ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
25 เมษายน 2024, 20:02:43
หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ข่าว: มีปัญหาการใช้งานเว็บไซต์ หรือติดต่อลงโฆษณา ติดต่อ admin [ไม่ใช่ผู้ขายสินค้า] ที่ 0876889988   หรือ theerachai@siamrx.com หรือ line id: @welovecivic




Custom Search
:::CIVIC CLUB THAILAND:::  |  Civic Club Classifieds => ประกาศซื้อ-ขาย  |  ซื้อ-ขายอะไหล่ ขายรถยนตร์ และประชาสัมพันธ์แนะนำธุรกิจ  |  หัวข้อ: สินเชื่อรถยนต์ ให้ยอดสุง 120% รถผ่อนอยู่ก็ทำได้ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1] 2 3 ... 5 ลงล่าง พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: สินเชื่อรถยนต์ ให้ยอดสุง 120% รถผ่อนอยู่ก็ทำได้  (อ่าน 37058 ครั้ง)
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« เมื่อ: 11 มีนาคม 2015, 16:20:45 »



 สินเชื่อรถยนต์ ให้ยอดสุง 120% รถผ่อนอยู่ก็ทำได้

ให้สินเชื่อรถแลกเงินรถยังผ่อนอยู่ก็กู้ได้ ไม่ต้องจอดรถ
อยากได้เงินสด อยากลดค่างวด อยากย้ายไฟแนนซ์เราทำให้ได้
อยู่ ตจว ก็ทำได้ อาชีพอิสระก็ทำได้
รับรถบรรทุก รถบ้าน และรถตู้ป้ายเหลืองก็ทำได้
เอกสารไม่ยุ่งยาก ขันตอนไม่ยุ่งยาก อนุมัติไว ได้เงินเร็ว

คุณสมบัติของผู้สมัคร
 
  - สมัครง่าย ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน
  - ผ่อนนาน 12-72 เดือน
  - อายุ 20- 60 ปี
  - สัญชาติไทย

เอกสาร
1. สำเนาบัตรประชาชน
2. สำเนาทะเบียนบ้าน
3. สำเนาบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
4. สลิบเงินเดือน(เดือนล่าสุด)หรือ หนังสือรับรองเงินเดือนก็ได้
5. สำเนาทะเบียนรถ
6. แผนที่บ้าน และ ที่ทำงาน

เอกสารครบ รู้ผลเลย รับเงิน ภายใน 3-7 วันทำการ

สนใจสมัคร คลิกที่นี่

http://www.d-credit.com

LINE ID : d-credit
0832996658


* Car4Cash.jpg (39.6 KB, 300x150 - ดู 731 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31 สิงหาคม 2018, 11:07:36 โดย d-credit » บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #1 เมื่อ: 20 เมษายน 2015, 14:28:33 »

สาเหตุประกันไม่รับผิดชอบ
     1.    ไม่ส่งเอกสารให้บริษัทประกันหลังติดตั้งแก๊ส
     2.    ไม่แจ้งขนส่งทางบก หลังจากได้ติดตั้งแก๊ส ถึงแม้ว่าคุณจะติดตั้งได้มาตรฐาน
     3.    ติดตั้งถังแก๊สไม่ได้รับมาตรฐานคุณภาพ มอก.

 
     ขั้นตอนการแจ้งประกันเมื่อติดตั้งแก๊สรถยนต์ LPG หรือ NGV
     1.    แจ้งผ่านตัวแทน นายหน้า หรือ แจ้งโดยตรงไปที่บริษัทประกัน
     2.    ส่งเอกสารรายการจดทะเบียน ที่ได้แจ้งเปลี่ยนแปลงประเภทเชื้อเพลิงแล้วไปยังบริษัทประกัน
     3.    ใบเสร็จค่าติดตั้งชุดอุปกรณ์แก๊ส (ห้ามทิ้งเด็ดขาด)

     สำหรับผู้ที่ได้ติดตั้งแก๊สรถยนต์ จำเป็นต้องบำรุงรักษาประหนึ่งเหมือนชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์ทั่วไป
หากไม่ดูแลรักษาก็ย่อมเกิดปัญหาขึ้นตามมาได้ เช่น อุบัติเหตุรถไฟไหม้ เรามีวิธีการตรวจเช็กตามอายุ
การใช้งานที่ช่วยให้คุณเกิดความปลอดภัยไร้กังวลดังนี้

 วิธีดูแลรักษาระบบรถติดแก๊สไม่ให้เกิดไฟไหม้

ตรวจเช็ก กล่อง ECU เปรียบได้ดั่งสมองที่สั่งการไปยังส่วนต่างๆ เพื่อควบคุมระบบการจ่ายเชื้อเพลิง
ควรตรวจเช็กระยะหลังจากติดตั้งแก๊สแล้วทุก 5,000 – 10,000 กิโลเมตร
ตรวจเช็ก หม้อต้มแก๊ส นับเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการสูบฉีดเชื้อเพลิงเข้าไปยังระบบหัวฉีดรถยนต์
ตรวจเช็ก หัวฉีดแก๊ส ทุก 3 ปี จากช่างผู้เชี่ยวชาญ
ตรวจเช็ก กรองแก๊ส ป้องกันฝุ่น ป้องกันสนิม ควรเปลี่ยนทุก 100,000 กิโลเมตร
ตรวจเช็ก ถังแก๊ส เมื่อครบ 10 ปี ควรเปลี่ยนถังแก๊สใหม่ หรือเมื่อเห็นถังเก่าชำรุด
ตรวจเช็ก วาล์ว เมื่อใช้รถไปได้ 40,000 กิโลเมตร ให้ช่างตั้งระยะวาล์วใหม่อีกครั้ง
ตรวจเช็ก สายยาง ที่เชื่อมต่อระบบถังแก๊ส สามารถตรวจเช็กง่ายๆเบื้องต้นด้วยการใช้ฟองสบู่หารอยรั่ว
     การติดตั้งแก๊สไม่ใช่เรื่องที่อันตรายหากแต่คุณต้องใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานเท่านั้น และหลังจากการ
ใช้งานควรตรวจเช็กดูแลรักษาให้ดีเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต

     
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #2 เมื่อ: 24 เมษายน 2015, 16:11:26 »

เทคนิคดูแลสีรถ ‘ต้องทำ‘ หลังเที่ยวสงกรานต์

 หลังจากที่คุณผู้อ่านขับรถตระเวนเที่ยววันหยุดสงกรานต์ 2558 อย่างอิ่มหนำสำราญกันแล้ว
รถสุดรักของคุณผู้อ่านอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเผชิญกับ คราบดินสอพองขาวโพลนติดอยู่รอบตัวรถ
แต่คุณผู้อ่านรู้ไหมครับว่าคราบดินสอพองดังกล่าวอาจทำร้ายสีของตัวถังรถได้

 ขั้นแรก ควรใช้น้ำเปล่าล้างรถเสียก่อน 1 รอบ โดยใช้สายยางฉีดน้ำไปรอบๆเพื่อให้คราบดินสอพองอ่อนตัว
พร้อมกับใช้ฟองน้ำถูอย่างเบาๆ นอกจากนั้นยังควรล้างฟองน้ำเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้คราบสกปรกบนฟองน้ำ
ทำร้ายสีบนตัวถังรถนั่นเองจากนั้นจึงล้างด้วยแชมพูล้างรถ หรือ น้ำเปล่าซ้ำตามปกติ แล้วจึงเช็ดให้แห้ง

     ทางที่ดีควรล้างรถทันทีที่มีโอกาส ไม่ควรปล่อยคราบดินสอพองทิ้งไว้ นิเช่นนั้นอาจเกิดรอยด่างได้

 ขั้นที่สอง หากคุณผู้อ่านใช้รถไปในการเล่นน้ำช่วงสงกรานต์ (เช่น รถกระบะที่บรรทุกถังน้ำและผู้โดยสารเพื่อเล่นน้ำ)
ภายในรถของคุณผู้อ่านอาจมีโอกาสเปียกชื้นสูง ทางที่ดีจึงควรไล่ความอับชื้นภายในรถ
เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งหมักหมมของเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรก อันเป็นต้นเหตุของกลิ่นอับภายในรถ

     วิธีการคือ หาที่จอดรถโล่งๆกลางแดด ถอดผ้ายางปูพื้นหรือพรมออกจากรถ แล้วเปิดประตูทิ้งไว้กลางแดดสัก 2-3 ชั่วโมง
เพื่อขจัดความชื้นในตัวรถออกไป

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #3 เมื่อ: 28 เมษายน 2015, 14:25:45 »

 

     นอกจากนั้น ก็ยังควรเช็คสภาพรถเบื้องต้น ด้วยการตรวจเช็คอย่างง่ายๆ เริ่มตั้งแต่การฟังเครื่องยนต์
ว่ามีเสียงผิดปกติดังขึ้นหรือไม่ ตรวจเช็คสภาพยางว่าไม่มีจุดใดรั่วซึม เช็คความดันลมยาง
ตรวจเช็คระดับของเหลวต่างๆ ตั้งแต่ น้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์, น้ำมันเบรค, น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ ฯลฯ

     หากพบว่ามีระดับพร่องกว่าปกติ ก็ควรเติมให้เรียบร้อย หรือ หากพบว่าน้ำมันเปลี่ยนเป็นสีดำ
ผิดจากก่อนเริ่มเดินทาง ก็ควรเปลี่ยนถ่ายใหม่ให้เรียบร้อย เพราะการเปลี่ยนถ่ายของเหลวก่อน
กำหนดถือเป็นการช่วยถนอมเครื่องยนต์ไปในตัว

     เพียงเท่านี้ รถสุดรักของคุณผู้อ่านก็จะยังคงมีสภาพเหมือนใหม่ดังเดิมครับ

 


* 101.jpg (88.28 KB, 550x366 - ดู 673 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #4 เมื่อ: 07 พฤษภาคม 2015, 14:56:39 »


เคล็ดลับกระจกใสไร้ฝุ่น

 กระจกรถใสแจ๋วไม่ได้มีดีเพียงแค่ทำให้รถน่าเหลียวมอง แต่ยังช่วยให้ทัศนวิสัยการมองเห็นของคนขับรถชัดเจนขึ้นด้วย
 
เตรียมอุปกรณ์: ผ้าแห้งสะอาดหรือหนังสือพิมพ์ ฟองน้ำสำหรับถูทำความสะอาด และถังใส่น้ำ

     ขั้นตอนที่ 1 ขจัดคราบสกปรก กระจกมัว คราบน้ำ คราบฝุ่น แก้ได้ด้วยการนำเกลือหรือแชมพูมาผสมกับน้ำสะอาด
แล้วเช็ดทำความสะอาดกระจกให้ทั่ว

     ขั้นตอนที่ 2 กระจกเงาวาว เคล็ดลับง่ายๆ เพียงใช้หนังสือพิมพ์เช็ดด้วยเบคกิ้งโซดาผสมน้ำหรือน้ำส้มสายชูเช็ดขัดเงาให้ทั่วไปเลย

     ขั้นตอนที่ 3 ลดรอยขีดข่วนที่กระจก จัดการด้วยกลีเซอรีนหรือใช้ยาสีฟัน โดยนำมาเช็ดจนทั่วแผ่นกระจกแล้วใช้ผ้าแห้งเช็ดออก
เท่านี้ก็เรียบร้อย

  Be Careful: น้ำยาเช็ดกระจกส่วนใหญ่มีส่วนผสมของแอมโมเนีย ซึ่งเป็นอันตรายถ้าสูดดม เข้าตา หรือสัมผัส

     ข้อแนะนำเพิ่มเติม: เพื่อความปลอดภัยทุกการเดินทางควรทำความสะอาดกระจกให้มองเห็นได้ชัดเจนทุกครั้ง
และอย่าลืมเช็กด้วยว่ารถของคุณได้ทำประกันภัยรถยนต์และประกันยังไม่หมดอายุ เพราะเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา
อย่างน้อยก็ยังอุ่นใจว่าประกันภัยจะช่วยแก้ปัญหาและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแก่คุณได้ค่ะ
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #5 เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2015, 16:47:31 »

รถเก๋ง รถกระบะต้องเติมลมยางเท่าไร

ยางรถยนต์แม้จะดูเป็นชิ้นส่วนที่ไม่มีความซับซ้อนอะไร แต่กลับเป็นส่วนที่รับบทหนักมากสุด
และมีความสำคัญอย่างมากเมื่อรถวิ่งอยู่บนถนน เช่น การยืดเกาะถนน รับน้ำหนักรถ
ซับแรงกระแทกจากพื้นถนน ซึ่งการเลือกยางที่ดีและเหมาะสมกับรถยังช่วยเรื่องประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย

รถประเภทไหน ควรเติมลมยางเท่าไร?

     คุณจะต้องตรวจความดันลมยางอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เนื่องจากปัจจัยต่อไปนี้

ความดันลมยางอ่อน ทำให้เนื้อยางสึกไวเร็วกว่าปกติ
ความดันลมยางที่สูงเกินไป จะลดอายุการใช้งานของยางลงถึง 10,000 กม.
 

     รถประเภทไหน เติมลมเท่าไร

รถเก๋งขนาดเล็ก ควรเติมลมยาง 25-30 ปอนด์
รถเก๋งขนาดกลางถึงใหญ่ ควรเติมลมยาง 30-35 ปอนด์
รถกระบะ ควรเติมลมยางไม่เกิน 65 ปอนด์
 
  วิธีสังเกตง่ายๆ ว่าถึงเวลาเปลี่ยนยางแล้ว ให้ดูที่ “สะพานยาง” มีลักษณะเป็นสันนูนตรงดอกยาง
ถ้าเนื้อยางสึกถึงสะพานยังแล้วเป็นการบ่งบอกว่าถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนยางแล้วล่ะ

     ข้อแนะนำเพิ่มเติม: ก่อนออกเดินทางทุกครั้งอย่าลืมเช็กด้วยว่า รถของคุณได้ทำประกันภัยรถยนต์
และประกันยังไม่หมดอายุ เพราะเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา อย่างน้อยก็ยังอุ่นใจว่าประกันภัยจะ
ช่วยแก้ปัญหาและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแก่คุณได้ค่ะ

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #6 เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2015, 16:54:03 »


อย่ามองข้ามน้ำมันเกียร์

ระบบเกียร์ถือว่าเป็นระบบที่สำคัญช่วยในการส่งกำลังให้รถยนต์ได้ขับเคลื่อน ดังนั้นจึงจำเป็นต้อง
ดูแลรักษาระบบเกียร์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการเติมน้ำมันเกียร์ เพราะหากเกิดความเสียหาย
ผลที่จะตามมาก็คือผู้ใช้รถจะต้องควักกระเป๋าในการซ่อมแซมเกี่ยวกับระบบเกียร์จำนวนมากในแต่ละครั้ง
"ยานยนต์" มติชนมีคำแนะนำในการตรวจสอบสภาพของน้ำมันเกียร์ ดังนี้

1.น้ำมันเกียร์จะบอกสภาพของเกียร์ได้ น้ำมันเกียร์ที่ดีควรมีความสะอาด ไม่มีเศษโลหะหรือเป็นฟอง
และควรมีสีแดง

     2.ไม่ควรมีสีชมพู เป็นฟอง หรือสีขุ่นๆ คล้ายนมเย็น ซึ่งอาจจะมาจากน้ำหล่อเย็นหรือคูลแลนท์มาผสม เป็นต้น

     3.น้ำมันควรเช็ดออกง่ายจากก้านวัดระดับ การที่มีคราบวานิชเช็ดออกยากที่ก้านวัด แสดงให้เห็นว่าน่าจะมีปัญหา
ภายในเกียร์ และไม่ควรมีกลิ่นไหม้และไม่ควรมีสีคล้ำของน้ำมันเกียร์ด้วย เพราะนั่นหมายถึงเกียร์น่าจะมีการไหม้
หรือความร้อนสูงขึ้นแล้วภายใน

     4.การเติมน้ำมันเกียร์ กรณีระดับขาดเล็กน้อย ต้องแน่ใจว่าใส่น้ำมันเกรดเดียวกัน และมีความสะอาดอย่างเพียงพอ
นอกเหนือจากน้ำมันสะอาดและใช้น้ำมันที่ถูกต้องตามสเปกที่กำหนดแล้ว ระดับของน้ำมันก็มีความสำคัญมาก
ระดับที่มากเกินไป นอกจากจะทำให้เกิดฟองตามมาแล้ว อาจทำให้เกิดการรั่วซึมได้อีกด้วย และยังมีผลให้การ
เปลี่ยนถ่ายน้ำมันในครั้งต่อไปไม่สามารถเปลี่ยนถ่ายได้มากเป็นปกติ ทำให้มีน้ำมันเก่าตกค้างได้มาก
หากมีน้ำมันน้อยเกินไปแน่นอนว่าการทำงานจะไม่ถูกต้องและอาจสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ภายในเกียร์ได้

     กรณีน้ำมันน้อยหรือต่ำเกินไป สาเหตุคือเติมมาน้อยเกินไปแต่แรกหรือมีรอยรั่วที่ไหนหรือไม่ สิ่งนี้สำคัญมากๆ
ต้องหาให้ได้ว่าอะไรคือสาเหตุทำให้น้ำมันต่ำ

     ข้อควรระวังในการตรวจเช็กน้ำมันเกียร์
1.ระดับของรถจะต้องขนานกับพื้นไม่เอียง ทำให้ระดับผิดไป
2.เครื่องยนต์และเกียร์ควรจะอยู่ในอุณหภูมิเหมาะสมไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป
3.ดึงเบรกมือทุกครั้ง
4.เกียร์ควรอยู่ในตำแหน่ง N

 

     ที่มา นสพ.มติชน

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #7 เมื่อ: 14 พฤษภาคม 2015, 16:33:35 »

จ่ายหลักร้อย คุ้มครองหลักแสน พ.ร.บ. ช่วยได้

ผู้ใช้รถบางคนไม่เห็นความสำคัญของการทำประกันหรือต่อ พ.ร.บ. แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมา
ความเสียหายที่คุณต้องชดใช้นั้นเทียบไม่ได้เลยกับค่าทำ พ.ร.บ. เพียง 646 บาท
ซึ่งช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายกรณีบาดเจ็บ – เสียชีวิตสูงสุดถึง 200,000 บาท ส่วนความคุ้มครองอื่นๆ มีอะไรบ้าง

ทำ พ.ร.บ. ดีอย่างไร

คุ้มครองความเสียหายเบื้องต้นทั้งตนเองและคู่กรณี
เมื่อคู่กรณีเกิดชนแล้วหนี ยังมีค่ารักษาพยาบาล
มีสิทธิ์ต่อทะเบียนรถประจำปี
จ่ายเบี้ยถูกคุ้มครองหลักแสน

ความคุ้มครองการทำประกันภัยภาคบังคับ พ.ร.บ.
1. ความคุ้มครองเบื้องต้น (ไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด)   วงเงินคุ้มครอง  1.1 กรณีบาดเจ็บเบื้องต้น (ตามจริง)   15,000 บาท/คน
1.2 เสียชีวิต / สูญเสียอวัยวะ / ทุพพลภาพถาวร   35,000 บาท/คน
2. ค่าเสียหายส่วนเกินกว่าค่าเสียหายเบื้องต้น (หลังตรวจสอบว่าเป็นฝ่ายถูก)   วงเงินคุ้มครอง
2.1 ค่ารักษาพยาบาล   50,000 บาท/คน 2.2 เสียชีวิต / สูญเสียอวัยวะ / ทุพพลภาพถาวร   200,000 บาท/คน
2.3 ค่าชดเชยรายวัน 200 บาท รวมกันไม่เกิน 20 วัน (กรณีเป็นผู้ป่วยใน)   สูงสุดไม่เกิน 4,000 บาท/คน

ตัวอย่าง

     ถ้าคุณขับรถกระบะไปเฉี่ยวชนมอเตอร์ไซค์ล้ม คนขับหัวฟาดพื้นได้รับบาดเจ็บจนต้องนำส่งโรงพยาบาล
ซึ่งถ้าคุณทำพ.ร.บ. ไว้จะช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษาพยาบาลของผู้บาดเจ็บ และถ้าคู่กรณีเสียชีวิต พ.ร.บ.
ก็จะช่วยจ่ายค่าทำศพและจ่ายเงินชดเชยให้สูงสุดถึง 200,000 บาท แต่ถ้าโชคร้ายรถไม่มี พ.ร.บ.
หรือขาดต่อค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะตกเป็นภาระของคุณเพียงคนเดียว

  สรุปง่ายๆ คือรถทุกคันต้องทำ พ.ร.บ. เพราะไม่เพียงแค่ทำตามกฎหมายกำหนด
แต่ยังเพิ่มความปลอดภัยในชีวิตให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เพียงจ่ายเงินไม่กี่ร้อยเท่านั้น คุ้ม!


* 100.jpg (46.42 KB, 550x289 - ดู 607 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #8 เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2015, 15:31:30 »

ขับรถต้องรู้! ข้อควรระวังการใช้ “น้ำมันเครื่อง“

น้ำมันเครื่อง สามารถพิจารณาได้จากการแบ่งระดับ SAE น้ำมันเกรดเดียวจะมีช่วงอุณหภูมิที่สามารถใช้ได้แคบ
ดังนั้น น้ำมันเกรดเดียวจึงเหมาะสำหรับแต่ละฤดูต้องการใช้โดยเฉพาะ ส่วนน้ำมันเกรดรวมนั้นสามารถใช้ได้ทุกฤดูกาล
เนื่องจากช่วงอุณหภูมิที่สามารถใช้ได้กว้าง ปัจจุบันน้ำมันเกรดรวมเป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย
เนื่องจากสามารถใช้ได้ในช่วงอุณหภูมิกว้าง และมีประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันสูง

การแบ่งระดับชั้น SAE คือการแบ่งระดับของน้ำมันโดยความหนืด และช่วงอุณหภูมิสามารถใช้น้ำมันนี้ได้
ระดับ SAE มีทั้งสิ้น 11 ระดับ จาก 0W-60 ดังนี้ 0w, 5w, 10w, 15w, 20w, 25w, 20, 30, 40, 50
และ 60 จำนวนตัวเลขที่มากขึ้นหมายถึง ความหนืดมากขึ้นด้วย (เกรดที่มี W ต่อท้ายจะต้องผ่านการ
ทดสอบค่าแรงเสียดทานภายใต้อุณหภูมิต่ำ เหมาะสำหรับภูมิอากาศหนาว )

     สาเหตุที่ต้องกำหนดระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแต่ละครั้ง เพิ่มเติมจากการกำหนดการเปลี่ยนถ่าย
น้ำมันเครื่องตามระยะทาง เนื่องจากน้ำมันเครื่องค่อยๆ ทำปฏิกิริยารวมตัวกับออกซิเจนในอากาศและเสื่อมสภาพลง
แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ใช้รถก็ตาม

     โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของการเดินทางระยะสั้นๆ เครื่องยนต์หยุดการทำงานก่อนน้ำมันเครื่องจะร้อนขึ้น
ทำให้ความชื้นผสมอยู่ในน้ำมันเครื่องไม่มีโอกาสระเหยออกมา ขณะเดียวกัน สารเพิ่มคุณภาพต่างๆ
ในน้ำมันจะถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว จะทำให้อายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องสั้นลง ดังนั้น การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
จึงถูกกำหนดให้เปลี่ยนตามระยะเวลาด้วย

     หากใช้น้ำมันผิดประเภทใช้น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซินไปใช้กับเครื่องดีเซล จะทำให้การหล่อลื่นแย่ลง
และเครื่องยนต์เกิดการกัดกร่อนและเสียหายอย่างรวดเร็ว เพราะน้ำมันโซลาร์หรือน้ำมันดีเซลประกอบด้วยสารประกอบ
ประเภทกรด เช่น ซัลเฟอร์มากกว่าน้ำมันเบนซิน

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #9 เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2015, 16:33:20 »


ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเติมสารเพิ่มคุณภาพประเภทต้านทานการรวมตัวกับออกซิเจน
และการป้องกันสนิมลงในเครื่องยนต์ดีเซลมากกว่าเครื่องยนต์เบนซิน เมื่อใช้น้ำมันเครื่อง
สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลในรถยนต์เบนซิน ปัญหาจะไม่เกิดขึ้นในระยะสั้น แต่ถ้ายังใช้น้ำมันเครื่องนี้
ต่อไปอีกระยะยาวจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้น เช่น กำลังของเครื่องยนต์ลดลง เพราะการหล่อลื่น
ในเครื่องยนต์แย่ลงจะเกิดการสึกหรออย่างรวดเร็ว

     น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล ประกอบด้วยสารช่วยชะล้างทำความสะอาดในปริมาณน้อย
ทำงานอยู่ในช่วงอุณหภูมิต่ำ-กลาง ดังนั้น เมื่อใช้น้ำมันเครื่องนี้ในเครื่องยนต์เบนซินเป็นระยะเวลานาน
ทำให้ความสามารถในการละลายยางเหนียวในน้ำมันอุณหภูมิต่ำไม่เพียงพอ และยางเหนียวจะรวมตัว
เป็นตะกอน ขัดขวางการไหลเวียนของน้ำมัน และส่งผลทำให้การหล่อลื่นในเครื่องยนต์แย่ลง

     การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องกรณีรถใช้งานไม่หนัก (เช้าขับไปทำงาน-เย็นขับกลับบ้าน) รถไม่ติด
ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะหรือไม่ ถ้าสภาพน้ำมันเครื่องยังไม่ดำ
ควรจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก 10,000 กม. เพราะรถเป็นรถใช้ตามปกติไม่หนัก
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #10 เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2015, 14:57:29 »


4 วิธีล้างรถให้สะอาดเอี่ยมเหมือนใหม่

  ถ้าเป็นไปได้คงไม่มีใครอยากขับรถที่ฝุ่นเขรอะ สีรถหมองไม่ชวนมองหรอกจริงมั้ย? ซึ่งโดยปกติแล้วสีของรถที่
ออกมาจากโรงงานสามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้ในระดับหนึ่ง
แต่ถ้าเจ้าของรถละเลยไม่ดูแล โอกาสที่สีจะเสื่อมสภาพเร็วก่อนเวลาอันควรก็มีสูง

 1.ไม่ควรปล่อยทิ้งรถให้เลอะฝุ่นโคลนเป็นเวลานานๆ  เพราะคราบโคลนจะทำให้สีผิวรถเสื่อม
รวมทั้งอาจทำให้สารเคมีที่ติดอยู่ในโคลนซึมลึกเป็นอันตรายต่อสีรถ จนเกิดเป็นรอยด่างบนพื้นผิวรถได้

    2.หลีกเลี่ยงการจอดรถกลางแจ้งโดนแดดแรงๆ ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ควรหาผ้าคลุมรถสักหน่อย
และไม่ควรล้างรถขณะที่ผิวรถยังร้อนจัด

    3.ล้างรถให้ถูกวิธี โดยเริ่มจากการปัดฝุ่นที่อยู่บนรถก่อนสัก 1  รอบ หลังจากนั้นจึงเริ่มล้างรถไล่จากด้านบนลงมา
ด้านล่างของตัวรถ สิ่งสำคัญอยู่ที่การใช้ผ้าสะอาดเนื้อนุ่มและน้ำสบู่หรือน้ำยาล้างรถที่ต้องเลือกให้เหมาะสม
สุดท้ายคือเช็ดรถให้แห้งทันที ไม่ปล่อยให้รถแห้งเองเพราะจะทำให้รถเป็นรอยด่างน้ำตลอดคัน

    4.เคลือบสีรถยนต์กันฝุ่น  หลังจากล้างรถจนสะอาดและเช็ดพอหมาดๆ ให้เทน้ำยาเคลือบสีรถใส่ผ้านุ่มๆ
แล้วเริ่มเช็ดวนเป็นก้นหอยให้ทั่วรถ หลังจากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วค่อยเช็ดออก
วิธีนี้จะช่วยให้สีรถจะไม่กรอบแตก ทนต่อภาวะต่างๆ ได้ดีขึ้น

 Be Careful: สารเคมีที่อยู่ในน้ำมันเบรก น้ำมันเชื้อเพลิง และทินเนอร์ เป็นสารเคมีที่อาจทำให้รถเป็นรอยด่าง
ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงให้สารเคมีเหล่านี้สัมผัสกับตัวรถจะดีกว่า
 
   ข้อแนะนำเพิ่มเติม: ก่อนออกเดินทางทุกครั้งอย่าลืมเช็กด้วยว่า รถของคุณได้ทำประกันภัยรถยนต์และประกัน
ยังไม่หมดอายุ เพราะเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา อย่างน้อยก็ยังอุ่นใจว่าประกันภัยจะช่วยแก้ปัญหาและแบ่งเบา
ภาระค่าใช้จ่ายแก่คุณได้ค่ะ


* 06car.jpg (59 KB, 600x401 - ดู 590 ครั้ง.)

* 06washcar.jpg (71.09 KB, 600x401 - ดู 615 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #11 เมื่อ: 28 พฤษภาคม 2015, 15:27:46 »

ชนแล้วหนี จะเกิดอะไร!?!

ว่ากันว่าฟ้าฝนนั้นห้ามไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับอุบัติเหตุบนท้องถนนจากการขับขี่ ที่บางทีก็เกิดขึ้นโดยกระทันหัน
ไม่ทันได้ตั้งตัว บางคนขับรถไปเฉี่ยวชนคนแล้วชิ่งหนี ด้วยกลัวความผิด ไม่รู้ทำยังไงดี อันนี้แย่นะครับ
ขอบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดมากๆ เพราะนอกจากจะเจอโทษหนักในภายหลังแล้วตราบาปในใจยังยากจะลบเลือน

     หากคุณไม่อยากถูกตราหน้า ขึ้นชื่อว่าเป็น “นักซิ่งตีนผี” รู้จักวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องหลังเกิดอุบัติเหตุเอาไว้
ผ่อนหนักให้เป็นเบา ดีกว่านะครับ

 เมื่อขับรถชน “อย่าหนี”

     คุณประสบอุบัติเหตุขับรถชน สิ่งแรกที่ต้องทำคือ “ตั้งสติ และ อย่าหนี” เพราะความผิดฐานขับรถประมาทนั้น
ไม่ใช่เรื่องเจตนา ผู้กระทำผิดไม่ใช่อาชญากร จึงควรจะอยู่เพื่อต่อสู้กับความจริง มิฉะนั้นท่านจะต้องหลบหนี
นานถึง 15 ปี ถ้าคนที่ท่านขับไปชนนั้นเกิดเสียชีวิต และอาจเจอข้อหาหนักอื่นๆ อีกด้วย
แต่ถ้าท่านช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ มอบตัวสู้คดี บางทีคดีอาจยอมความกันได้
และศาลก็ปรานีลดโทษให้ตามความถูกต้องเหมาะสม
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #12 เมื่อ: 02 มิถุนายน 2015, 16:06:07 »

ข้อควรปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน

     1. เมื่อเกิดอุบัติเหตุจะต้องทำเครื่องหมายสัญญาณให้เห็นชัดเจน

     เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นซ้ำ เช่น วางป้าย สิ่งของ เป็นสัญญาณให้รถคันอื่นสังเกตเห็นได้ เมื่อมีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ

     2. ให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่ผู้บาดเจ็บ และรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยเร็ว

     แต่หากคุณตื่นตกใจ อาจทำอะไรไม่ถูก ควรโทร 1669 หมายเลขรับแจ้งอุบัติเหตุ การเจ็บป่วยฉุกเฉิน
ซึ่งจะให้คำแนะนำในการปฐมพยาบาล และส่งรถพยาบาลมายังจุดเกิดเหตุ ซึ่งบริการของ โทร 1669 เป็นสวัสดิการฟรี
ผู้บาดเจ็บไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเรียกใช้บริการรถพยาบาลแต่อย่างใด

     3. แจ้งตำรวจ เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน

     ไม่ว่าจะมีผู้บาดเจ็บหรือไม่ ต้องรีบแจ้งตำรวจในท้องที่โดยเร็วที่สุด (โทร. 191) เพื่อตำรวจจะได้ทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุ
และลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน และตำรวจจะเป็นผู้สั่งให้เคลื่อนย้ายรถออกจากสถานที่เกิดเหตุได้

     4. แจ้งประกันภัย

     เพื่อให้บริษัทประกันภัย ตรวจสอบรายละเอียดของเหตุ และความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วออกเอกสารเคลมให้
เพื่อนำไปติดต่อประเมินราคาและซ่อม กับบริษัทประกัน โดยหลักการประกันภัย บริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับ
ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งของยานพาหนะและบุคคลภายนอก รวมถึงคดีทางแพ่ง ภายในวงเงินที่ระบุไว้ในสัญญา

     5. เตรียมเอกสาร

     เช่น สำเนากรมธรรม์ประกันภัยรถคันที่เกิดเหตุ สำเนาบัตรประชาชน หรือหลักฐานอื่นใดที่ออกโดยราชการ
กรณีเรียกร้องค่าเสียหาย

     นี่คือข้อควรรู้เบื้องต้นในการปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตามการปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
และใช้รถใช้ถนนอย่างมีสติ มีน้ำใจ จะช่วยให้คุณปลอดภัยไกลจากอุบัติเหตุได้ดีที่สุดครับ



     ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : กรมการประกันภัย, lannalaw

     ที่มา Kaidee.com
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #13 เมื่อ: 05 มิถุนายน 2015, 16:11:02 »

สัญญาณเตือนภัย จากพวงมาลัย

พวงมาลัยรถยนต์ทำหน้าที่ควบคุมทิศทางของรถ หากเกิดปัญหาขึ้นมาย่อมเป็นอันตรายแน่นอน
สำหรับสัญญาณเตือนภัยที่บอกว่ารถของคุณกำลังมีปัญหา สามารถตรวจสอบได้ดังนี้

1.อาการพวงมาลัยสั่น

หลายคนเจอบ่อย เกิดจากยางเก่าหรือมีสิ่งผิดปกติกับยาง แต่ถ้าสั่นเฉพาะที่ความเร็วใดความเร็วหนึ่ง
มักเกิดจากการถ่วงล้อ แต่ถ้าสั่นเพิ่มตามความเร็วของรถ จะเกิดจากลูกปืนล้อหรือโช้กอัพอาจจะเสีย
หรือยางเครื่องแท่นเกียร์ชำรุด ก็ทำให้พวงมาลัยสั่นได้เช่นกัน นอกจากนี้ ยังสามารถเกิดขึ้นได้จาก
การขันนอตล้อไม่แน่น หรือรูนอตล้อไม่ดี ทำให้ล้อไม่ได้ศูนย์ และบางทีก็เป็นปัญหาจากตัวล้อเองที่บิดเบี้ยว



2.อาการพวงมาลัยหลวมมีช่วงฟรีมาก

ทำให้ควบคุมทิศทางได้ยาก บางทีเกิดขึ้นจากพวงมาลัยเองบางครั้งอาจเกิดจากลูกหมากปลายแร็ก
โดยจะมีเสียงดังตอนเลี้ยว ต่อมาอาการเสียงดัง แสดงว่าเกิดการสึกหรอของชิ้นส่วนบางอย่าง
หากปล่อยทิ้งไว้ อาจมีผลต่อการควบคุมทิศทาง อย่างเช่น ลูกหมากปลายแร็กที่มีปัญหา
หรืออาจเกิดจากการสึกหรอของฟันแร็ก ความห่างของลูกปืนในกระปุกพวงมาลัยกับลูกปืนคอพวงมาลัย
และที่มีปัญหามากคือ การหลวมคลอนของข้อต่อแกนพวงมาลัย

3.อาการพวงมาลัยหนัก

เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ขาด สายพานหย่อน แต่ถ้าหนักเฉพาะ
ตอนเลี้ยวข้างใดข้างหนึ่งมักจะเป็นที่วาล์ว รถรุ่นใหม่อาจเป็นเพราะปั๊มเพาเวอร์ไฟฟ้าบกพร่อง
หรือแรงดันลมยางโดยเฉพาะล้อหน้าอ่อนเกินไปหรือศูนย์ล้ออาจมีปัญหา



4.อาการพวงมาลัยเลี้ยวแล้วไม่คืน

ตัวการหลักมักเกิดขึ้นจากศูนย์ล้อไม่ถูกต้อง ควรไปร้านตั้งศูนย์ด่วน

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #14 เมื่อ: 08 มิถุนายน 2015, 15:33:34 »

3ค่ายญี่ปุ่นเรียกรถคืน

มาสด้า-ซูบารุ-มิตซูบิชิ ประกาศเรียกรถคืนอีกกว่า 7.1 แสนคัน เซ่นวิกฤตถุงลมนิรภัย

ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของญี่ปุ่น คือ มาสด้า มอเตอร์ คอร์ป, ฟูจิ เฮฟวีส์ อินดัสตรีส์
(ซูบารุ) และมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ป ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ว่า เตรียมประกาศเรียกรถยนต์คืนอีกราว 7.1 แสนคัน เนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับถุงลมนิรภัย
ที่ผลิตโดย ทากาตะ ซึ่งกำลังประสบปัญหาอื้อฉาว.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/ ยานยนต์/เปิดโลกยานยนต์/366411/3ค่ายญี่ปุ่นเรียกรถคืน
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #15 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2015, 15:00:22 »

