ใช้งาน หากมิเช่นนั้นจะมีความผิดตามมาตรา 28 และ มาตรา 61 ถูกปรับเป็นเงินไม่เกิน 1,000 บาท หากคุณตำรวจเอาจริง
2.ใช้กลางคืนได้แต่ต้องได้รับอนุญาต
ปกติแล้วรถป้ายแดงจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานตอนกลางคืน เนื่องจากง่ายต่อการกระทำผิดและหลบหนี เนื่องจากแผ่นป้ายสีแดงจะมองเห็นได้ยากกว่าป้ายสีขาวทั่วไป แต่หากมีความจำเป็นจริงๆ ผู้ขับขี่จะต้องลงบันทึกการใช้รถ พร้อมทั้งต้องมีลายเซ็นจากนายทะเบียน จึงจะสามารถใช้งานในเวลากลางคืนได้ตามกฎหมาย
3.ห้ามวิ่งข้ามเขต
ตามกฎหมายแล้วรถป้ายแดงจะสามารถใช้งานได้เฉพาะจังหวัดที่ระบุไว้บนแผ่นป้ายเท่านั้น หากจำเป็นต้องใช้งานข้ามจังหวัด ผู้ขับขี่มีความจำเป็นต้องลงบันทึกการใช้รถ พร้อมทั้งได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนเสียก่อน หากเอกสารถูกต้องตามนี้ รับรองว่าตำรวจไม่มีทางเอาผิดได้แน่นอน
4.ใช้ป้ายแดงเกินไปอาจโดนปรับหนัก
ป้ายแดงสามารถใช้งานกับรถแต่ละคันได้เพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ซึ่งปกติเจ้าของรถจะได้รับป้ายขาวภายใน 30 วันหรือน้อยกว่านั้น แต่หากมีการใช้งานป้ายแดงนานเกินไป อาจทำให้เข้าข่ายหลีกเลี่ยงการจดทะเบียนรถ หรือใช้งานรถยนต์ที่ไม่ได้มีการขึ้นทะเบียน ซึ่งตามมาตรา 59 ระบุโทษปรับไว้สูงสุด 1 หมื่นบาทเลยทีเดียว
ปกติแล้วคุณตำรวจมักจะอนุโลมข้อหาที่เกี่ยวกับรถป้ายแดง เนื่องจากมีปริมาณรถบนท้องถนนมาก แต่หากปฏิบัติอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ก็จะช่วยให้ใช้งานได้อย่างมั่นใจมากขึ้นครับ
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #105 เมื่อ: 15 กันยายน 2016, 15:22:54 »

เทคนิคเปิดแอร์รถให้เหมาะสมช่วงหน้าฝน
ช่วงนี้บ้านเราเข้าสู่ฤดูฝนเต็มรูปแบบแล้ว บางพื้นที่ก็ฝนกระหน่ำจนเกิด 'น้ำรอการระบาย' เล่นเอาคนใช้รถเก๋งเล็กเครียดกันไปตามๆกัน ซึ่งช่วงหน้าฝนต่อหน้าหนาวแบบนี้ จะทำให้เกิดความชื้นสะสมในระบบปรับอากาศได้ง่ายมาก
วันนี้จึงมาแนะนำเทคนิคการใช้แอร์รถยนต์ช่วงหน้าฝน เพื่อยืดอายุการใช้งาน ป้องกันไม่ให้ตู้แอร์อับชื้นจนเป็นสาเหตุของเชื้อราได้
1.ปรับอุณหภูมิแอร์ให้เหมาะสม
สภาพอากาศในหน้าฝนจะเย็นลงจากช่วงหน้าร้อนอยู่แล้ว ดังนั้นจึงควรปรับเพิ่มอุณหภูมิของแอร์ให้สูงกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อไม่ให้แอร์สร้างความเย็นสะสมมากจนเกินไป อีกทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มการประหยัดน้ำมันขึ้นด้วย หากรู้สึกร้อน อาจใช้วิธีเพิ่มแรงลมแอร์ก่อน ถ้าไม่เย็นจริงๆ ค่อยปรับอุณหภูมิให้เย็นลงแทน
2.ปิด A/C ก่อนดับเครื่องยนต์
ระบบแอร์ช่วงหน้าฝนจะมีการสะสมความเย็นไว้มากกว่าปกติ ดังนั้น เพื่อป้องกันความชื้นไม่ให้สะสมอยู่ในตู้แอร์ จึงควรปิดสวิตช์ A/C ก่อนดับเครื่องยนต์ราว 1-2 นาที เพื่อไล่ความเย็นออกไปก่อน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดความอับชื้น แถมยังลดการเกิดเชื้อราในช่องแอร์ได้
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #106 เมื่อ: 20 กันยายน 2016, 20:27:42 »

3.ลุยน้ำท่วมสูงให้ปิดแอร์
หากเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องลุยน้ำท่วม ให้ใช้ความเร็วต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดโอกาสที่น้ำจะถูกดูดเข้าเครื่องยนต์จนทำให้เครื่องยนต์พังได้ แต่หากระดับน้ำมีความสูงแตะใต้ท้องรถแล้วล่ะก็ ให้รีบปิดแอร์ทันที เพราะพัดลมแอร์อาจหมุนกระทบน้ำอย่างแรง จนทำให้ใบพัดหักได้ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนก็จะลดลง จนอาจนำไปสู่การโอเวอร์ฮีตได้
4.เปิดรถผึ่งแดดบ้าง
หากรู้สึกว่าแอร์รถมีกลิ่นอับ ให้ลองนำรถไปจอดไว้กลางแดด แล้วเกิดประตูออกทุกบานให้แสงแดดส่องถึง เพื่อไล่ความชื้นให้หมดไป แถมยังสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย ทางที่ดีควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนแบบนี้
เพียงเท่านี้ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานแอร์ให้ยาวนานขึ้น ปลอดภัยจากเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกลิ่นอับ แถมยังไม่เสียเงินสักบาทอีกด้วยครับ
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #107 เมื่อ: 23 กันยายน 2016, 20:10:13 »

ยกสูง-โหลดเตี้ย แบบไหนไม่ให้ถูกจับ
ขั้นตอนการตกแต่งรถ ไม่มีอะไรมากำหนดตายตัว จะเริ่มแต่งจากตรงไหนก่อนก็ได้ เพียงแต่บางอย่างอาจต้องไล่สเต็ปขึ้นไป เพื่อเวลาใช้งานจริง จะได้ไม่ต้องมาแก้ไขทีหลัง ซึ่งส่วนมากหลังจากเปลี่ยนล้อแม็กซ์ คนส่วนใหญ่จึงค่อยนำไป โหลดเตี้ย หรือ ยกสูง กันตามใจชอบ เพราะหากข้ามขั้นตอนนี้ไป แล้วเปลี่ยนแม็กซ์ทีหลัง ทรงรถ หรือระดับความสูง-เตี้ย อาจได้ไม่ตรงตามต้องการ แต่ก็อย่างที่บอก จะแต่งแบบไหนก่อนก็ได้ ไม่มีถูกผิด
แต่การยกสูง-โหลดเตี้ย ก็ควรทำแต่พอประมาณ จะได้ไม่ลำบากกับตนเอง เนื่องจากบางคนเล่นโหลดซะเตี้ยติดดิน ซึ่งมันก็ดูสวยจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็ต้องแลกกับเวลาเดินทางไปไหนมาไหน เจอเนิน เจอลูกระนาด หรือเจอทางขึ้น-ลงลาดชัน ฯลฯ ต้องระวังให้ดี ไม่งั้นชุดแต่ง หรือสเกิร์ตแตกหักพังหมดแน่ ส่วนรถที่ยกสูงมากๆ อันนี้ออกจะอันตรายเวลาขับรถเร็วๆ มากกว่า เพราะเวลาเลี้ยวรถอาจจะเกิดอาการโยนตัว รถไม่ค่อยเกาะถนน รวมไปถึงทัศนะวิสัยด้านล่างที่มองเห็นไม่ค่อยชัดเจน ต้องระวังให้ดี
และนอกจากเหตุผลเหล่านี้แล้ว การโหลดเตี้ย-ยกสูง ก็มีกฎหมายเข้ามาควบคุมด้วยเหมือนกัน เพื่อป้องกันให้กับผู้ร่วมทางคนอื่นๆ ที่อาจเกิดอุบัติเหตุ จากการตกแต่งรถที่เกินพอดีของคุณ ซึ่งหากว่ากันตามกฎหมายแล้ว คุณสามารถโหลดต่ำแค่ไหนก็ได้ แต่ต้องยึดหลักการวัดระยะกึ่งกลางไฟหน้ากับระดับพื้นถนน โดยจุดกึ่งกลางไฟหน้าต้องไม่ต่ำกว่า 40 เซนติเมตร หากต่ำกว่าถือว่าผิด โดนจับปรับแน่นอน นอกจากนี้หากไฟหน้าสูงกว่า 40 เซนติเมตร แต่รถของคุณใส่ชุดแต่ง ใส่สปอยเลอร์จนเตี้ยแทบจะติดพื้น เกณฑ์การตัดสินจะใช้กฎการพิจารณาจากเจ้าหน้าที่ ทั้งคุณตำรวจ ช่างตรวจสภาพรถจากกรมการขนส่ง และสถานที่ตรวจสภาพรถ ตรอ. ว่ามันเสี่ยงสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง และผู้อื่นหรือไม่ รวมไปถึงการเกิดอุบัติเหตุ หากเจ้าหน้าที่พิจารณาแล้วว่าเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ก็ถือว่าผิดได้เช่นกัน โดนปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #108 เมื่อ: 10 ตุลาคม 2016, 18:41:46 »

ส่วนการยกสูง ก็เหมือนกับการโหลดเตี้ย จะยกสูงขนาดไหนก็ตามใจได้เลย แต่ต้องวัดจากระดับกึ่งกลางไฟหน้ารถกับพื้นถนน ต้องสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร หากเกินก็ถือว่าผิด โดนปรับอ่วมแน่นอน และหากไฟหน้าสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร แต่ตัวรถกลับโด่งผิดปกติ มีการดัดแปลงสภาพช่วงล่าง ต้องมีหนังสือรับรองจากวิศวกร รวมไปถึงต้องแจ้งต่อกรมการขนส่งทางบก เพื่อระบุเข้าไปในเอกสาร ซึ่งหากทำผิดข้อใดข้อหนึ่งไป คุณจะโดนปรับไม่เกิน 2,000 บาท (ม.14,ม.60)
บางทีบางครั้งการที่เราจะทำอะไรก็ต้องเห็นใจคนอื่นบ้าง หากทุกคนทำตามใจตัวเองกันหมด โลกนี้คงมีแต่ปัญหาแน่นอน ซึ่งการแต่งรถ ยกสูง-โหลดเตี้ย แม้จะเป็นสิทธิ์ของเรา แต่ถ้ามันสร้างความเดือนร้อนให้คนอื่น เราก็ไม่ควรทำ ใจเขาใจเรา เพราะการตกแต่งแบบนี้ หากรถที่ยกสูงมากๆ เวลาขับกลางคืน ไฟหน้าก็อาจไปแยงตารถคันอื่น ทำให้ขับลำบาก อาจเกิดอุบัติเหตุได้ ทั้งรถสวนทาง และรถที่ขับนำหน้าเรา ฯลฯ ส่วนรถโหลดเตี้ย จะไปไหนมาไหนก็ลำบาก เวลาเจอเนิน ลูกระนาด ต้องเอียงซ้ายเอียงขวากว่าจะพ้น หรือถ้าไม่พ้นสเกิร์ตเกิดติด ครูด หรือหลุดออกมากองบนถนน เสียเวลารถคันหลังที่ต้องรอเราเก็บซากอีก ฯลฯ
แต่ถ้าอยากแต่งแนวนี้ ลงทุนซักหน่อยละกัน ด้วยการติดไฮโดรลิก หรือจะใช้เป็นระบบถุงลมก็ได้ จะได้หมดปัญหากับเรื่องพวกนี้ แต่ก็ต้องแจ้งต่อกรมขนส่งให้เรียบร้อย มีใบวิศวกรรองรับ จะได้ถูกกฎหมาย ไม่ต้องนั่งปวดหัว หรือกังวลอีกต่อไป
http://auto.sanook.com/54909/
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #109 เมื่อ: 18 ตุลาคม 2016, 18:34:20 »