ข้อเสีย

- ใช้เงินค่อนข้างสูงในการซื้อ : แค่เงินดาวน์ก็ไม่ใช่เล่นๆ แล้วยังมีค่าเบี้ยประกัยรถยนต์ที่แพงกว่ารถมือสองหลายส่วน

- อาจต้องรอคิวในการรับรถ : ถ้ารถรุ่นที่อยากได้ดันเป็นรุ่นยอดนิยมแบบสุดๆ คุณอาจจะต้องต่อคิวรอตามใบสั่งซื้อ
กว่าจะได้จับคันจริงคงจะต้องรออีกหลายเดือนเลยทีเดียว

- ค่าเสื่อมในตัวรถ : ถ้าจะซื้อรถใหม่ป้ายแดงอาจจะต้องทำใจสักหน่อย เพราะแค่ซื้อก็ราคาตกแล้วด้วยค่าเสื่อมราคา
ซึ่งมีเรทสูง 30-50%

รถมือสอง

ข้อดี

- ได้รถรุ่นที่สูงขึ้นในราคาที่เท่าเดิม : เพราะเป็นรถมือสองราคาจึงถูกกว่ารถมือหนึ่ง จนบางทีคุณอาจจะได้ Honda Civic
ในราคาของ Honda City เลยล่ะ

- ใช้เงินในการออกรถน้อยกว่าแต่คุ้มค่ามากกว่า : เพราะเป็นรถที่มือหนึ่งมักจะราคาตกค่อนข้างเร็ว บางทีการใช้งานของรถอาจ
จะไม่ได้หนักมาก แต่สภาพยังดูดีสุดๆ เรียกได้ว่าคุ้มแบบ 2 ต่อ สบายกระเป๋า ได้รถถูกใจ

- ได้รถแต่งมาพร้อมแบบสวยเช้ง :  รถมือสองหลายคันมักผ่านการตกแต่งมาอย่างเต็มที่ เช่น เครื่องเสียง, ล้อแม็ก,
ซันรูฟ เป็นต้น ทำให้คุณอาจจะได้รถที่โดนใจแถมแต่งมาเรียบร้อยในราคาแสนคุ้ม

- เลือกซื้อและเปรียบเทียบได้ง่ายตั้งแต่อยู่บ้าน : ปัจจุบันมีเว็บไซต์ซื้อขายรถมือสองเป็นจำนวนมาก ทำให้ง่ายต่อการเลือกซื้อ
และบางเว็บก็มีการบริการที่รองรับในหลายๆ ด้าน


ข้อเสีย

- รถผ่านการใช้งานมาแล้ว : ขึ้นชื่อว่ารถมือสองย่อมผ่านการใช้งานมาแล้วแน่นอน ซึ่งก่อนซื้อคุณอาจจะมีผู้เชี่ยวชาญสักคน
ไปช่วยดูรถที่คุณสนใจให้มั่นใจได้ว่า รถมือสองสภาพพร้อมใช้งานแค่ไหน

- หารถโดนใจยาก : บางทีรถที่อยากได้ก็หายากมาก จนต้องตระเวนตามเต็นท์รถจนแทบถอดใจ ไม่เหมือนกับรถมือหนึ่งที่
สามารถเลือกได้ตรงที่ต้องการ ข้อแนะนำสำหรับการหารถมือสองโดนใจควรลองเข้าเว็บไซต์รถมือสองที่มีรถให้เลือกมากมายหลายรุ่น
ยกตัวอย่างเช่น Krungsri Market ที่นอกจากจะมีให้เลือกแล้วยังสามารถฟีเจอร์ที่ช่วยให้ค้นหารถที่โดนใจได้ง่ายขึ้น
ทำให้ได้รถโดนใจโดยไม่ต้องเดินทางตามหา


สำหรับใครที่กำลังจะเล็งซื้อรถใหม่ก็สามารถลองเปรียบเทียบจากข้อดีข้อเสียด้านต้นแล้วลองช่างใจดูว่า แบบไหนที่จะโดนใจคุณ!
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #16 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2015, 14:58:03 »

เทคนิคเลือกฟิล์มรถยนต์ ..เรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

ยานยนต์ "มติชน" มีข้อแนะนำการเลือกฟิล์มกรองแสงคุณภาพดี ควรมีคุณสมบัติต่างๆ ของฟิล์ม เช่น %
การลดความร้อน, % การลดรังสียูวี, % การสะท้อนแสง, % แสงส่องผ่าน ต้องเป็นค่ามาตรฐานจากโรงงานผู้ผลิตที่เชื่อถือได้
และควรเป็นไปตามมาตรฐานโรงงานผู้ผลิตที่มีแหล่งที่มาชัดเจน นำเข้ามาจากโรงงานที่ผ่านมาตรฐานที่สากลยอมรับ มีที่ตั้งชัดเจน

 โดยทั่วไปการรับประกันคุณภาพจะไม่ต่ำกว่า 7 ปี และสิ้นสุดเมื่อมีการเปลี่ยนชื่อเจ้าของรถ ดังนั้น
ผู้บริโภคจึงต้องเลือกบริษัทตัวแทนจำหน่ายที่มั่นใจว่าตลอดระยะเวลาการรับประกัน บริษัทจะยังคงดำเนินธุรกิจฟิล์มกรองแสงอยู่อย่างมั่นคง
และพร้อมจะรับผิดชอบหากฟิล์มที่ติดตั้งไปเกิดปัญหาใดๆ ขึ้น

     ราคาต้องสมเหตุสมผล เหมาะสมกับคุณภาพในระดับยอมรับได้ ไม่ใช่ต้องแพงเพียงเพราะมีชื่อเสียงมานานหรือเพราะโฆษณาเกินจริง
ทำให้ตั้งราคาแพงหรือสูงขึ้นอีก ไม่สมคุณภาพที่โฆษณาไว้

     ควรพิจารณาถึงวิธีการทดสอบคุณภาพของฟิล์มกรองแสงด้วยว่าเชื่อถือได้หรือไม่ เช่น ไม่ควรทดสอบฟิล์มด้วยแสงสปอตไลต์
เพราะเวลาเราขับรถจริงๆ เราขับรถภายใต้แสงแดด และแหล่งกำเนิดแสงทั้งสองชนิดนี้ก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
บางครั้งยังมีกรณีฟิล์มที่ใช้เวลาทดสอบกับฟิล์มที่นำมาติดตั้งให้นั้นเป็นคนละชนิดกัน หรือใช้ฟิล์มติดตั้งซ้อนทับกันสองชั้นในการทดสอบ
จุดนี้ผู้บริโภคต้องพึงระวัง
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #17 เมื่อ: 22 มิถุนายน 2015, 15:42:09 »

เทคนิคเลือกฟิล์มกรองแสงกันความร้อนสู่ห้องโดยสารช่วยประหยัดพลังงานที่ใช้ทำความเย็นแล้วช่วยยืดอายุชิ้นส่วนภายใน
ต่อมาคือเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ต้องยอมรับว่าฟิล์มทึบสามารถพรางภายในรถไม่ให้คนภายนอกมองเข้าไปเห็นได้
นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องของความปลอดภัยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ที่เหลือเป็นเรื่องของความสวยงาม เพราะมีฟิล์มแบบแฟชั่นให้
ความสวยงามกับรถยนต์ได้ด้วย

     ความเข้าใจที่ว่าฟิล์มที่มีสีเข้มหรือทึบช่วยลดความร้อนได้ดี ในความจริงแล้วสีของฟิล์มไม่ได้เป็นตัวช่วยลดความร้อน
แต่กลับเป็นสารเคลือบตัวอื่นๆ ที่ทำหน้าที่หลักนี้

     ทุกวันนี้ฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์จะขายผ่านร้านประดับยนต์ร้านติดตั้งเครื่องเสียงจะมีทั้งได้รับแต่งตั้งจากผู้จำหน่ายโดยตรง
กับไม่ได้รับการแต่งตั้ง ร้านที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งจะนำฟิล์มเข้ามาจำหน่ายเอง เสี่ยงต่อฟิล์มคุณภาพต่ำ
บางแห่งก็เสนอฟิล์มแบบมียี่ห้อให้ดู พอตอนติดตั้งแอบไปเอาฟิล์มอะไรไม่รู้มาติดรถ

     ควรเลือกร้านที่มีห้องสำหรับการติดฟิล์มโดยเฉพาะ เนื่องจากฝุ่นคือศัตรูตัวร้ายกาจของการติดฟิล์ม

     ฝีมือช่างต้องชำนาญ หากต้องการให้ฟิล์มอยู่คงทนนาน ช่างติดฟิล์มจะต้องมีฝีมือในการกรีดฟิล์ม เพราะหากฝีมือไม่ดีพอ
เวลากรีดฟิล์มลงสู่กระจกจะทำให้ฟิล์มไม่เสมอกัน โดยเฉพาะตรงขอบกระจก และถ้าเลวร้ายไปกว่านั้น
บางครั้งอาจกรีดโดนกระจกรถยนต์และทำให้เป็นรอยได้
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #18 เมื่อ: 24 มิถุนายน 2015, 14:43:39 »

ฟิล์มกรองแสงที่ดีจะต้องพิจารณาจากคุณสมบัติของกาวด้วยกาวที่ดีต้องมีความบางใสและเหนียว
เมื่อติดแล้วต้องทนทานต่อสภาวะความร้อนเย็นของกระจกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ยึดติดกับกระจกได้ดี
ไม่ทำให้ฟิล์มกรองแสงนั้นๆ พอง ลอก ล่อน เป็นฟองอากาศ อีกทั้งกาวที่ดีควรมีคุณสมบัติที่ติดแน่นกับเนื้อฟิล์ม
เมื่อต้องการลอกฟิล์มออกมา กาวควรอยู่บนด้านฟิล์มมิใช่ด้านกระจก รวมทั้งกาวจะต้องไม่เปลี่ยนสี
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนสีของฟิล์มที่ติด ที่เรียกว่าฟิล์มเป็นสนิม

     ฟิล์มที่ดีจะต้องป้องกันรอยขีดข่วนหรือเคลือบสารกันรอยขีดข่วนฟิล์มกรองแสงทำมาจากโพลีเอสเตอร์
มีจุดอ่อนในเรื่องความอ่อนของผิว มักสามารถเป็นรอยเส้นคล้ายรอยขนแมวได้ง่าย แต่ปัจจุบันได้มีการคิดค้น
สารเคมีที่ทำหน้าที่เคลือบแข็งบนผิวของฟิล์ม ทำหน้าที่ในการป้องกันการขีดข่วนจากการใช้งานปกติ

     จำไว้ว่าฟิล์มกรองแสงที่ดีไม่ใช่ฟิล์มที่ช่วยลดแสงจ้าได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความสามารถในการ
สะท้อนแสงอาทิตย์ได้ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายในการขับขี่ รวมทั้งช่วยประหยัดพลังงานในการทำงาน
ของเครื่องปรับอากาศในรถด้วย

ที่มา: มติชนรายวัน 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558


บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #19 เมื่อ: 29 มิถุนายน 2015, 11:51:41 »

จะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่ควรใช้ “ไฟตัดหมอก“?