ประโยชน์จากฟิล์มรถยนต์ เรื่องที่หลายคนมองข้าม

นยุคนี้เมื่ออกรถใหม่ รายการของแถมที่ทางเซลส์นั้นจัดมาให้เชื่อว่าต้องมีติดฟิล์มรอบคันอยู่ในรายการแน่นอน ขึ้นชื่อว่าของแถมแน่นอนว่าคุณภาพย่อมไม่ได้เป็นอย่างที่หวังซักเท่าไหร่ ผู้ซื้อรถหลายท่านจึงเลือกที่จะมาติดฟิล์มรถเองเพราะได้คุณภาพที่สูงกว่า แถมมีประโยชน์เยอะมากกว่าที่หลายคนนึก

          กันความร้อน

          แน่นอนเลยนี่คงเป็นประโยชน์หลักเพราะอากาศในประเทศไทยนั้นบอกได้คำเดียวว่า "ร้อนตับแตก" การติดฟิล์มจึงช่วยลดอุณหภูมิภายในรถ ช่วยกรองรังสี UV ได้อย่างมาก

   ความสวยงาม

          นี่คงเป็นอีกประเด็นที่หลายท่านเลือกติดฟิล์มเอง เพราะสามารถเลือกได้ตามแบบต้องการไม่ว่าต้องการความเข้ม หรือต้องการฟิล์มปรอทที่เงาวับ ให้รถคุณดูดีขึ้นได้อีกเยอะตามใจในแบบที่ชอบ

          รักษาอุปกรณ์ภายในรถ

          เนื่องจากอุปกรณ์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น คอนโซลรถ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือกระทั่งเบาะ ก็มีขีดความสามารถในการทนความร้อน และหากติดฟิล์มที่ดีมีคุณภาพจะสามารถยืดอายุอุปกรณ์เหล่านี้ให้ดูสวยงาม ไม่กรอบ-ไม่พัง ไปได้อีกนาน

ความปลอดภัย

          การที่เรานำฟิล์มไปติดที่กระจกก็เหมือนมีแผ่นเหนียว ๆ ไปติดที่กระจก เมื่อเกิดอุบัติเหตุเศษกระจกที่แตกจะติดอยู่กับฟิล์ม ไม่กระเด็นใส่ผู้ที่อยู่ในรถทำให้ได้รับบาดเจ็บน้อยลง

   เพิ่มทัศนวิสัยในการขับ

          ในวันที่แดดจัดการขับรถทำให้ปวดตาและวิสัยทัศน์อาจจะพร่ามัว หรือกรณีที่ต้องขับรถตอนกลางคืนในต่างจังหวัด โดยเฉพาะถนนที่ไม่มีเกาะกลางสำหรับรถสวน มักจะเจอปัญหารถที่สวนมาเปิดไฟสูงใส่ ฟิลม์ที่ดีสามารถตัดแสงรบกวนได้และทำให้การขับขี่ไม่มีปัญหา

  ประหยัดน้ำมัน

          คงสงสัยกันใช่ไหมครับว่ามันเกี่ยวข้องกันยังไง ในเวลาที่คุณขับรถกลางแจ้งหรือในวันที่แดดจัด อุณหภูมิภายในรถจะสูงขึ้น ทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ต้องทำงานหนักเพื่อสู้กับอากาศร้อน จนไปดึงพลังงานเครื่องยนต์มาใช้และทำอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขี้น

          เห็นประโยชน์ขนาดนี้แล้วเมื่อต้องติดฟิล์มรถยนต์ก็ควรเลือกที่มีคุณภาพสักหน่อย รับรองว่าคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ที่ต้องจ่าย แต่ก็อย่าลืมเลือกให้เหมาะสมกับงบประมาณที่มีด้วยนะครับ
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #110 เมื่อ: 26 ตุลาคม 2016, 18:24:22 »

แนะรัฐหนุนผู้เล่นหน้าใหม่เข้าสู่รถยนต์ไฟฟ้า
นักวิชาการแนะรัฐหนุนให้เกิดผู้เล่นรายใหม่ในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าดีกว่าเป็นผู้เล่นในตลาดเอง
นายวิพุธ อ่องสกุล คณบดีคณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า จากการสนับสนุนด้านนโยบายให้เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นในประเทศไทยของรัฐบาล ในฐานะนักวิชาการมองว่ารัฐบาลควรสนับสนุนให้เกิดผู้เล่นรายใหม่ที่เข้าสู่ตลาดมากกว่าการที่รัฐบาลลงสู่ตลาดในฐานะผู้เล่นเอง ซึ่งควรจะมีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม โดยปัจจุบันนโยบายรัฐยังไม่เอื้อประโยชน์ให้ผู้เล่นรายใหม่เข้าสู่ตลาดได้ จึงเห็นแต่ผู้เล่นรายเก่าเป็นส่วนมาก
นอกจากนี้ หากต้องการให้เกิดการข้ามผ่าน (ทรานส์เฟอร์) ของเทคโนโลยีจะต้องไม่นำกฎเกณฑ์ของเทคโนโลยีเดิมมากำหนดเทคโนโลยีใหม่ทั้งสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีและสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน เพราะการสนับสนุนให้เกิดการทรานส์เฟอร์เทคโนโลยีได้จะต้องจูงใจนักลงทุนที่ต้องการมาตรฐานความเป็นสากลในทุกด้าน เช่น การกำหนดมาตรฐานหัวปลั๊กชาร์จไฟฟ้าของรถยนต์
“โจทย์สำคัญด้านการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีคือ การที่ผู้ผลิตปรับเทคโนโลยีให้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นที่มาของตลาดที่มีการขยายตัวและส่งผลต่อการที่บริษัทต่างๆ เล็งเห็นตามมา”นายวิพุธ กล่าว
สำหรับกรณีที่รัฐบาลได้ประกาศแผนประเทศไทย 4.0 (ไทยแลนด์ 4.0) ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม โดยต้องการเน้นส่งเสริมใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ ได้แก่ รถยนต์นั่งไฟฟ้า รถยนต์นั่งไฟฟ้าขนาดเล็กและรถโดยสารไฟฟ้า และสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเริ่มดำเนินการนั้น คาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถสร้างมูลค่าการส่งออกได้มากกว่า 80% ของปริมาณการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
ขณะเดียวกัน จะสร้างการจ้างงานเพิ่มขึ้น 20% และในด้านอื่นๆ อีกมาก จึงอยากเสนอให้รัฐบาลและบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้นในประเทศไทยด้วยการเปิดกว้างต่อนโยบายด้านยานยนต์ไฟฟ้าให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่าจะทำให้สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศได้อีกไม่น้อยกว่า 5 หมื่นล้านบาทในอนาคต
นายวิพุธ กล่าวว่า การเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 (Industries 4.0) จะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่นานาประเทศต้องตื่นตัวเช่นเดียวกันประเทศไทย โดยคณะบริหารธุรกิจ ร่วมกับสมาคมศิษย์เก่าคณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ จะมีการจัดสัมมนาวิชาการ NIDA Business School Alumni Seminar 2016 หัวข้อ “Biz Talk สร้างโอกาสและขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Thailand 4.0” ในวันที่ 27 ต.ค. 2559.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/461659
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #111 เมื่อ: 04 พฤศจิกายน 2016, 16:57:05 »

5 เทคนิคเด็ดขับ 'เกียร์ออโต้' ในเมืองให้ประหยัด

รถยนต์สมัยใหม่ถูกติดตั้งเทคโนโลยีมากมายเพื่อให้ประหยัดน้ำมันขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ที่มีความจุลดลงแล้วพ่วงเทอร์โบเข้าไป หรือระบบควบคุมลิ้นปีกผีเสื้อที่ช่วยให้ขับรถได้อย่างนุ่มนวลมากขึ้น แต่หากผู้ขับขี่ยังคงใจร้อน ขับรถเร็ว ก็ยากที่รถของคุณจะประหยัดน้ำมันได้

      จึงขอแนะนำ 5 เทคนิคพิชิตจราจรในเมืองให้ประหยัดน้ำมัน.. ทำอย่างไร?

 

1.ติดไฟแดงปลดเกียร์ N

     จริงอยู่ที่การสลับเกียร์ระหว่าง D และ N บ่อยๆ จะทำให้เกียร์เกิดความสึกหรอมากขึ้น แต่ให้ลองประเมินดูว่าถ้าต้องหยุดรถนานกว่า 1 นาทีขึ้นไป ก็สลับมาเกียร์ N ได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำมันลงได้ราว 20-30 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

2.มี Start/Stop ใช้ให้คุ้ม

     รถคันไหนที่ติดตั้งระบบ Start/Stop ที่ช่วยดับเครื่องยนต์ให้อัตโนมัติขณะเหยียบเบรกค้างไว้ ถ้าสภาพการจราจรเอื้ออำนวยพอก็เปิดใช้งานไปเถอะครับ ช่วยประหยัดน้ำมันขึ้นแน่นอน แต่หากจังหวะที่ต้องเคลื่อนที่สลับหยุดนิ่งบ่อยๆ หรือกำลังหาที่จอดรถ การปิดระบบไว้ก็จะช่วยยืดอายุไดสตาร์ทได้เหมือนกัน

3.ปล่อยไหลเข้าไฟแดง

     คนส่วนใหญ่จะใช้วิธีเลี้ยงความเร็วมาเรื่อยๆ แล้วกดเบรกเพื่อให้รถหยุดต่อท้ายคันหน้าพอดี คราวนี้ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีปล่อยคันเร่งเพื่อให้รถไหลเข้าไฟแดงดูบ้าง ก็จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพราะอย่างไรก็ต้องไปจอดติดไฟแดงกับเขาอยู่แล้ว หากปล่อยคันเร่งเพื่อตัดการจ่ายน้ำมันให้เร็วขึ้น ก็จะช่วยประหยัดน้ำมันขึ้นได้

4.ออกตัวให้ช้าลง

     หากถนนเส้นไหนที่รถวิ่งไม่เร็วนัก ให้ลองออกตัวช้าๆดูบ้าง โดยประคองไม่ให้รอบเครื่องยนต์เกิน 2,500 รอบต่อนาที ก็จะช่วยลดการจ่ายน้ำมันได้ เพราะจังหวะออกตัวจากจุดหยุดนิ่งเป็นช่วงที่รถกินน้ำมันมากที่สุด

5.รักษาความเร็วให้คงที่

     หากสามารถใช้ความเร็วได้ ควรเลี้ยงความเร็วให้อยู่ในระดับที่พอดีเสมอ ไม่เร่งหรือชะลอโดยไม่จำเป็น ก็จะช่วยลดการบริโภคน้ำมันลงได้เช่นกัน

     ลองมาเริ่มต้นเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่เสียแต่วันนี้ ฝึกให้กลายเป็นนิสัย รับรองว่าจ่ายค่าน้ำมันถูกลงกว่าเดิมแน่นอนครับ
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #112 เมื่อ: 08 พฤศจิกายน 2016, 20:08:17 »

อุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มฟื้นตัว
ส.อ.ท.ชี้อุตสาหกรรมรถยนต์เดือน ก.ย.ฟื้นตัว รอลุ้นยอดขายแตะ 7.8 แสนคัน ด้านส่งออกเพิ่มขึ้นในรอบ 12 เดือน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดการผลิตรถยนต์ในเดือน ก.ย. 2559 มีจำนวนทั้งสิ้น 1.73 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.92% โดยเป็นการผลิตรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้น 48.24% ที่จำนวน 3.16 หมื่นคัน ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 2.13 หมื่นคัน และเป็นการผลิตรถกระบะเพิ่มขึ้น 11.88% โดยมียอดการผลิตที่ 2.84 หมื่นคัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ผลิต 2.54 หมื่นคัน เพื่อจำหน่ายในประเทศเป็นหลัก ส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์ช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) มีทั้งสิ้น 1.47 แสนคัน เพิ่มขึ้น 3.14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดการผลิต 1.43 แสนคัน
ทั้งนี้ สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศเดือน ก.ย. 2559 มีจำนวน 6.35 หมื่นคัน เพิ่มขึ้น 2.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการขายรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้น ในกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก และรถกระบะ เป็นผลจากราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้นทำให้ประชาชนมีรายได้ และการแนะนำรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ ก่อนหน้านี้
สำหรับยอดผลิตรถยนต์ล่าสุดเดือน ก.ย.ที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่ดี และหากยอดผลิตคงอัตราการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นนี้ไปจนถึงสิ้นปี จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการลงทุนและการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศปีนี้ทั้งปีมีโอกาสที่อาจจะทำได้ถึง 7.8 แสนคัน มากกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดการณ์ไว้ 7.5 แสนคัน
ขณะที่ยอดการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือน ก.ย. 2559 ส่งออกได้ 1.12 แสนคัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9.91% โดยคิดเป็นมูลค่าส่งออก5.87 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเดือน ก.ย. 2558 ที่มีมูลค่า 5.35 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 8.95%
ด้านการส่งออกที่ลดลงเป็นผลจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าชะลอตัวลง เช่น ตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ส่งผลให้การส่งออกรถกระบะดับเบิ้ลแค็บที่มีมูลค่าสูงกว่ารถอีโคคาร์ลดลง สอดคล้องกับการปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกที่เติบโตลดลงจากการประมาณการตอนต้นปีของหลายองค์กรระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) มีจำนวน 9 แสนคัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.51% มีมูลค่าส่งออก 4.8 แสนล้านบาทซึ่งปีนี้ประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวส่งผลให้มียอดคำสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงการส่งออกรถยนต์ที่เชื่อว่าจะส่งออกได้ตามที่คาดการณ์ไว้ 1.22-1.25 ล้านคัน ส่วนยอดขายรถยนต์ทั้งปีจะอยู่ที่ 1.97-2 ล้านคัน
http://www.posttoday.com/auto/news/461121
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #113 เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2016, 19:59:56 »