  รถยนต์รุ่นใหม่ๆที่วางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน มักจะมาพร้อมอุปกรณ์ส่องสว่างที่เรียกว่า "ไฟตัดหมอก" ซึ่งมีประโยชน์อย่าง
มากหากใช้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของมัน แต่จะกลายเป็นดาบสองคมทันทีหากใช้ผิดที่ผิดทาง

     แล้วแบบนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่ควรเปิดไฟตัดหมอก?  จึงขอแนะนำการใช้งานไฟตัดหมอกอย่างถูกวิธีกันครับ

 ไฟตัดหมอกถือว่าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งในรถยุโรปแบรนด์หรูส่วนใหญ่มาร่วม 30 ปีแล้ว ซึ่งมีทั้งที่ติดตั้งไว้ในชุดโคมไฟใหญ่
และแยกออกมาติดตั้งไว้บริเวณกันชน รวมถึงไฟตัดหมอกหลังที่มักอยู่ในชุดโคมเดียวกับไฟท้าย พร้อมสวิตช์ปิด-เปิดอยู่ภายในรถ

     ขณะที่รถจากฝั่งญี่ปุ่นนั้น 'ไฟตัดหมอก' ก็ถูกติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเกือบทุกรุ่นที่วางจำหน่ายในปัจจุบันแล้วเช่นกัน
ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นไฟตัดหมอกด้านหน้า ขณะที่ไฟตัดหมอกหลังยังคงมีให้เป็นบางรุ่น บางยี่ห้อเท่านั้น

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #20 เมื่อ: 01 กรกฎาคม 2015, 11:04:39 »

  'ไฟตัดหมอกหน้า' ส่วนใหญ่มักมีความเข้มของแสงใกล้เคียงกับไฟหน้าฮาโลเจนทั่วไป แต่มีความพิเศษอยู่ที่ลำแสงที่พุ่งออกมานั้น
จะถูกปรับให้ส่องลงพื้นและออกไปทางด้านข้างมากกว่าไฟหน้าปกติ โดยมีวัตถุประสงค์ดั้งเดิมเพื่อให้ผู้ขับสามารถมองเห็น
ขอบถนนได้ง่ายขึ้น ในเวลาที่ทัศนวิสัยด้านหน้าแย่มาก (เช่น ฝนตกหนัก, หมอกลงจัด ฯลฯ) ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถประคองรถ
ให้อยู่ในเลนไปได้เรื่อยๆ

     ขณะที่ไฟตัดหมอกสมัยใหม่จะถูกออกแบบลำแสงให้เลี่ยขนานไปกับพื้นถนนด้วย เพื่อช่วยเสริมการทำงานของไฟหน้าให้ผู้ขับขี่
สามารถมองเห็นทางได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งไฟตัดหมอกประเภทนี้มักพบในรถยุโรป และรถญี่ปุ่นบางยี่ห้อ โดยไฟลักษณะนี้หากเผลอเปิด
ทิ้งไว้ในสภาพอากาศปกติ จะไม่กระทบกับสายตารถที่วิ่งสวนมาเท่าใดนัก (ยกเว้นพื้นถนนเปียกอาจสะท้อนเข้าตาได้เหมือนกัน)

     ส่วนไฟตัดหมอกที่ติดตั้งในรถญี่ปุ่นบางรุ่น มีลักษณะการกระจายแสงไปด้านหน้าแบบทั่วทิศทาง (หากนึกไม่ออกลองนึกถึง
ไฟฉายที่สามารถกระจายแสงได้กว้างๆนั่นแหละ) ซึ่งไฟตัดหมอกประเภทนี้มีประโยชน์ในการช่วยให้ผู้ขับขี่ที่สวนทางมามองเห็น
ได้จากระยะไกลขึ้นกว่าเดิม ในสภาพที่ทัศนวิสัยอยู่ในระดับแย่มาก แต่หากสภาพอากาศเป็นปกติแล้วนั้น
ไฟตัดหมอกประเภทนี้จะแยงสายตาผู้ร่วมทางเป็นอย่างมากเช่นกัน

  ส่วนไฟตัดหมอกหลังนั้น จะมีลักษณะเป็นแสงสีแดงพุ่งตรงไปทางด้านหลัง มีความเข้มของแสงเท่ากับหรือมากกว่า
ไฟเบรกเล็กน้อย เพื่อให้ผู้ขับขี่ที่ตามมาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในสภาวะฝนตกหนักหรือหมอกลงจัด
ช่วยป้องกันอุบัติชนท้ายได้ดีกว่าไฟท้ายปกติ แต่แสงที่ว่าจะแยงตาผู้ร่วมทางเป็นอย่างมาก หากเปิดใช้ในสภาพอากาศปกติ


บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #21 เมื่อ: 09 กรกฎาคม 2015, 14:37:04 »

 แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไหร่ควรเปิดไฟตัดหมอก?

     โดยปกติแล้ว ไฟตัดหมอกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จะมีการเปิดใช้ก็ต่อเมื่อสภาพอากาศภายนอกแย่จัด
จนส่งผลกระทบต่อทัศนวิสัยเท่านั้น (หากฝนตกปอยๆ แบบใช้ที่ปัดน้ำฝนช้าๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดหรอกครับ)
ให้สังเกตว่าหากเราไม่สามารถมองเห็นไฟท้ายรถคันหน้าท่ามกลางสายฝนในระยะ 50-100 เมตร
ก็สามารถเปิดไฟตัดหมอกช่วยได้แล้วครับ เมื่อทัศนวิสัยกลับมาเป็นปกติก็ให้รีบปิดไฟตัดหมอกโดยทันที


ขับรถทางไกลมืดๆ เปิดไฟตัดหมอกหน้าทิ้งไว้ดีหรือไม่?

     จริงอยู่ที่ว่า เมื่อเปิดไฟตัดหมอกคู่กับไฟหน้า จะทำให้ไฟหน้าดูสว่างขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะส่องได้ไกลขึ้นแต่อย่างใด
แถมยังอาจรบกวนสายตาผู้ร่วมทางที่วิ่งสวนมาอีกต่างหาก ทางที่ดีผู้ที่ต้องขับขี่ทางไกลยามวิกาลบ่อยๆ การลงมือปรับตั้งไฟหน้า
ให้ส่องสว่างได้ไกลขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย จะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า (แต่ต้องไม่ปรับให้สูงจนแยงตารถคันที่สวนมาด้วยนะครับ)

    'ไฟตัดหมอก' ถือเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้มากหากใช้งานอย่างถูกต้อง
หากรถของคุณติดตั้งมาให้ด้วยแล้วล่ะก็ อย่าลืมใช้งานอย่างถูกวิธีด้วยนะครับ


บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #22 เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2015, 14:37:50 »

วิธีรับมือ...เมื่อคันเร่งค้าง

คอลัมน์ คาร์ทิปส์ นสพ.มติชนรายวัน

     เหตุการณ์คันเร่งค้างอาจเกิดกับรถคันไหนก็ได้ เพื่อรับมือกับเหตุการณ์นี้ เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสีย ยานยนต์ "มติชน"
มีข้อมูลมาแนะนำผู้ขับรถยนต์ดังนี้

 สาเหตุของคันเร่งค้าง ทำให้รถนั้นเร่งตลอดจนเกิดอุบัติเหตุแบ่งออกได้ 2 สาเหตุหลัก คือความผิดพลาดของตัวผู้ขับเอง
หรือปัญหาจากตัวรถ

     เมื่อเกิดคันเร่งค้าง ผู้ขับขี่อาจตกใจเวลาเจอเรื่องกะทันหัน อาจไปเหยียบคันเร่งแทนเบรก หรือการใส่รองเท้าส้นสูงขับรถ
หรือมีสิ่งของต่างๆ เช่น ขวดน้ำไปขัดกับคันเร่ง กว่าจะถอนจากคันเร่งมาเหยียบเบรกก็ไม่ทันแล้ว

     ส่วนปัญหาเกิดจากตัวรถ อาจเกิดปัญหาคนเร่งจมค้าง ทำให้แป้นเบรกแข็งจนไม่สามารถใช้เบรกเป็นปกติของตัวรถเพื่อ
ป้องกันการเหยียบเบรกพร้อมคันเร่งอยู่แล้ว หรือเบรกมีปัญหา เช่น เบรกจม เบรกแตก ทำให้ห้ามล้อไม่ได้ หม้อเบรกมีปัญหา
ทำให้เบรกแข็งเกินไปจนหยุดรถไม่ทัน

     สำหรับวิธีการรับมือปัญหาเบรกและคันเร่งค้าง กรณีเกิดบนอาคารจอดรถ ตั้งสติให้ดีให้ใส่เกียร์ว่างทันที ทำให้รถไม่เร่งความเร็ว
หลังจากนั้นให้เหยียบเบรกแรงๆ แม้จะไม่รู้สึกเหมือนว่าเบรกก็ต้องเหยียบเบรกไว้ จนรู้สึกว่ารถชะลอตัว

     กรณีเบรกไม่ทัน ให้รีบประคองรถเข้าไปหาจุดที่คิดว่าแข็งแรง ในกรณีเป็นลานจอดรถจุดที่แข็งแรงที่สุดคือเสา
อย่าพุ่งไปที่ผนังหรือกำแพง และเลือกฝั่งที่ไม่มีคนนั่งชนกับเสา เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ

     สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาดคือการดับเครื่องยนต์ เพราะจะทำให้พวงมาลัยล็อก และเราจะไม่สามารถควบคุมทิศทางของรถ
จนพุ่งตกอาคารได้ หากเป็นทางตรงยาว ให้ดับเครื่องยนต์ได้ทันที จะทำให้เครื่องยนต์ไม่ขึ้นรอบสูงจนเสีย
และประคองรถเข้าข้างทางได้

     นอกจากนี้สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาดคือดึงเบรกมือ เพราะรถจะหมุนเสียการควบคุมทันที

     สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมี "สติ" จะช่วยให้แก้ปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #23 เมื่อ: 15 กรกฎาคม 2015, 16:28:27 »

รู้ไว้ใช่ว่า! เทคนิค การขับรถขึ้นเขา-ลงเขา ง่ายๆ-ปลอดภัย

 การขับรถขึ้นเขา ซึ่งเป็นที่สูง อาจต้องใช้รถยนต์ที่มีกำลังเครื่องยนต์มากกว่า 1500 ซีซี ขึ้นไป ส่วนกรณีรถยนต์
อีโคคาร์ 1200 ซีซี ก็พอไปได้แต่ก็ต้องดูแรงบิดของรุ่นให้ดี

หลักการขับรถขึ้นเขาคร่าวๆ พอจะเล่าสู่กันฟังได้ดังนี้ครับ

      เริ่มจากการใช้เกียร์ต่ำ ปรับเปลี่ยนเกียร์ เมื่อรถเสียกำลัง อย่าลากเกียร์จนหมดแรงส่ง ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติ
ให้ใช้เกียร์ 2 ในการขับขึ้นเขาลงเขา และเปลี่ยนไปใช้เกียร์ D บ้าง เมื่อรถอยู่ในทางราบ การขับให้ใช้เกียร์ช่วยตลอดทาง
เกียร์อัตโนมัติไม่พังง่ายๆ

      ขณะที่ เมื่อขับลงเขาที่ลาดชันมากและยาวไกล ก่อนเข้าโค้งให้เปลี่ยนเกียร์จากตำแหน่ง D มา 2 ถ้า 2
ยังเอาไม่อยู่ให้เปลี่ยนมา L แต่อย่าเปลี่ยนเกียร์ขณะฝนตกทางลื่นรถจะเสียการทรงตัว การใช้เกียร์แต่ละเกียร์ควร
ดูสภาพทางเป็นหลักในการพิจารณา

  ส่วนเกียร์ธรรมดาการทำงานจะง่ายกว่า มีเกียร์ให้เล่น 5 ตำแหน่ง และมีคลัทช์ช่วยในการส่งกำลังไปยังล้อตามที่
เราต้องการได้ทุกขณะ แต่เกียร์อัตโนมัติบางรุ่นจะทำงานไม่ได้อย่างที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นควรประเมินสภาพ
ทางก่อนใช้เกียร์ดีที่สุด

      ส่วนการขับเข้าโค้งธรรมดาหรือบนภูเขา ควรมองให้ไกลให้ลึกและให้คนนั่งข้างช่วยดูสภาพทางด้วย
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีรถสวนมาให้ใช้วิธีตัดโค้งวิธีนี้จะช่วยให้รถทรงตัวดี, เข้าโค้งได้เร็ว, รถไม่ใช้กำลังมาก
ลูกปืนล้อไม่ทำงานหนัก, ยางก็ไม่ล้มตัวมาก หน้ายางจะสัมผัสผิวถนนได้มากตามไปด้วย แต่ต้องแน่ใจว่าไม่มีรถสวนมา
สมมติจะเข้าโค้งขวาก่อนเข้าโค้งให้ถอนคันเร่งลง หักพวงมาลัยไปทางซ้ายนิดหนึ่ง แล้วหักพวงมาลัยมา
ทางขวาเพื่อทำโค้งให้กว้างขึ้น ใช้พื้นที่ถนนทุกตารางนิ้ว ถ้ารถจะเลี้ยวซ้ายก็ให้เลี้ยวทางขวานิดหนึ่งแล้วเลี้ยวซ้าย
การฝึกใหม่จะรู้สึกฝืนความรู้สึกบ้าง ถ้าขับชำนาญแล้วก็จะชินไปเอง
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #24 เมื่อ: 22 กรกฎาคม 2015, 15:41:34 »

เมื่อท่านผู้อ่าน ขับรถเข้าโค้งหักศอกขึ้นเขารูปฟันปลา การขับแบบนี้ต้องให้ผู้ช่วยดูรถด้านซ้ายด้วยโดยมอง
ถนนด้านบนก่อนว่าไม่มีรถสวนลงมา กดแตรรถก่อนจะขับขึ้นไป หลักการขับก็เหมือนเข้าโค้งธรรมดา
จะเลี้ยวซ้ายก็หักพวงมาลัยไปทางขวาก่อนแล้วหักพวงมาลัยไปทางซ้ายเข้าโค้ง เมื่อรถเข้าโค้งล้อหน้าจะเกิดแรงต้าน
รถต้องใช้กำลังมาก ทำให้รถขับขึ้นได้ช้า ควรคืนพวงมาลัยกลับมาบ้าง และเร่งเครื่อง ทำแบบนี้เป็นจังหวะไปมาจนพ้นโค้ง
การขับลงโค้งแบบนี้อย่าใช้ความเร็ว ควรลงช้าๆ ใช้เบรกช่วยชะลอความเร็วแต่อย่าเหยียบแรง ท้ายรถจะปัด
ยิ่งหน้าฝนท้ายรถจะปัดได้ง่าย ถ้าท้ายรถปัดรถจะเสียการทรงตัว ให้หักพวงมาลัยไปทิศทางท้ายรถ เช่น
เลี้ยวซ้ายท้ายรถปัดไปทางขวาก็ให้หักพวงมาลัยไปทางขวา เมื่อรถทรงตัวได้แล้วให้บังคับรถไปในทิศทางที่ต้องการ
ถ้าเอาไม่อยู่ให้เลือกทางภูเขาไว้ก่อน อย่าเลือกทางหน้าผาก็แล้วกัน

และหากว่าท่านต้องเบรก การเพิ่มระยะทางการเบรก การเบรกรถกะทันหัน รถเราอาจไปชนรถข้างหน้า
ควรเลี้ยวรถดึงพวงมาลัยไปทางไหล่ทาง หรือมีพื้นที่เพื่อเพิ่มระยะทางการเบรก

ทั้งนี้ การขับรถบนภูเขาที่มีทางคดเคี้ยวไปมาเป็นเวลานานๆ เมื่อถึงทางตรงลงเขายาวไกล อย่าขับเร็วเด็ดขาด
คนขับส่วนมากจะขับเร็วรถมาก อันตรายมากนะครับทางแบบนี้ น้ำหนักรถ ความเร็ว ระยะทางถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เช่น
มีรถ, คน, ฯลฯ ขึ้นจากข้างทางหักหลบไม่พ้นแน่ ถึงจะหักหลบได้แต่รถต้องเกิดอะไรแน่นอน ไม่พลิกคว่ำ
แหกข้างทางเข้าป่า หรือไม่ก็ชนรถที่วิ่งสวนมา

เมื่อต้องขับรถโค้งต่อเนื่องรูปตัว S ต้องมองให้ไกล มองให้ลึก เมื่อแน่ใจว่าทางว่าง ไม่มีรถสวนมาให้ถอนคันเร่งลง
แล้วเสียบตัดโค้งในแนวการขับเป็นเส้นตรงที่สุด ง่ายไหม? ...ครับ แต่การขับรถลักษณะนี้ถ้าไม่แน่ใจเส้นทางข้างหน้า
หรือทัศนวิสัยไม่ดีควรขับเข้าทางโค้งธรรมดา อยู่ในทางของเราเอง

นอกจากนี้ ในส่วนการขับในทัศนวิสัยไม่ดี ทางโค้งแคบที่มีสันเขาบังสายตา ควรเข้าโค้งแบบธรรมดา
ต้องบีบแตรส่งสัญญาณทุกครั้งก่อนจะเข้าโค้งเพื่อป้องกันรถที่วิ่งสวนมา เนื่องจากคนที่ขับรถเจ้าถิ่นบนภูเขา
เป็นประจำจะขับรถตัดโค้ง

และเมื่อต้องเจอกับทางลูกรังหรือทางที่มีหินลอย ทางแบบนี้ถือได้ว่าเป็นทาง ′ปราบเซียน′ กลิ้งกันมาหลายคันครับ
การที่ล้อรถลอยตัวขณะวิ่งเข้าโค้งเราไม่สามารถบังคับได้อย่างที่ต้องการ และการที่เราไม่คุ้นเคยกับเส้นทางมาก่อนก็ไม่ควรขับรถด้วยความเร็ว


บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #25 เมื่อ: 24 กรกฎาคม 2015, 11:13:30 »

ข้อควรระวัง

      1.ขณะขับรถขึ้นทางชันหรือขึ้นเขาควรเร่งความเร็วให้สม่ำเสมอเพิ่มกำลังเครื่องยนต์อย่างนุ่มนวลแต่อย่าเร่งเครื่องยนต์
อย่างรุนแรงนะครับเพราะนอกจากความเร็วจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย

      2. อย่าใช้เกียร์ว่างในขณะลงเนินชัน หรือลงเขาโดยเด็ดขาด!! เพราะจะทำให้รถไหลลงด้วยความเร็วสูง
โดยไม่มีแรงหน่วงของเครื่องยนต์ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรใช้เกียร์ต่ำ
และค่อยๆปล่อยรถให้ไหลลงเนินตามรอบเครื่องยนต์ และอย่าลืมควบคุมความเร็วของรถให้สัมพันธ์กับเกียร์ ด้วยนะครับ

      3. ควรใช้เกียร์ต่ำ คือเกียร์ 1 หรือ เกียร์ 2 (เกียร์อัตโนมัติคือ L)ในขณะขับรถขึ้นเขา เพราะถ้าใช้เกียร์ที่สูง
อย่างเช่นเกียร์ 3, 4 หรือ 5 จะทำให้เครื่องยนต์ไม่มีกำลังและแรงฉุดมากพอที่จะเคลื่อนที่ขึ้นเนินเขา
นอกจากนี้ยังเป็นการผลาญน้ำมันโดยไม่จำเป็นอีกด้วย

      สุดท้ายเพิ่มเติมไว้ ตอนขาลงก็ระวังเรื่องเบรกแล้วกันครับ ระวังจะไหม้ซะก่อน ผู้เขียนเคยเเล้ว
รอบเครื่องเบรกก็กลัวเปลืองน้ำมัน ขาลงใช้เบรกมากไปหน่อย ลองเอามือไปเเตะถึงกับมือพองเลยทีเดียวครับ ...
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #26 เมื่อ: 29 กรกฎาคม 2015, 15:36:23 »

จอดรถกลางแดด ยกก้านปัดน้ำฝนช่วยยืดอายุยางจริงหรือ ?

บ่อยครั้งที่มักได้ยินคำแนะนำให้ยกก้านที่ปัดน้ำฝนเวลาจอดรถกลางแดด รวมทั้งเห็นผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ปฎิบัติอย่างนี้
แต่การยกก้านที่ปัดน้ำฝนจะช่วยยืดอายุยางปัดน้ำฝน แต่อาจส่งผลต่ออายุการใช้งานของสปริงยกก้านที่ปัดน้ำฝน

การจอดรถยนต์ตากแดดนานๆ การยกที่ปัดน้ำฝน เพื่อไม่ให้ยางใบปัดสัมผัสแนบอยู่กับกระจกเสื่อมสภาพ
จะช่วยให้ยางปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพช้าลง แต่การยกก้านที่ปัดน้ำฝนบ่อยๆ และยกก้านที่ปัดน้ำฝนค้างไว้ครั้งละนานๆ
จะส่งผลให้สปริงยกก้านที่ปัดน้ำฝนเกิดอาการล้าเร็ว อายุการใช้งานสั้นลง ทำให้แรงกดของใบปัดน้ำฝนกับกระจกหน้าลดลง
ส่งผลต่อแรงปัดของก้านปัดน้ำฝน ทำให้ปัดน้ำฝนไม่เกลี้ยง หรือมีคราบน้ำเป็นเส้น ๆ ตามรอยโค้ง
ซึ่งหากสปริงยกก้านที่ปัดน้ำฝนล้าค่าใช้จ่ายในการซ่อมจะสูงกว่าค่ายางที่ปัดน้ำฝนทั้งสองข้าง

โดยปกติยางที่ปัดฝนมีคุณสมบัติทนต่อความร้อนได้ดี และที่ผิวกระจกไม่ได้มีความร้อนสูงมากมาย
ไม่ว่าจะยกก้านหรือไม่ยกก้าน ยางปัดน้ำฝนก็จะเสื่อมสภาพไปตามธรรมชาติ และสาเหตุที่ยางปัดน้ำฝนเสื่อมเร็วกว่าปกติ
ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากความร้อน แต่เกิดการใช้งานและการดูแลรักษามากกว่า

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #27 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2015, 16:53:15 »


การถนอมยางปัดน้ำฝนที่ดีที่สุดเมื่อต้องจอดรถยนต์ตากแดดกลางที่โล่งแจ้ง คือ ก่อนที่จะออกรถยนต์ออกหลังจาก
จอดตากแดดทุกครั้งให้ยกก้านใบปัดน้ำฝนขึ้นมา แล้วนำผ้าหรือกระดาษเช็ดหน้านุ่ม ๆ เช็ดลูบเบา ๆ
ตามความยาวของยางปัดน้ำฝน แล้วจึงไปเช็ดบนกระจกบริเวณที่ยางปัดน้ำฝนแนบอยู่ เพราะบริเวณนั้นจะมีเศษฝุ่นผงเล็ก ๆ
ปลิวมาตกค้างอยู่บนกระจก หากไม่เช็ดออกเมื่อเปิดที่ปัดน้ำฝน ยางปัดน้ำฝนจะกวาดเอาเศษฝุ่นผงหรือเศษทรายเล็ก ๆ นั้น
กดกับกระจกจนยางฉีกเป็นรอยทำให้การปัดน้ำฝนบนกระจกไม่เกลี้ยงได้

     และควรทำความสะอาดยางปัดน้ำฝนด้วยตนเองสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ด้วยการยกก้านปัดน้ำฝนขึ้นและใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดบิดหมาด
เช็ดรูดไปตามความยาวของยางปัดน้ำฝนในทิศทางเดียว  หากพบร่องรอยการฉีกขาดหรือแข็งกรอบ ควรเปลี่ยนใหม่ทันที
เพราะหากใช้ต่อไปจะทำให้ปัดน้ำฝนไม่สะอาด และทำให้เกิดเสียงดัง หรือสะดุดขณะปัด หรืออาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนบน
กระจกได้อีกด้วย
 
 
     หมายเหตุ : ยางปัดน้ำฝนมีอายุการใช้งานประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี

 

 

     ที่มา VoiceTV

 
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #28 เมื่อ: 06 สิงหาคม 2015, 15:48:07 »


5 เทคนิคขับรถให้ปลอดภัยช่วงหน้าฝน

 เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการขับรถขณะฝนตกนั้น เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าพื้นถนนแห้ง
มีคำแนะนำในการขับขี่ในช่วงหน้าฝนนี้มาฝากกันครับ

 1. ใช้ความเร็วและเว้นระยะให้เหมาะสม

     ไม่ควรใช้ความเร็วสูงขณะขับขี่ท่ามกลางสภาพฝนตก เพราะนอกจากทัศนวิสัยจะต่ำกว่าปกติแล้ว
ในกรณีฉุกเฉินที่ต้องเบรกกะทันหัน การหยุดรถจนนิ่งสนิทจำเป็นต้องใช้ระยะทางเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ดังนั้นจึงควรใช้ความเร็วตามสภาพการจราจร และเว้นระยะห่างจากคันหน้าเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ

 

     2. เปิดไฟหน้ารถ

     การเปิดไฟหน้ารถขณะฝนตก นอกจากจะช่วยให้มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ดียิ่งขึ้น ยังช่วยให้รถคันอื่นมองเห็นรถของคุณ
ได้จากระยะไกลอีกด้วย ในกรณีที่ทัศนวิสัยแย่มาก ก็ควรใช้ไฟตัดหมอกควบคู่กันไปด้วย และปิดทันทีเมื่อสภาพฝนเบาบางลง

 

     3. เช็คสภาพยางรถยนต์

     ดอกยางถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มการยึดเกาะถนน ดังนั้น หากยางรถยนต์มีสภาพเก่า ดอกยางเหลือน้อย
ก็ควรรีบเปลี่ยนทันทีเพื่อความปลอดภัย ซึ่งปกติแล้วดอกยางไม่ควรเหลือน้อยกว่า 2-3 มิลลิเมตร
นอกจากนั้นยังควรเช็คลมยางให้เหมาะสม เพื่อให้หน้าสัมผัสระหว่างยางกับพื้นถนนแนบสนิทมากที่สุด
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #29 เมื่อ: 07 สิงหาคม 2015, 15:43:33 »


    4. อย่าประมาทฝนตกปอยๆ

     แม้ว่าฝนจะเพิ่งตกใหม่ๆหรือเพิ่งหยุดไปก็ตามที ถนนที่เปียกเพียงเล็กน้อยก็อาจก่อให้เกิดการลื่นไถลได้ ดังนั้นจึงควรใช้ความระมัดระวังและความเร็วที่เหมาะสมเช่นกัน อีกทั้งถนนบางสายอาจมีคราบน้ำมันเคลือบอยู่บนผิวถนน ซึ่งจะทำให้ถนนลื่นกว่าปกติด้วย

 

     5. ไม่ควรหยุดรถบนไหล่ทาง

     การหยุดรถบนไหล่ทางอาจก่อให้เกิดอันตรายจากรถที่ขับอยู่เลนซ้ายได้ เนื่องจากผู้ขับขี่ที่ใช้ความเร็วสามารถมองเห็นรถที่จอดอยู่ได้ลำบากขณะฝนตก ทางที่ดีควรค่อยๆ ขับต่อไปโดยใช้ช่องทางซ้าย

 

     ขอบคุณข้อมูลจาก Goodyear
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #30 เมื่อ: 10 สิงหาคม 2015, 15:59:30 »



เทคนิค 5 ข้อจอดรถในวันทำบุญให้ปลอดภัย?