เผยยอดรถในไทยปี59พุ่งทะลุ37ล้านคัน

กรมการขนส่งทางบกเผยยอดรถในไทยพุ่ง 37 ล้านคัน โดยเฉพาะปี 2559 มีผู้จดทะเบียนทั่วประเทศ 2,456,686 คัน   

เมื่อวันที่ 14 พ.ย. นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม 2559 มีผู้นำรถใหม่ (ป้ายแดง) เข้าจดทะเบียนทั่วประเทศ   2,456,686 คัน เฉลี่ยเดือนละกว่า 240,000 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน 100,949 คัน โดยรถจักรยานยนต์มากสุด
อยู่ที่ 1,620,901 คัน เพิ่มขึ้น 84,281 คัน รองลงมาคือ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน อยู่ที่ 490,124 คัน เพิ่มขึ้น 35,854 คัน และรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รถปิกอัพ) อยู่ที่ 212,281 คัน ลดลง 3,631 คัน 

อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้จำนวนรถจดทะเบียนสะสมทั่วประเทศ มียอดรถรวมทั้งสิ้น 37,268,655 คัน ประกอบด้วยรถจักรยานยนต์ 20,289,721 คัน รถยนต์ 8,146,250 คัน รถปิกอัพ 6,259,806 คัน รถบรรทุก 1,049,749 คัน และรถโดยสาร 156,089 คัน

http://www.posttoday.com/auto/news/465208
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #114 เมื่อ: 25 พฤศจิกายน 2016, 12:18:17 »

กรมการขนส่งทางบก แนะนำ!!! การซื้อขายรถควรดำเนินการโอนทางทะเบียน พร้อมนำรถเข้าตรวจสอบความถูกต้องด้วยตนเอง ณ สำนักงานขนส่งที่จดทะเบียน ย้ำ!!! อย่าซื้อขายโดยวิธีการโอนลอย เสี่ยงอาจเป็นรถที่ได้มาด้วยวิธีไม่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วนำมาสวมซากสวมทะเบียนหลอกลวงประชาชน
.
นายณันทพงศ์ เชิดชู รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ปัญหาการหลอกลวงประชาชนขายรถสวมซากสวมทะเบียน มักเกิดขึ้นกับการซื้อขายรถด้วยวิธีการโอนลอยที่ผู้ซื้อไม่นำรถไปดำเนินการตรวจสภาพรถและจดทะเบียนด้วยตนเองตามขั้นตอนของกรมการขนส่งทางบก ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างให้กลุ่มมิจฉาชีพนำรถโจรกรรมมาหลอกขาย โดยอาจเกิดขึ้นได้ในลักษณะต่างๆ เช่น รถได้มาอย่างผิดกฎหมาย ตอกเลขตัวถัง เครื่องยนต์ใหม่ และทำคู่มือเอกสารการโอนปลอม หรือซื้อซากรถที่ใช้งานไม่ได้แล้วแต่ยังมีทะเบียนถูกต้อง เพื่อนำรถรุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน มาสวมทะเบียนแทน โดยทำการเปลี่ยนแปลงขึ้นใหม่ทั้งเลขตัวถังและเลขคัสซีให้ตรงกับเอกสาร ส่วนอีกวิธีคือสวมทะเบียนเฉพาะป้าย โดยจะปลอมป้ายทะเบียน เครื่องหมายเสียการเสียภาษี รวมทั้งปลอมคู่มือประจำรถ ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานปลอมแปลงหรือใช้เอกสารราชการปลอม ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี ปรับสูงสุด 10,000 บาท และกรมการขนส่งทางบกจะเพิกถอนการจดทะเบียนรถทันที นอกจากนี้ ยังอาจมีความผิดตามมาตรา 11 ประกอบมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 ที่กำหนดให้รถทุกคันต้องมีและติดแผ่นป้ายทะเบียนและเครื่องหมายการเสียภาษีที่ทางราชการออกให้เท่านั้น ฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
.
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเบื้องต้นเพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงนำรถผิดกฎหมายมาโอนขาย กรมการขนส่งทางบกแนะนำให้ผู้ซื้อตรวจสอบแหล่งที่มาของรถก่อนตัดสินใจ ตรวจสอบเลขตัวถังและเลขเครื่องยนต์ตรงกับเอกสารหรือไม่ รวมทั้งป้ายวงกลมและป้ายทะเบียนติดหน้าหลังรถตรงกันหรือไม่ ตรวจสอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ ตรวจสอบลำดับครอบครองต้องไล่เรียงกัน หากมีการแจ้งหายทำเล่มใหม่ มีประวัติแจ้งย้ายหลายจังหวัด ให้เพิ่มความระมัดระวัง ทั้งนี้ การซื้อรถควรซื้อต่อจากคนรู้จักที่ไว้วางใจได้ หรือถ้าเป็นเต้นท์รถมือสอง ควรตรวจสอบหลักฐานทะเบียนรถจากเจ้าของรถหรือผู้ขายมาขอตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นกับสำนักงานขนส่งจังหวัดหรือสำนักงานขนส่งสาขา และเพื่อเพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้นสามารถนำรถเข้ามาตรวจสอบความถูกต้อง ณ สำนักงานขนส่งจังหวัดหรือสำนักงานขนส่งสาขาที่รถนั้นจดทะเบียน โดยกรมการขนส่งทางบกได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้เข้มงวดกวดขันการตรวจสภาพรถตามรายการที่กำหนดทุกคัน เพื่อป้องกันไม่ให้รถผิดกฎหมายดำเนินการทางทะเบียนได้โดยเด็ดขาด ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจพบจะมีการระงับการดำเนินการทางทะเบียนที่ไม่ถูกต้องทันที และหากประชาชนพบเห็นรถต้องสงสัยสามารถแจ้งข้อมูลมายังกรมการขนส่งทางบก หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อตรวจสอบและคุ้มครองสิทธิตามกฎหมาย และป้องกันการตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพได้อย่างทันท่วงที รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด
----------------------------------
https://m.facebook.com/PR.DLT.NEWS/photos/a.1563735837182911.1073741827.1563537483869413/1824951791061313/?type=3
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #115 เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2016, 13:03:41 »

ส่งออกรถต.ค.ร่วง7.23%

ยอดส่งออกรถยนต์ ต.ค.ทำได้แค่ 1.03 แสนคัน ลดลง 7.23% ทำ 10 เดือน ส่งออกได้แค่ 1 ล้านคัน ลดลง 1.25%

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า  ยอดส่งออกรถยนต์ในเดือน ต.ค. 2559 อยู่ที่ 1.03 แสนคัน ลดลง 7.23% เทีบบกับ ต.ค. 2558 มีมูลค่าส่งออก 5.39 หมื่นล้านบาท ลดลง 10.11% สาเหตุมาจากการส่งออกใน ตลาดสำคัญปรับตัวลดลง เช่น ตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา อเมริกากลาง และอเมริกาใต้

ทั้งนี้ ส่งผลให้ยอดส่งออกรวม 10 เดือน ปี 2559 อยู่ที่ 1 ล้านคัน ลดลง 1.25% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

"การส่งออกรถยนต์ลดลงเป็นผล จากเศรษฐกิจคู่ค้าหลักที่นำเข้ารถจาก ไทยชะลอตัว โดยตลาดตะวันออกกลางและอเมริกาใต้มีสัดส่วนการส่งออกลดลงมาอยู่ที่ 2.2% จากเดิมที่เคยขึ้นไปถึง 5% ประกอบกับประเทศเหล่านี้เริ่มมี การลงทุนผลิตรถยนต์ในแอฟริกาเพื่อ ส่งออก ขณะที่ตลาดส่งออกอื่นๆเช่น เอเชียและออสเตรเลีย ก็มีปัญหาปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจเช่นกัน" นาย สุรพงษ์ กล่าว

ขณะที่ยอดผลิตรถยนต์ของไทย ในเดือน ต.ค. 2559 มีทั้งสิ้น 1.61 แสนคัน ลดลง 2.59% เทียบ ต.ค. 2558 ส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์รวม 10 เดือนปีนี้ มีทั้งสิ้น 1.63 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 2.55% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนยอดจำหน่ายในประเทศ ต.ค.อยู่ที่ 6.51 หมื่นคัน เพิ่มขึ้น 13.52% ส่งผลให้ยอดผลิตจำหน่ายในประเทศ 10 เดือน อยู่ที่ 6.40 แสนคัน เพิ่มขึ้น 10.9%

http://www.posttoday.com/auto/news/466960

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #116 เมื่อ: 06 ธันวาคม 2016, 14:55:12 »

ซื้อรถยุคเศรษฐกิจซึมเศร้า ตรวจสุขภาพการเงินก่อนตัดสินใจ

ช่วงนี้หลายคนอาจจะวางแผนซื้อรถเอาไว้ แต่ยังไม่กล้าตัดสินใจซื้อ เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย เงินในกระเป๋าที่รับมาทุกๆ เดือน ก็ไม่รู้จะหดจะหายไปเมื่อไหร่ ส่วนเงินที่จะได้เพิ่มชั่วโมงนี้บอกได้คำเดียวเลยว่า ‘ยาก’ ภาวะความไม่เชื่อมั่นจึงเกิดตามมา แต่เอาล่ะ... ในเมื่อสถานการณ์

เป็นเช่นนี้แล้วยังคิดจะซื้อรถ ลองมาดูกันก่อนว่า มีข้อควรต้องพิจารณาอะไรกันบ้างที่จะมาประกอบการตัดสินใจว่าจะเข้าเกียร์เดินหน้า หรือใส่เกียร์ถอยไปตั้งหลักกันใหม่กันดี

ข้อแรก มองไปที่สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในระยะใกล้ๆ และใน 1 ปีข้างหน้า ต้องบอกเลยว่า เศรษฐกิจยังไม่มีทีท่าจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แม้รัฐบาลจะพยายามผลักดันโครงการลงทุนต่างๆ เพื่อช่วยผลักดันเศรษฐกิจ แต่ก็อาจจะทำได้แค่รักษาอาการไม่ให้มันทรุดลงไปเท่านั้น  เพราะรายได้หลักของประเทศที่มาจากการทำมาค้าขายกับต่างประเทศ นั่นก็คือการส่งออกอาการยังร่อแร่

ขณะที่การลงทุนของเอกชนก็ยังไม่เดินหน้า การใช้จ่ายภาคประชาชนก็น้อยนิดเต็มที่ จะหวังพึ่งภาคการท่องเที่ยวในเวลานี้อาจจะยังไม่เหมาะ ก็ได้แต่หวังกันว่า การลงทุนของภาครัฐที่มีแผนกันเป็นหลักแสนๆ ล้านบาท จะสัมฤทธิ์ผล ซึ่งนั่นอาจจะทำให้ความเชื่อมั่นในด้านอื่นๆ ตามมา ยิ่งปีหน้าตามแผนจะมีการเลือกตั้งอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การทำมาค้าขายกับประเทศประชาธิปไตยน่าจะดีขึ้น ไม่ถูกบีบจนหน้าเขียวเหมือนที่ผ่านมา

รวมๆ แล้วในปีหน้าเรื่องเศรษฐกิจยังต้องลุ้นว่าจะไปต่อได้มากน้อยแค่ไหน ไอ้ที่ว่าจะฟื้นตัวปุ๊บปั๊บเงินทองไหลมาเทมานั้นเลิกคิดไปได้ ดีที่สุดคือ โตช้าๆ อย่างเยือกเย็น ได้เท่านั้นก็ถือว่าบุญแล้วล่ะ คราวนี้มาดูที่ใกล้ตัวขึ้นมาหน่อยนั่นก็คือ สถานะการเงินของเราภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจเช่นนี้จะยังไหวมั้ย