  ในช่วงวันสำคัญทางพุทธศาสนาแบบนี้ หลายคนต่างก็มีแผนเดินทางไปร่วมทำบุญตามวัดหรือสถานที่สำคัญต่างๆกันอย่างคับคั่ง
หากใครขับรถไปก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอกับปัญหาการจอดรถ ไม่ว่าจะที่จอดเต็มบ้าง, รถแน่นจนเกิดเฉี่ยวชนกันบ้าง
หรือซ้ำร้ายอาจโดนทุบกระจกฉกชิงของมีค่าไปก็ได้

   จึงขอแนะนำ 5 เทคนิคการจอดรถในวันสำคัญมาฝากกันครับ

     1. จอดรถในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ

     เข้าใจดีว่าลำพังแค่จะหาที่จอดรถว่างๆ ในช่วงกลางค่ำกลางคืนก็ลำบากพออยู่แล้ว แต่หากเลือกได้ก็ควรจอดรถในที่ที่มีแสงสว่าง
เพียงพอ เพราะอย่างน้อยโอกาสเสี่ยงที่รถของคุณจะถูกทำมิดีมิร้ายก็มีน้อยกว่า เช่น การโจรกรรมหรือการถูกเชี่ยวชน เป็นต้น



     2. ไม่ทิ้งของมีค่าไว้ในรถ

     ไม่ว่ารถของคุณผู้อ่านจะติดฟิล์มกรองแสงดำมืดขนาดไหน ก็ไม่ควรทิ้งของมีค่าไว้บนเบาะหรือจุดที่เห็นได้ชัดเจนแม้แต่ใต้เบาะนั่ง
เพราะหากโจรนำไฟฉายมาส่องก็สามารถมองเห็นภายในรถได้อย่างง่ายดาย ทางที่ดีควรเก็บของมีค่าไว้ในช่องเก็บของ
หรือห้องเก็บสัมภาระท้ายรถไปเลยจะดีกว่า



     3. ดูให้แน่ใจว่าไม่จอดขวางใคร

     หลังจากได้ที่จอดรถแล้ว ควรตรวจสอบให้ดีว่าไม่ได้จอดรถขวางทางเข้า-ออกรถคันอื่น เพราะบางครั้งเห็นที่จอดรถว่างๆ
แต่แท้จริงแล้วอาจเป็นทางสำหรับรถผ่านก็ได้ เนื่องจากที่จอดรถบางแห่งไม่มีเส้นแบ่งถนนชัดเจนตายตัว
จึงควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ

แต่หากจำเป็นต้องจอดขวาง ก็อย่าลืมปลดเกียร์ว่าง ไม่ดึงเบรกมือ เพื่อให้คนอื่นสามารถเข็นได้ยามจำเป็น
มิเช่นนั้นหากถูกมือดีฝากรอยแผลทิ้งไว้ จะหาว่าไม่เตือน!


บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #31 เมื่อ: 11 สิงหาคม 2015, 17:19:23 »

4. จอดไกลหน่อยถือว่าได้ออกกำลังกาย

     แน่นอนว่าใครก็อยากจอดรถใกล้กับสถานที่ที่กำลังจะไปให้มากที่สุด ซึ่งก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญความแออัดของที่จอดรถด้วยเช่นกัน ทางที่ดีหากสามารถนำรถไปจอดไกลหน่อย แต่ได้ที่จอดปลอดภัย สะดวกสบาย ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี แถมยังได้สุขภาพที่ดีจากการเดินอีกด้วย



     5. ไม่จอดรถในที่ห้ามจอด

     ควรพึงระลึกเสมอว่าจะต้องปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการจอดรถในที่ห้ามจอด เนื่องจากอาจกีดขวางการจราจร ส่งผลให้การจราจรติดขัดได้ แบบนี้ไม่รู้จะได้บุญหรือเปล่านะเออ



 

 
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #32 เมื่อ: 14 สิงหาคม 2015, 11:25:07 »


รถพีพีวีดัมพ์ราคาแย่งกำลังซื้อ

5 ยักษ์ใหญ่ค่ายรถเปิดศึกพีพีวี งัดกลยุทธ์ราคาสู้ ปลุกกำลังซื้อ ปลายปีคึกรอบใหม่ก่อนปรับภาษี

นายจรวย ขันมณี ประธานกรรมการบริหารบริษัท ยานยนต์ สแควร์ กรุ๊ป ในฐานะประธานกรรมการอำนวยการจัดงาน บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล แกรนด์ มอเตอร์ เซลส์ 2015 (บิ๊กมอเตอร์เซลส์) เปิดเผยว่า ขณะนี้ตลาดกระบะดัดแปลง (พีพีวี)เป็นตลาดที่น่าจับตามองมากที่สุด
เนื่องจาก 5 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ส่งรถพีพีวีลงสู่ตลาดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ได้แก่ เชฟโรเลตเทรลเบเซอร์, อีซูซุ มิว-เอ็กซ์,
ฟอร์ด เอเวอร์เรสต์ ใหม่, โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ และล่าสุดมิตซูบิชิ ปาเจโรสปอร์ต ใหม่

ทั้งนี้ จากการประเมินคาดว่าเป็นเพราะตลาดรถพีพีวี เป็นตลาดที่เจาะกลุ่มคนกำลังซื้อสูง ซึ่งได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจไม่มากนัก
จึงมีความเป็นไปได้ว่าค่ายรถยนรายใหญ่จึงหันมาให้ความสำคัญกับตลาดนี้ แต่ทุกค่ายก็ต้องแข่งขันกันอย่างดุเดือดโดยเฉพาะค่ายที่
เพิ่งเปิดตัวล่าสุดงัดกลยุทธ์ราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งเป็นหนึ่งในจุดขายที่จะดึงดูดความสนใจกลุ่มเป้าหมาย


นายเทะสึโระ อาอิคาวะ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า
เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2558 ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ตใหม่ในไทยเป็นครั้งแรกของโลก ราคาเริ่มต้นที่ 1.138-1.450 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขายรุ่นนี้ในไทยอยู่ที่ 7,000 คัน และคาดว่าจะส่งมอบได้ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2558 จนกระทั่งถึงมี.ค. 2559
และจะเริ่มส่งออกได้ในช่วงปลายปีนี้ไปยังออสเตรเลีย, อาเซียน, ตะวันออกกลาง, แอฟริกา, อเมริกาเหนือ และ รัสเซีย

นอกจากนี้ ยังมองว่าภาพรวมตลาดรถยนต์ครึ่งปีหลังจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นบ้าง แต่ยังไม่ได้รับสัญญาณบวกที่แน่ชัด
แต่หวังว่าการเปิดตัวรถยนต์รุ่นดังกล่าว จะช่วยกระตุ้นตลาดให้มีความคึกคักมากขึ้น.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/379673
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #33 เมื่อ: 17 สิงหาคม 2015, 15:23:56 »

5 ทริค ขับรถยามราตรี จำไว้ให้ดีเพราะมันช่วยคุณได้

เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ดูเหมือนจะมีข่าวคราวไม่สู้ดีเกี่ยวกับท้องถนนออกมาพอสมควร โดยเฉพาะอุบัติเหตุ
ที่หนึ่งในนั้นเกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่ และน่าจะประกอบกับประสบการณ์ที่ยังไม่มากในการขับขี่ทำให้เป็นเรื่องร้ายแรง
จนเรานึกถึงว่าน่าจะมีอีกหลายคนที่ยังด้อยประสบการณ์และความรู้ในการขับขี่นั้นน่าจะช่วยได้ไม่มากก็น้อย

หลายคนที่เคยขับรถยนต์คงจะไม่ค่อยชอบใจนักกับการขับรถในยามค่ำคืนโดยเฉพาะในยามดึกสงัด
เงียบสงบที่อาจจะชวนจิตหลอนได้ระหว่างทางแต่ถ้าคุณจะขับรถในยามค่ำคืน มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก
และเรามีเทคนิคที่ช่วยให้คุณขับรถในยามราตรีได้อย่างปลอดภัย

01 รู้สถานะตัวเองก่อนขับ



เราไม่ได้บอกให้คุณตั้ง Status แต่การรู้ว่าเรากำลังเป็นอย่างไรก่อนขึ้นขับรถในยามค่ำคืนนั้นคือเรื่องสำคัญ โดยมาก
สิ่งที่เลี่ยงได้ยากสำหรับการขับรถในยามค่ำคืน คือการเหนื่อยล้า บรรยากาศที่เงียบสงบนั้นชวนหลายคน "หลับใน"
ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องสงสัย และถ้าคุณรู้สถานะตัวเองว่า เหนื่อย เพลีย อ่อนล้า ก็ทำให้เราหาทางแก้
เช่นการหาเพลงคึกๆมันส์ๆ ฟัง ช่วยให้กระปรี้กระเปร่ายิ่งขึ้น ไม่มากก็น้อย หรือถ้าไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ ก็จอดข้างทาง
พักผ่อนสักนิด โดยเฉพาะ หากคุณเดินทางไกล ช่วยลดความเสี่ยงได้

02 อย่าเข้าใกล้รถที่มีพฤติกรรมแปลกๆ



เมื่อคุณเดินทางยามค่ำคืน สิ่งที่ควรจำคือ แม้คุณจะพร้อม แต่อย่างวางใจในเพื่อนร่วมทาง เพราะเพื่อนร่วมทางนี่แหละที่สำคัญที่สุด
และบ่อยครั้งที่อุบัติเหตุนั้นมีเพื่อนร่วมทางเป็นส่วนสำคัญ

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเวลาขับรถในยามค่ำคืนนั้น คงไม่พ้นการที่ต้องระแวดระวัง โดยเฉพาะรถยนต์ที่เดินทางไปกับเรา
ซึ่งบางครั้งมีพฤติกรรมแปลกๆ เช่นขับเร็วผิดปกติ หรือมีอาการเลื้อย-ส่าย ขับรถไม่ตรงเลน/กินเลนและ เด็กแว้นซ์
จงพึงระวังและทางที่ดี ถ้าเจอเจ้าหน้าที่ด้านหน้า ให้บอกเจ้าหน้าที่ เพราะคุณอาจเป็นส่วนหนึ่งช่วยให้ถนนปลอดภัยมากขึ้นก็ได้
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #34 เมื่อ: 27 สิงหาคม 2015, 15:37:37 »

03 มองให้ละเอียดก่อนใช้ความเร็ว

   หลายครั้งโดยเฉพาะในต่างจังหวัดนั้น ถนนจะไร้ไฟส่องทาง และเมื่อความมืดเข้ามาเยือนนั้น มันก็ทำให้การสัญจรยิ่งอันตรายมากขึ้น
และหลายครั้งความประมาทของอุบัติเหตุเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และความมืดถือเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการขับขี่ ดังนั้น
พยายามมองให้ดี ถ้าไม่มีรถสวนไฟสูงก็สามารถช่วยได้ เช่นเดียวกับไฟตัดหมอก ที่ช่วยเพิ่มระยะการมองเห็นได้
โดยเฉพาะการขับขี่ในต่างจังหวัด


04 ระแวดระวังตามแยกต่างๆ

   ทางตัดและทางแยก ถือเป็นจุดสำคัญในการขับขี่ยามค่ำคืน เนื่องจากเมื่อการจราจรเบาบางจุดเหล่านี้นั้นมักจะกลายเป็นไฟเหลืองกระพริบ
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสนใจ อันที่จริงไฟเหลืองที่ติดแทนการปล่อยสัญญาณไฟ คือการบอกให้ระวัง และจุดตัดต่างๆเหล่านี้
มันกลายเป็นจุดเกิดเหตุที่บ่อยๆพอๆ กับช่วงทางโค้งอันตราย ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการชะลอความเร็ว จะดีกว่า

 