พวกที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ลองอัพเดตสถานการณ์ของบริษัทดูสักหน่อย การทำมาค้าขายประกอบธุรกิจยังดีอยู่หรือไม่ แผนการปรับเงินเดือน จ่ายโบนัส ยังวางอยู่บนโต๊ะเจ้านายหรือถูกโยนลงถังขยะไปแล้ว ไปสืบมาดีๆ ซึ่งจริงๆ ก็ดูง่ายๆ จากผลการดำเนินการของบริษัท ถ้ามันไม่ดี เจ้านายที่ไหนจะใจดีให้ขึ้นเงินเดือนให้เยอะๆ หรือสั่งจ่ายโบนัสหนักๆ ก็คงเป็นไปไม่ได้

ส่วนพวกอาชีพอิสระทำมาค้าขายอาจจะง่ายหน่อย เพราะเป็นเจ้านายตัวเองจับเงินอยู่ทุกวันย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า จะไปรอดมั้ยส่วนใหญ่คนกลุ่มนี้ ถ้าไม่ใช่พวกมั่นสุดๆ หรือพวกเพ้อไปวันๆเขาค่อนข้างจะเจียมตัวระมัดระวังการจับจ่ายกันอยู่แล้ว บางทีแผนการซื้อรถใหม่ของพวกเขาอาจจะถูกฉีกทิ้งไปตั้งแต่สองสามปีที่แล้วก็เป็นได้ หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็คงไม่ดีกว่า


การตรวจสอบสถานการณ์การเงินทั้งภาคเศรษฐกิจโดยรวมและเศรษฐกิจส่วนบุคคล ย่อมทำให้เราตัดสินใจได้ว่า ควรหรือไม่ควรซื้อรถในเวลานี้ แต่ถ้าจำเป็นจะต้องซื้อควรจะซื้อแบบไหน เพื่อให้ปลอดภัยกับสถานะการเงินของตัวเองมากที่สุด ถึงตรงนี้ ก็พอจะตั้งคำถามกับตัวเองได้แล้วว่า การจะซื้อรถในตอนนี้จำเป็นหรือไม่จำเป็น ยกเว้นพวกที่มีฐานะดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นที่ต้องคิดอะไรมาก จัดไปตามใจปรารถนาก็แล้วกัน.

หากมองว่า ยังมีเวลาที่จะดูหน้าดูหลังอีกสักนิดก็ให้ใส่เกียร์ถอยกลับไปตั้งหลักใหม่ ลองเอาสตางค์ที่จะผ่อนไปใส่กระปุกดู เก็บออมเพิ่มอีกนิดก็ไม่เห็นเสียหายอะไร เก็บไปเก็บมาเผลอๆอาจจะซื้อเงินสดได้เลยก็เป็นไปได้นะ ซึ่งการทดลองเก็บเงินตามจำนวนงวดที่จะต้องผ่อนจะทำให้เรารู้ตัวเองว่า ภาระที่เพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนเรารับกับมันได้หรือไม่ นอกจากนี้ การทดลองผ่อน (โดยการเก็บใส่กระปุก) ไปสักระยะ ก็จะทำให้เราได้เงินดาวน์รถที่เพิ่มขึ้นด้วย

http://www.posttoday.com/auto/news/468166
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #117 เมื่อ: 18 ธันวาคม 2016, 12:34:40 »

ครม. มีมติยกเว้นค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์กทม.-บ้านฉาง และบางปะอิน-บางพลี ตั้งแต่ 29 ธ.ค.59 ถึง 4 ม.ค.60
วันนี้ (13 ธ.ค. 59) รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... (ยกเว้นค่าธรรมเนียมในช่วงเทศกาลปีใหม่ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 29 ธ.ค. 2559 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 4 ม.ค. 2560
โดยกำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง และทางแยกเข้าพัทยา ตอนกรุงเทพมหานคร-เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง และทางแยกเข้าพัทยา) และบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 (สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตอนบางปะอิน-บางพลี) ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 19 (พ.ศ. 2540) ออกตามความใน พ.ร.บ.กำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ.2497 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 21 (พ.ศ. 2555) ออกตามความใน พ.ร.บ.กำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ.2497
http://www.tnnthailand.com/news_detail.php?id=122388&t=news
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #118 เมื่อ: 08 มีนาคม 2017, 15:24:38 »

กล้องติดรถคึก อ้อนรัฐกำหนด มีเป็นมาตรฐาน

กล้องติดหน้ารถยนต์คึก หนุนรัฐประกาศเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน จับตาสินค้าจีนคุณภาพต่ำแข่งหั่นราคา

นายรวีโรจน์ องค์ศิริวัฒนา ประธานกรรมการบริหารบริษัท มีราจ คาร์ออดิโอ ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีเกี่ยวกับรถยนต์และผลิตภัณฑ์ความบันเทิงในรถยนต์ครบวงจร เปิดเผยว่า กระแสความนิยมของกล้องติดหน้ารถยนต์ได้รับการตอบรับดี ทำให้รายได้กลุ่มสินค้าเบ็ดเตล็ด อาทิ กล้องติดหน้ารถยนต์ จีพีเอส ระบบกันขโมย มีสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 10% ของรายได้บริษัท

“สินค้ากลุ่มนี้แรกเริ่มบริษัทนำมาเป็นสินค้าเสริมเพื่อความครบวงจร แต่จากการตอบรับดีรายได้จึงสำคัญขึ้น บริษัทจะพัฒนาการติดตั้งให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ” นายรวีโรจน์ กล่าว

น.ส.จันทร์นภา สายสมร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทคโนเซล (เฟรย์) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มกรองแสงรถยนต์และฟิล์มกรองแสงอาคารลามิน่าและฟิล์มกลุ่มพิเศษลูม่าร์ กล่าวว่า บริษัทเห็นด้วยกับรัฐบาล หากมีการสนับสนุนให้กล้องติดหน้ารถยนต์และจีพีเอสเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่รถยนต์ทุกคันจะต้องมี เนื่องจากอุปกรณ์ดังกล่าวปัจจุบันเป็นที่นิยมและหลายครั้งหลายเหตุการณ์ถูกนำไปเป็นหลักฐานสำคัญประกอบการพิจารณาคดีจนทำให้เรื่องราวต่างๆ คลี่คลายด้วยข้อมูลความเป็นจริงจากกล้องหน้ารถยนต์

“จากกระแสดังกล่าว บริษัทจึงนำสินค้ามืออาชีพในเอเชียแปซิฟิกมาทำตลาด แต่การแข่งตลาดนี้จะรุนแรงสูงจากแข่งลดราคาผ่านการสั่งซื้อออนไลน์และสินค้าจากจีนมีบทบาทมาก” น.ส.จันทร์นภา กล่าว

ทั้งนี้ จากการสำรวจตลาดกล้องติดหน้ารถยนต์ผ่านช่องทาง อาทิ อี-คอมเมิร์ซ โซเชียลมีเดีย มาร์เก็ตเพลส พบว่าแข่งตัดราคารุนแรง

 : http://www.posttoday.com

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #119 เมื่อ: 09 มีนาคม 2017, 20:17:53 »

วิธีดูแลรักษาล้อแม็กรถยนต์ให้เงาวับเหมือนใหม่
นอกจากการดูแลรักษารถยนต์ให้พร้อมใช้งานตลอดเวลาแล้ว การทำความสะอาดรถก็ถือเป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน และนอกจากบอดี้ภายนอก และห้องโดยสารภายในแล้ว การดูแลล้อแม็กรถยนต์ ให้สวยวับ เงางามอยู่เสมอ ก็ควรทำ และไม่ควรมองข้าม
บางคนอาจคิดว่า การดูแลรักษาล้อแม็กรถยนต์ ไม่ค่อยสำคัญ เพราะไม่ค่อยเห็นคราบสกปรกชัดเจนเหมือนที่ติดอยู่กับตัวรถภายนอก คิดว่าแค่เอาน้ำแรงดันสูงฉีดๆ เอาฟองน้ำลูบๆ ก็เพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริงเมื่อคุณขับรถใช้งาน คราบสกปรกต่างๆ ก็จะเริ่มเข้ามาติดที่ล้อของคุณทันที ทั้งฝุ่นผงจากถนน ฝุ่นผงผ้าเบรค เศษหิน ดิน โคลน หรือแม้กระทั่งยางมะตอย และคราบน้ำมัน ฯลฯ ซึ่งคราบพวกนี้จำเป็นต้องจัดการทำความสะอาดให้เด็ดขาด ไม่ใช่แค่ทำลวกๆ
1. คุณไม่ควรล้างล้อแม็กในขณะที่มันยังร้อนอยู่ เพราะน้ำยาล้างรถ หรือฟองสบู่ที่คุณนำไปถูๆ ขัดๆ ไว้จะแห้งเร็ว และมันจะทำให้เกิดเป็นคราบ หรือรอยติดอยู่ที่หน้าล้อ ล้างไปก็ทำให้มีคราบอยู่ดี ดังนั้นควรจะล้างส่วนอื่นก่อน แล้วเก็บล้อแม็กไว้ท้ายสุด ที่สำคัญควรแยกฟองน้ำสำหรับล้างล้อแม็กไว้อีกอันนึงด้วย อย่าใช้ปนกันเด็ดขาด ไม่งั้นพวกเศษหิน หรือเม็ดทรายที่ติดมากับล้อจะทำลายผิวสีรถของคุณจนเป็นรอยได้นั่นเอง
2. รถที่มีคราบติดล้อหนักๆ เช่น ยางมะตอย คราบน้ำมัน ฯลฯ ค่อนข้างที่จะเป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว เพราะคราบจำพวกนี้ ล้างออกด้วยวิธีธรรมดาไม่ได้ จำเป็นต้องใช้น้ำมันก๊าด หรือน้ำมันสน หรือน้ำยาเช็ดคราบสกปรก เทใส่ลงไปบนเศษผ้าแล้วเช็ดตามจุดที่มีรอยเหล่านี้ติดอยู่ จากนั้นใช้แชมพูล้างรถล้างล้อแม็กให้ทั่ว เสร็จแล้วใช้น้ำเปล่าล้างออกให้หมด และใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง
3. ล้อแม็กอัลลอยด์ และล้อแม็กที่มีขอบเงา หากพบเจอร่องรอยสุนัขมาฉี่รดไว้ที่ล้อแม็ก ให้รีบทำความสะอาดด้วยการล้างน้ำ และเช็ดให้แห้งทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะล้อแม็กพวกนี้จะโดนฤทธิ์ในฉี่สุนัขกัดจนเป็นคราบเหลือง รวมไปถึงอาจทำให้เกิดคราบขี้เกลือ (สนิมขาว) จนกระทั่งทำให้ล้ออัลลอยด์หลุดลอกออกมานั่นเอง
สุดท้ายนี้ไม่ควรใช้แปรงที่มีขนหยาบ หรือแข็งกระด้าง เช่น แปรงลวด สก็อตไบร์ท ฝอยขัดหม้อ ฯลฯ ในการทำความสะอาด เพราะมันอาจสร้างรอยให้ล้อแม็กของคุณ นอกจากนี้คุณควรเช็ดล้อแม็กให้แห้งทันที หรือเท่าที่ทำได้ หลังจากล้างรถเสร็จ หรือโดนน้ำมาจากที่อื่น เพื่อไม่ให้คราบสกปรกเกาะติดล้อ และให้ใช้ยาขัดเฉพาะที่ออกแบบมาสำหรับล้อแม็กเท่านั้น โดยเฉพาะล้ออัลลอยด์ที่ต้องดูแลใส่ใจมากเป็นพิเศษ มิเช่นนั้นมันจะมีคราบติดตัวอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ขึ้นบน พิมพ์ 
:::CIVIC CLUB THAILAND:::  |  Civic Club Classifieds => ประกาศซื้อ-ขาย  |  ซื้อ-ขายอะไหล่ ขายรถยนตร์ และประชาสัมพันธ์แนะนำธุรกิจ  |  หัวข้อ: สินเชื่อรถยนต์ ให้ยอดสุง 120% รถผ่อนอยู่ก็ทำได้
กระโดดไป:  


.: Powered by :.
.: Link Exchange :.
civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017


Powered by MySQL Powered by PHP Copyright 2004-2014 www.welovecivic.com All rights reserved
Contact: theerachai@siamrx.com
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Civic Club | ย่อลิงค์ |