05 เคารพกฏจราจรอย่าเคร่งครัด

    ยิ่งค่ำคืน แม้ถนนจะโล่งแต่สิ่งที่ละเลยไม่ได้คิอเรื่องของกฏจราจร หลายคนมักจะละเลยการปฏิบัติตามกฏทำให้บ่อยครั้งเป็นต้นเหตุ
ของอุบัติเหตุ หรือไม่ก็เกิดอุบัติเหตุเสียเอง ดังนั้นจำไว้ว่าเคารพกฏให้มากที่สุด เพราะหากคุณไร้ซึ่งกฏโอกาสเสี่ยงก็จะเยอะขึ้นนั่นเอง

 
    แน่นอนว่าทั้ง 5 ข้อนี้อาจจะเป็นเรื่องราวพื้นฐานของการขับรถ แต่เมื่อคุณขับรถในยามค่ำคืนการปฏิบัติตามสิ่งที่ควรจะปฏิบัติทั้ง 5
ก็ทำให้คุณปลอดภัยขึ้นไม่มากก็น้อย


บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #35 เมื่อ: 31 สิงหาคม 2015, 16:43:29 »


รถแบตหมด เปลี่ยนเองได้

ถ้าไม่อยากให้รถคุณจอดดับอยู่กลางทางควรเช็กแบตเตอรี่ให้เรียบร้อย เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณ
หากต้องไปจอดดับอยู่ในที่เปลี่ยวถึงแม้ไม่เกิดอันตรายก็ต้องมีเสียวกันบ้างโดยเฉพาะคุณผู้หญิง
หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นคงลำบากไม่น้อย  มีวิธีเปลี่ยน แบตเตอรี่ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง


แบตเตอรี่รถยนต์  โดยทั่วไปมี 2 ประเภทหลัก คือ

แบตเตอรี่ “แบบเปียก” ที่ต้องหมั่นเติมน้ำกลั่นชดเชยปริมาณที่สูญเสียไปเพื่อไม่ให้ระดับน้ำกลั่นต่ำกว่าเส้นบอกระดับล่าง
(LOWER LEVEL)
แบตเตอรี่ “แบบแห้ง” ที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน ปัจจุบันนิยมใช้ใน รถเก๋ง รถกระบะ ซึ่งมีราคาสูงกว่าแบบแรก
     ทั้ง 2 ทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟไปที่ระบบจุดระเบิดในขณะที่สตาร์ทรถยนต์ เพื่อป้อนกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์ต่างๆ
ภายในระบบไฟฟ้ารถยนต์ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งพลังงานให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายๆอย่าง
เช่น ระบบไฟส่องสว่าง แอร์ วิทยุเครื่องเสียง

 

     อาการแบตเตอรี่เสื่อม

     แบตเตอรี่เก็บไฟไม่อยู่รถจะสตาร์ทติดยาก บางครั้งสตาร์ทไม่ติดเพราะแบตเตอรรี่หมดอายุการใช้งานไปแล้ว
ต้องซื้อเปลี่ยนใหม่ทันที การเลือกซื้อ “แบตเตอรี่” ไม่ควรที่จะลดขนาดของแอมป์ลงโดยเด็ดขาด
แต่สามารถเลือกที่มีขนาดของแอมป์สูงขึ้นได้โดยประมาณ 10-30 แอมป์จากแบตเตอรี่ของเดิม
โดยคุณสามารถเปลี่ยนแบตเตอรรี่เองได้ง่ายๆ เพียงทำตามขั้นตอนดังนี้

 

     เตรียมอุปกรณ์

     ประแจไขเบอร์ 10 / ถุงมือยาง / สเปรย์สำหรับฉีดแบตเตอรี่ (ถ้ามี) / แบตเตอรี่ใหม่
บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #36 เมื่อ: 02 กันยายน 2015, 16:44:46 »

 ขั้นตอนการเปลี่ยนแบตเตอรี่

ใส่เบรกมือ เพื่อป้องกันรถไหล
เปิดฝากระโปรงรถ
ใช้ประแจขันน๊อตออกที่ “ขั้วลบ” แบตเตอรี่
ใช้ประแจขันน๊อตออกที่ “ขั้วบวก” แบตเตอรี่
นำแบตเตอรี่ใหม่มาใส่
ตอนใส่แบตเตอรี่ใหม่ ให้ใช้ประแจขันน๊อตที่ “ขั้วบวก” ก่อนขั้วลบ
เมื่อขันน๊อตจนแน่นหมดแล้ว
     ข้อควรระวัง : ในการทำงานกับแบตเตอรี่ เนื่องจากในแบตเตอรี่นั้นมีสารเคมีอยู่ภายใน เช่น สารตะกั่ว น้ำกรด เป็นต้น
ดังนั้นในการทำงานกับแบตเตอรี่ควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #37 เมื่อ: 07 กันยายน 2015, 11:54:44 »



อาการแบบไหนต้อง ′ตั้งศูนย์-ถ่วงล้อ′?

  การตั้งศูนย์ล้อ คือการทำให้ส่วนประกอบต่างๆ เกี่ยวกับระบบบังคับเลี้ยว ระบบช่วงล่างล้อ และยาง ให้ทำงานสัมพันธ์กันอย่างถูกต้อง
จะทำให้รถวิ่งได้ตรง ไม่ดึงไปทางซ้ายหรือขวา

 ปกติแล้วระบบช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวของรถนั้นจะมีชิ้นส่วนต่างๆ มากมายเคลื่อนไหวขณะรถวิ่ง และย่อมสึกหรอ
ทำให้ศูนย์ล้อผิดเพี้ยนไปจากสเปก

     นอกจากนี้ศูนย์ล้อยังขึ้นอยู่กับความสูงของตัวรถกับพื้นถนน และการกระจายน้ำหนักลงบนล้อรถด้วย
รวมถึงอายุการใช้งานของรถทำให้คอยล์สปริง บุช หรือลูกยางต่างๆ ก็เริ่มหมดอายุ

     ศูนย์ล้อไม่ถูกต้องตามสเปก สังเกตได้จากพวงมาลัยจะดึงไปข้างใดข้างหนึ่ง จนทำให้ยางทั้ง 2 ข้างสึกไม่เท่ากัน
ยังส่งผลเสียต่อชิ้นส่วนของช่วงล่างที่มีอายุการใช้งานสั้นลงด้วย จึงจำเป็นต้องตั้งศูนย์ล้อเพื่อให้ได้ค่าตามที่กำหนดไว้ในสเปกของรถ

 "มติชน" ยานยนต์ขอนำเสนอการตั้งศูนย์ถ่วงล้อ เป็นการปรับตั้งมุมต่างๆ ของล้อให้มีค่าใกล้เคียงกับศูนย์มากที่สุด
เป็นที่มาของคำว่าตั้งศูนย์ มุมที่จะต้องตั้งมีอยู่ 3 มุม

     มุมแรกเรียกว่า มุมแคมเบอร์ มุมที่มองจากด้านหน้ารถหรือหลังรถแล้วดูว่าล้อแบะเข้าหรือแบะออก
ถ้าล้อด้านบนที่ไม่ติดพื้นเอียงเข้ามาหากันเรียกว่ามุมแคมเบอร์เป็นลบ จะเห็นมากในรถโหลดและรถแข่ง
จะตั้งมุมล้อทั้งสี่ล้อลบมากๆ เป็นพิเศษ เพื่อบังคับรถได้ง่าย เพื่อให้เกาะถนนเข้าโค้งดี แต่ยางจะกินด้านในเพียงอย่างเดียว
โดยมากรถใช้งานทั่วไปจะตั้งค่าเป็น 0 หรืออย่างมากก็ไม่เกิน -2

     มุมที่ 2 คือ มุมโทอิน (Toe-in) และ มุมโทเอาต์ (Toe-out) ถ้ามองจากด้านบนหลังคารถลงไปแล้วล้อด้านหน้าสุด
ของทั้งสองข้างทำมุมเข้าหากันเราจะเรียกว่าโทอิน (Toe-in) แต่ถ้าด้านหน้าสุดของล้อกางออกจากกัน
แล้วด้านหลังสุดของล้อเข้าหากันเราเรียกว่าโทเอาต์ (Toe-out) โดยมากรถใช้งานทั่วไปจะตั้งเป็นกลาง หรือเป็น 0
หรือบวกลบไม่เกิน 1-2

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #38 เมื่อ: 09 กันยายน 2015, 15:47:47 »

รถใหม่ต้องติด “อีโคสติ๊กเกอร์“ เริ่ม 1 ต.ค.-รัฐหวังคุมมาตรฐาน

นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศเรื่องการแสดงข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล ตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปได้รับข้อมูลสมรรถนะรถยนต์ที่เที่ยงตรง โปร่งใส และเป็นมาตรฐานเดียวกัน สามารถนำไปเปรียบเทียบคุณสมบัติของรถยนต์แต่ละรุ่น เพื่อประโยชน์ต่อการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์ได้ รวมทั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐในการตรวจสอบมาตรฐานรถยนต์และการจัดเก็บภาษีตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่

   ประกาศฉบับนี้กำหนดให้ผู้จะขอลงทะเบียนยื่นขอป้ายข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล หรืออีโคสติ๊กเกอร์ (ECO Sticker) ต้องเป็นผู้ผลิตหรือผู้นำเข้ารถยนต์เพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ รวมทั้งกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับอีโคสติ๊กเกอร์ ประกอบด้วยรูปแบบ ขนาดและคำอธิบายต่างๆ

     อีโคสติ๊กเกอร์จะมีขนาดเท่ากระดาษเอ 4 ติดไว้ที่กระจกบังลมด้านหน้า (Windshield) หรือกระจกด้านข้าง (Side Window) ในตำแหน่งสามารถอ่านข้อมูลจากด้านนอกตัวรถยนต์ได้สะดวกชัดเจน โดยผู้ซื้อรถยนต์หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจเท่านั้นจะมีสิทธิในการปลดอีโคสติ๊กเกอร์ ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ผู้บริโภค และประชาชนทั่วไปสามารถดาวน์โหลดประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมดังกล่าวได้จากเว็บไซต์ www.car.go.th

บันทึกการเข้า
d-credit
ศิษย์พี่
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #39 เมื่อ: 09 กันยายน 2015, 15:48:17 »

รถใหม่ต้องติด “อีโคสติ๊กเกอร์“ เริ่ม 1 ต.ค.-รัฐหวังคุมมาตรฐาน

นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศเรื่องการแสดงข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล ตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปได้รับข้อมูลสมรรถนะรถยนต์ที่เที่ยงตรง โปร่งใส และเป็นมาตรฐานเดียวกัน สามารถนำไปเปรียบเทียบคุณสมบัติของรถยนต์แต่ละรุ่น เพื่อประโยชน์ต่อการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์ได้ รวมทั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐในการตรวจสอบมาตรฐานรถยนต์และการจัดเก็บภาษีตามโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่

   ประกาศฉบับนี้กำหนดให้ผู้จะขอลงทะเบียนยื่นขอป้ายข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล หรืออีโคสติ๊กเกอร์ (ECO Sticker) ต้องเป็นผู้ผลิตหรือผู้นำเข้ารถยนต์เพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ รวมทั้งกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับอีโคสติ๊กเกอร์ ประกอบด้วยรูปแบบ ขนาดและคำอธิบายต่างๆ

     อีโคสติ๊กเกอร์จะมีขนาดเท่ากระดาษเอ 4 ติดไว้ที่กระจกบังลมด้านหน้า (Windshield) หรือกระจกด้านข้าง (Side Window) ในตำแหน่งสามารถอ่านข้อมูลจากด้านนอกตัวรถยนต์ได้สะดวกชัดเจน โดยผู้ซื้อรถยนต์หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจเท่านั้นจะมีสิทธิในการปลดอีโคสติ๊กเกอร์ ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ผู้บริโภค และประชาชนทั่วไปสามารถดาวน์โหลดประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมดังกล่าวได้จากเว็บไซต์ www.car.go.th

บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 ... 5 ขึ้นบน พิมพ์ 
:::CIVIC CLUB THAILAND:::  |  Civic Club Classifieds => ประกาศซื้อ-ขาย  |  ซื้อ-ขายอะไหล่ ขายรถยนตร์ และประชาสัมพันธ์แนะนำธุรกิจ  |  หัวข้อ: สินเชื่อรถยนต์ ให้ยอดสุง 120% รถผ่อนอยู่ก็ทำได้
กระโดดไป:  


.: Powered by :.
.: Link Exchange :.
civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017 civic, civic club, new civic 2017


Powered by MySQL Powered by PHP Copyright 2004-2014 www.welovecivic.com All rights reserved
Contact: theerachai@siamrx.com
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
Civic Club | ย่อลิงค์ |